บทที่ 91: องค์หญิงหกผู้มีจิตใจดี
“ไม่ต้องเป็นห่วง มันจะไม่ตาย” มู่ไป๋ไป่นั่งย่อตัวอยู่บนพื้นขณะเอามือเท้าคางไว้และยิ้มให้ ‘คนบ้า’ “เจ้าโชคดีมากที่ได้พบคนใจดีแบบนี้”
“แต่ถ้าข้าช่วยชีวิตมันเอาไว้ เจ้าจะทำอะไรตอบแทนข้าได้บ้างล่ะ?”
เด็กหญิงคิดว่า ‘คนบ้า’ คนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ เมื่อดูจากส่วนสูงของอีกฝ่าย เขาน่าจะมีอายุเกิน 10 ปี แต่ผมของเขายาวจนปิดหน้าตาไว้ทำให้มองไม่ออกว่าเขามีหน้าตาเป็นอย่างไร
ชายเนื้อตัวมอมแมมตกตะลึงขณะเหม่อมองคนพูดนิ่ง หลังจากนั้นไม่นานดูเหมือนว่าเขาจะได้สติ ก่อนจะคุกเข่าลงคำนับมู่ไป๋ไป่
ปั้ก! ปั้ก! ปั้ก!
“นี่ ลุกขึ้นเถอะ” คนตัวเล็กรู้สึกหวาดกลัวกับการกระทำของเขาทันที เธอไม่ได้อยากเอาอะไรจาก ‘คนบ้า’ คนนี้จริง ๆ เธอแค่ล้อเขาเล่นเพียงเท่านั้น แต่เขากลับคิดเอาจริงเอาจังไปเสีย
“อือออ” ‘คนบ้า’ โขกหัวจนเลือดออก ซึ่งทำให้รูปลักษณ์ภายนอกของเขายิ่งน่ากลัวมากขึ้นไปอีก
“องค์หญิงหก ยามาแล้วเพคะ!” หลัวเซียวเซียววิ่งกลับมาพร้อมอาการหอบเหนื่อย ตามมาด้วยชายชราคนหนึ่งที่หอบหายใจหนัก ๆ เช่นกัน “แล้วหม่อมฉันก็พาหมอหลวงมาที่นี่ด้วยเพคะ”
หมอหลวงที่ติดตามขบวนเสด็จมามีแซ่ฉิน เขาเป็นชายสูงอายุที่พูดช้ามาก ทำให้คนที่ได้ฟังเขาพูดไปเพียง 2-3 ประโยคก็เริ่มรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน
“ทำไมถึงมีหมาป่าอยู่ที่นี่?!” หมอหลวงฉินตกใจเมื่อมองดูหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ที่นอนอยู่บนกองหญ้า ก่อนที่เขาจะรีบเตือนว่า “องค์หญิงหกรีบถอยออกมาเร็วเข้าพ่ะย่ะค่ะ หมาป่าชนิดนี้อาศัยอยู่ในป่าและมักจะมีพิษชนิดหนึ่ง หากถูกมันกัดเข้าจะไม่มีทางรักษาได้พ่ะย่ะค่ะ”
ในเวลานี้ชายชราไม่ได้พูดช้าเหมือนเคย นอกจากจะไม่พูดช้าแล้ว การเคลื่อนไหวของเขายังคล่องแคล่วมากขึ้นอีกด้วย
“หมอหลวงฉิน มันไม่กัดข้าหรอก” มู่ไป๋ไป่ยื่นมือไปลูบหัวหมาป่าพลางพูดว่า “มันได้รับบาดเจ็บ ท่านช่วยมาดูอาการและรักษามันให้หายได้หรือไม่?”
“หา?” หมอหลวงฉินแสดงสีหน้าประหลาดใจ “องค์หญิงหก พระองค์สั่งให้เด็กคนนี้ไปตามกระหม่อมมาเพื่อรักษาหมาป่าเช่นนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
มู่ไป๋ไป่เหลือบมองสหายตัวน้อยด้วยสายตาตั้งคำถามว่านางพาชายชราที่หยาบคายคนนี้มาที่นี่ได้อย่างไร?
