ตอนที่แล้ว175 - เงินทองมากมายมหาศาล
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไป177 - เย้ยหยันคนต่ำช้า

176 - ถ้าไม่เพราะถูกขัดขวาง


176 - ถ้าไม่เพราะถูกขัดขวาง

ฉินโม่ตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก บ้านพวกเขาไม่ใช่ว่าจนมากหรอกหรือ?

บิดาของเขาใส่เสื้อผ้าตัวเดียวกันมาหลายปีจนต้องปะซ่อม ไม่ยอมซื้อใหม่

เขาเองก็ได้รับเงินใช้จ่ายเพียงแค่สิบกว่าตำลึงต่อเดือนเท่านั้น

แต่ในห้องใต้ดินกลับเต็มไปด้วยทองคำ เงิน และของล้ำค่ามากมาย ทั้งโสมและไข่มุกหายาก ทำเอาฉินโม่ตกใจจนก้าวขาไม่ออก

"ท่านพ่อ นี่...ทั้งหมดนี้เป็นของเราหรือ?" ฉินโม่เช็ดตา จ้องมองกองเงินที่เรียงเป็นภูเขา และกลืนน้ำลายลงอย่างยากลำบาก "ท่านไม่ได้บอกว่า เราอยู่ในสภาพที่ยากลำบากหรอกหรือ?"

ฉินเซียงหรูพอใจมากกับท่าทางตกตะลึงของฉินโม่ "ข้าบอกอย่างนั้นเพราะกลัวว่าเจ้าจะจัดการทรัพย์สมบัติไม่เป็น พอเจ้าแต่งงานกับองค์หญิง เจ้าจะต้องสามารถเลี้ยงดูนางได้ ตอนนี้เมื่อเจ้าเริ่มรู้จักหาเงินเองแล้ว ข้าจะบอกกับเจ้าตามความเป็นจริงตระกูลฉินของเรามีรายได้ปีละเจ็ดถึงแปดหมื่นตำลึงเลยทีเดียว"

แปดหมื่นตำลึงคืออะไร?

ในโลกก่อน นั่นคือรายได้ปีละหลายร้อยล้านหยวน!

"ท่านพ่อ ท่านช่างร้ายกาจ ระแวงบุตรชายตัวเองเหมือนระวังโจร!" ฉินโม่อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้บิดา

"เจ้าเด็กโง่ นี่เป็นสมบัติที่พ่อเก็บสะสมไว้ให้เจ้ามาหลายปี!" ฉินเซียงหรูกล่าว "ยังมีช่วงสงครามล้มล้างราชวงศ์เก่า ข้าคือคนที่นำทัพบุกเข้าสู่เมืองหลวงย่อมมีติดไม้ติดมือมาบ้าง ทองคำที่ยึดครองมาส่วนใหญ่ข้าหลอมเป็นทองคำแท่งหมดแล้ว แต่เจ้าต้องจำไว้ว่าตอนนี้เงินพวกนี้ยังไม่ใช่ของเจ้า ถ้าเจ้าเจอปัญหาหนักหนาในอนาคต ถึงตอนนั้นเจ้าจึงค่อยนำเงินพวกนี้ออกมาใช้ได้"

ฉินเซียงหรูกล่าวอย่างจริงใจ ทุกอย่างที่เขาทำก็เพื่อบุตรชายคนเดียวของเขา

"ที่นี่มีทองคำไม่ต่ำกว่าห้าหมื่นตำลึงใช่ไหม?" ฉินโม่ถาม

ฉินเซียงหรูตอบ "เป็นทองคำแท่งหนึ่งแสนสามหมื่นตำลึง เจ้าจำไว้ อย่าบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้ เข้าใจไหม? (ทองคำ 1 ตำลึงเทียบได้กับเงิน 10 ตำลึง)

บ้านเรายังมีคลังเก็บข้าวอีกด้วย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเราสะสมข้าวไว้เจ็ดถึงแปดหมื่นชั่ง ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร ข้าวเหล่านี้เพียงพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวของเราไปนานหลายปี!"

ฉินโม่พูดอะไรไม่ออก

เขาใช้ชีวิตอยู่บนกองเงินมาตลอด แต่ดันคิดว่าตัวเองเป็นคนจนที่ไม่มีเงิน

ยังมีข้าวอีกด้วย

ข้าวที่สะสมไว้นี้มากพอให้คนในหมู่บ้านตระกูลฉินกินอยู่ได้สามมื้อเป็นเวลาสองปีเลยทีเดียว

เขาไม่คิดว่าบิดาของเขาจะเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ได้หาเงินเองบิดาของเขาคงไม่บอกเรื่องเหล่านี้ให้รู้เลย

"ตอนนี้เจ้ามีธุรกิจมากมายแล้ว และดูเหมือนว่ามั่นคงแล้วด้วย พ่อไม่มีอะไรทำอยู่บ้าน เดี๋ยวจะช่วยเจ้าดูแลมัน" ฉินเซียงหรูกล่าว "เจ้าทำถูกแล้วที่ดึงพวกเขาเข้ามาร่วมด้วย เพราะเบื้องหลังมีฝ่าบาทอยู่ ยิ่งแบ่งเงินให้พวกเขามาก บ้านเราก็ยิ่งปลอดภัย พ่อได้ยินมาว่าเจ้าใช้เงินไปหลายหมื่นตำลึงเพื่อซื้อเหมืองถ่านหินที่ซีซาน และยังสร้างเตาถ่านรังผึ้งอีก นี่ก็คงทำเงินได้ไม่น้อยใช่ไหม?"

ฉินโม่ครุ่นคิดก่อนจะตอบ "ก็พอไหว ถ่านรังผึ้งไม่ได้ต้องการทักษะในการทำมากนัก ในไม่ช้าผู้คนจะลอกเลียนวิธีการทำได้ แต่เตาถ่านทำยากหน่อย ถ้าทำใหญ่ขึ้น ปีหนึ่งคงทำเงินได้หลายล้านตำลึงสบายๆ ดังนั้นข้าจึงต้องยึดเหมืองถ่านหินทั้งหมดที่อยู่ใกล้เมืองหลวงให้เป็นของบ้านเราเท่านั้น"

"บุตรชายของข้าโตเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ!"

ฉินเซียงหรูรู้สึกซาบซึ้ง น้ำตาคลอ "ถ้าแม่เจ้าได้เห็นภาพนี้คงจะดีใจมาก!"

หลังจากออกจากห้องใต้ดิน ฉินเซียงหรูเน้นย้ำกับฉินโม่อีกครั้งว่าอย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร เพราะทรัพย์สมบัติไม่ควรเปิดเผย

แน่นอนว่าฉินโม่ไม่ใช่คนโง่!

"เข้าใจแล้ว ท่านพ่อ ข้ารู้แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอก ทองคำหนึ่งแสนกว่าตำลึงนี้ ข้าหาได้ภายในไม่กี่เดือนเท่านั้น!" ฉินโม่กล่าวอย่างภาคภูมิใจ

หลังจากเห็นบิดาเดินจากไป ฉินโม่ก็กลับเข้าห้องของตัวเอง

"คุณชาย ได้เวลาล้างหน้าแปรงฟันแล้ว!"

ฉินโม่มองไปที่ชูรุ่ยที่ใบหน้าแดงระเรื่อ แผ่กลิ่นอายที่น่าหลงใหลไปทั้งตัว เขากลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ "พี่ชูรุ่ย ข้าได้ตกลงกับองค์หญิงเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนางจะไม่มายุ่งเรื่องของเราอีก คืนนี้ เจ้าไม่ต้องไปนอนที่ห้องข้างเคียงแล้ว อยู่กับข้าที่ห้องนี้เถอะ!"

"อย่าคิดมาก ข้าก็แค่กลัวความมืด และข้านอนคนเดียวมันหนาว ถ้ามีอีกคนจะได้อุ่นขึ้นหน่อย!"

หัวใจของชูรุ่ยเต้นแรง "คุณชาย...ถ้าท่านกลัวจริงๆ ชูรุ่ยจะอยู่รอจนกว่าท่านหลับ แล้วค่อยออกไป ไม่ต้องห่วง ข้าจะเติมถ่านในเตาให้พอ รับรองว่าท่านจะไม่หนาวแน่นอน!"

หลังจากฟังคำพูดของนาง ฉินโม่รู้สึกผิดหวังมาก หลังล้างหน้าเสร็จ เขาก็ซุกตัวนอนทันที

ชูรุ่ยเองก็ถอนหายใจ นางได้เขียนจดหมายไปถึงฮองเฮา และได้รับจดหมายตอบกลับ

เมื่อฮองเฮาทราบว่าฉินโม่มีทิศทางทางเพศปกติ ก็ได้มอบหมายภารกิจใหม่ให้นาง คือพยายามทำให้ฉินโม่และองค์หญิงเข้าใจกันให้ได้

ภารกิจนี้ยากมาก แท้จริงแล้วนางไม่เข้าใจเลยว่าทำไมองค์หญิงถึงได้เกลียดฉินโม่นัก

จริงๆ แล้ว ฉินโม่เป็นคนดีมาก และเป็นคนที่นางคิดว่าคู่ควรที่จะฝากชีวิตไว้ได้!

ตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านฉิน ฉินโม่ไม่เคยให้นางทำงานหนักเลย นางกินดี อยู่ดี นอนดี และสวมใส่เสื้อผ้าหรูหรา จนนางรู้สึกว่านางอ้วนขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

เมื่อเห็นว่าฉินโม่นอนหันหลังให้โดยไม่สนใจนาง ชูรุ่ยจึงนั่งลงที่ขอบเตียง "คุณชาย อย่าโกรธเลยนะคะ!"

"เจ้าตกลงเป็นสาวใช้ของข้าหรือขององค์หญิงกันแน่? เจ้ากลัวว่าองค์หญิงจะไม่พอใจ แต่เจ้าไม่เคยคิดเลยว่าข้าจะรู้สึกอย่างไร?"

ฉินโม่กล่าว "ในเมื่อเป็นอย่างนี้ วันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าเฝ้าฮองเฮาและขอให้เจ้าไปอยู่กับองค์หญิงแทน!"

ใบหน้าของชูรุ่ยซีดเผือดทันที และเริ่มสะอื้นเบาๆ "คุณชาย...ชูรุ่ยในใจมีเพียงคุณชาย ตั้งแต่ออกจากวังมากับคุณชาย ชูรุ่ยก็ตัดสินใจแล้วว่าชีวิตนี้จะอยู่รับใช้คุณชายเพียงคนเดียว ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือตาย ชูรุ่ยก็เป็นของคุณชายตลอดไป! ชูรุ่ยไม่มีใจให้ใครอื่นเลย คุณชาย..."

เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ ฉินโม่ก็ใจอ่อน เขารีบโอบนางไว้ในอ้อมแขนแล้วปลอบโยน "เอาล่ะๆ ข้าพูดแรงเกินไป ข้าไม่ยอมส่งพี่สาวแสนดีคนนี้ไปให้ใครหรอก ข้าผิดเอง ข้าผิดเอง!"

ขณะกล่าวเขาก็ตบหน้าตัวเอง ชูรุ่ยรีบจับมือเขาไว้ "คุณชาย เป็นเพราะชูรุ่ยทำหน้าที่ไม่ดีเองที่ทำให้คุณชายโกรธ คุณชายปฏิบัติต่อชูรุ่ยเหมือนครอบครัว เป็นชูรุ่ยที่หลงตัวเองเกินไป! คืนนี้ชูรุ่ยจะไม่ไปไหน จะอยู่กับคุณชายเอง!"

นางตัดสินใจแน่วแน่และมองฉินโม่ด้วยสายตาที่มั่นคง "ขอเพียงคุณชายอย่ารังเกียจในตัวชูรุ่ยที่ไม่งดงามพอ!"

เมื่อเห็นนางเริ่มถอดเสื้อผ้า ฉินโม่ก็ยิ้มเจื่อนและกดมือนางไว้ "ช่างเถอะ ข้าแค่ล้อเล่นเอง พี่ชูรุ่ย ข้าไม่ได้มีเจตนาบังคับเจ้า เจ้ารู้ว่าข้าไม่ชอบองค์หญิง และนางก็ไม่ชอบข้า ข้าจะหาทางปฏิเสธการแต่งงานนี้เอง เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องกังวลใจอีกต่อไป!"

ในใจของชูรุ่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกทั้งดีใจและกังวล ดีใจที่ฉินโม่ให้ความสำคัญและเคารพนาง ไม่ได้มองนางเป็นเพียงเครื่องมือระบายอารมณ์

แต่กังวลว่านางจะทำภารกิจที่ฮองเฮามอบหมายให้สำเร็จได้อย่างไร?

"คุณชาย จริงๆ แล้วองค์หญิงก็เป็นคนดีนะเจ้าคะ!"

ชูรุ่ยกล่าว "ท่านน่าจะลองพยายามทำความเข้าใจกับองค์หญิงอีกครั้ง เผื่อท่านจะมองนางในมุมใหม่ก็ได้?"

"ไม่เอาหรอก ข้าแค่คิดถึงนางก็ปวดหัวแล้ว!" ถ้าไม่ใช่เพราะหลี่อวี้ซู่เข้ามาขวาง ฉินโม่คงจะได้กอดสาวงามไว้ในอ้อมแขนตั้งนานแล้ว

ไม่แน่ว่าแม้แต่หญิงม่ายไฉ่ก็อาจจะพยักหน้าเห็นด้วยไปแล้ว!

……………