หลัวเซียวเซียวได้แต่หัวเราะแห้ง ๆ และตอบเสียงแผ่วเบาว่า “ตอนที่หม่อมฉันไปเอายา หม่อมฉันบังเอิญเจอหมอหลวงฉินพอดี เขาบอกว่าเขาสังเกตเห็นว่าในคลังมียาหายไป เขาจึงได้ถาม หม่อมฉันก็เลยพาเขามาเพคะ…”
เมื่อคืนนี้พวกนางหยิบยามาใช้กับชายหน้ากากเงินคนนั้น
หลัวเซียวเซียวไม่กล้าพูดอะไรมาก ดังนั้นนางจึงเล่าเรื่องหมาป่าสีเทาแบบคลุมเครือ ทีแรกหมอหลวงฉินคิดว่ามีคนใกล้ชิดกับองค์หญิงหกได้รับบาดเจ็บสาหัส เขาจึงรีบคว้ากล่องยาติดตามเด็กหญิงมาทันที
แต่พอเขามาถึงที่นี่ เขาก็ตระหนักได้ว่ามันเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่
เพราะผู้บาดเจ็บไม่ใช่คน แต่เป็นหมาป่า
มู่ไป๋ไป่ถอนหายใจอย่างเอือมระอา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เงยหน้าขึ้นยิ้มหวานให้ชายสูงวัย “ท่านปู่หมอหลวง หมาป่าตัวนี้เป็นสหายของข้า ท่านพอจะช่วยมันได้หรือไม่?”
“ถ้ามันตายไป ข้าคงจะเสียใจมาก”
มู่ไป๋ไป่เป็นเด็กที่น่ารักมากคนหนึ่ง เมื่อประกอบกับการแสดงของเธอแล้ว มันก็ทำให้คนรักคนเอ็นดูได้โดยง่าย อีกทั้งหมอหลวงฉินก็มีหลานสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอ พอเห็นเธอออดอ้อนเช่นนี้ เขาก็นึกถึงหลานสาวที่น่ารักที่อยู่ในเมืองหลวงทันที แล้วหัวใจของเขาก็เริ่มสั่นไหว ท่าทีของเขาเริ่มอ่อนลง หลังจากนั้นเขาก็ไม่สนใจสิ่งอื่นใด ก่อนจะวางกล่องยาและเดินไปหาหมาป่า
ขณะเดียวกัน หมาป่าตัวนั้นได้ยินคำพูดของคนตัวเล็ก ถึงแม้ว่าหมอหลวงฉินจะเข้ามาช่วยมัน แต่มันก็นอนนิ่งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี
“อืม… หมาป่าตัวนี้คงถูกพวกเดียวกันกัดมา” ชายสูงวัยตรวจดูบาดแผล ก่อนจะกลอกตาพึมพำเบา ๆ “บาดแผลลึกมาก…”
มู่ไป๋ไป่ได้ยินดังนั้นก็หัวใจเต้นรัว ในขณะที่เธอถามอย่างเป็นกังวลว่า “เราจะช่วยมันได้หรือไม่?”
หากหมอหลวงไม่สามารถช่วยชีวิตมันได้ เธอคงต้องคิดหาวิธีอื่น
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าน้ำตาของเธอจะมีประโยชน์ในสถานการณ์นี้หรือไม่?
วิญญาณโสมต้นนั้นก็ไม่ค่อยเต็มใจจะเฉือนเนื้อของตัวเองให้คนอื่น แต่สุดท้ายเธอก็ใช้น้ำตา 1 หยดแลกมาได้ เช่นเดียวกับเสือโคร่ง
ดูเหมือนว่าน้ำตาของเธอจะมีความสำคัญต่อสัตว์พวกนี้มาก
“สามารถช่วยได้พ่ะย่ะค่ะ” หมอหลวงฉินพยักหน้าช้า ๆ แล้วอธิบายต่อไปว่า “เพียงแต่มันเสียเลือดมากเกินไป เราจำเป็นจะต้องใช้ยารักษาที่ดีที่สุด...”
ยานี้ล้ำค่ายิ่งนักเมื่อต้องใช้กับคนธรรมดา แล้วนับประสาอะไรกับหมาป่าสีเทาที่นอนหายใจรวยรินตรงหน้า
มู่ไป๋ไป่เข้าใจสิ่งที่เขาต้องการจะสื่อและตัดสินใจทันที “ท่านปู่หมอหลวง ใช้ยานั่นเถอะ ถ้ามีคนมาถามข้าจะรับผิดชอบเอง แล้วข้าจะช่วยออกหน้าให้ท่าน”
หมอหลวงฉินอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นคนตัวเล็กแสดงท่าทีเด็ดเดี่ยว ก่อนที่เขาจะกล่าวว่า “องค์หญิงหกทรงมีจิตใจดี พระองค์ทรงทำถึงขั้นนี้เพื่อสัตว์ตัวหนึ่ง”
“เอาล่ะ ในเมื่อองค์หญิงตรัสแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่กระหม่อมจะไม่ปฏิบัติตาม”
จากนั้นผู้เป็นหมอก็เปิดกล่องยา เขาหยิบขวดยาเล็ก ๆ ออกมาจากชั้นล่างสุด และโรยมันลงไปบนบาดแผลของหมาป่าตัวใหญ่
ผงยานั้นเหมือนมีมนต์ขลัง หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน มู่ไป๋ไป่ก็เห็นว่าเลือดที่ไหลออกจากปากแผลของหมาป่าหยุดไหลแล้ว
“ต่อไปก็เหลือแค่พักผ่อน” หมอหลวงฉินพึงพอใจกับผลของยาที่เขาเตรียมมามาก และลุกขึ้นลูบเคราสีขาวของตัวเอง “ยานี้ควรเปลี่ยนทุก ๆ 3 วัน อีกไม่เกิน 10 วันแผลก็จะตกสะเก็ด”
“ขอบคุณหมอหลวงฉิน” มู่ไป๋ไป่ขอบคุณชายชราเสียงหวานและส่งอีกฝ่ายไปที่ประตูด้วยตัวเองก่อนจะกลับมาหาหมาป่าที่ได้รับการรักษา
“เซียวเซียว เจ้าไปเตรียมผ้าฝ้ายมาเร็วเข้า แล้วก็เอาน้ำมาด้วย”
“ท่านเองก็ตามเซียวเซียวไปด้วย”
‘คนบ้า’ เงยหน้าขึ้นมองเด็กหญิงก่อนจะตระหนักว่านางกำลังพูดกับตนอยู่ เขาจึงลุกขึ้นยืนอย่างประหม่า
ชายผู้นี้ไม่ใช่คนเตี้ย แต่เขามักจะห่อไหล่ทำตัวคุดคู้ ทำให้ดูเหมือนว่าเขาสูงกว่าหลัวเซียวเซียวไม่มากนัก
“ไม่เป็นไรเพคะองค์หญิง” หลัวเซียวเซียวเหลือบมอง ‘คนบ้า’ แล้วถอนหายใจออกไป “หม่อมฉันทำเองได้เพคะ ถ้าเขาตามไป รังแต่จะถ่วงแข้งถ่วงขาหม่อมฉันเปล่า ๆ”
เด็กหญิงฉุกคิดชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้าส่งสัญญาณให้สหายตัวน้อยรีบไปเอาของมา
‘คนบ้า’ ที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เขาถึงจ้องมู่ไป๋ไป่ตาโต หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาจึงหยิบผลไม้สีแดงออกมาจากเสื้อผ้าสกปรกของตัวเองแล้วมอบให้นาง
“นี่คืออะไรหรือ?” คนตัวเล็กกะพริบตาสงสัย ผลไม้นั้นค่อนข้างคล้ายกับผลไม้ที่เธอเก็บมาจากต้นก่อนหน้านี้ แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีสีแดงสดมากกว่า ยิ่งไปกว่านั้นทันทีที่อีกฝ่ายนำมันออกมา เธอก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมสดชื่นกระจายไปทั่วบริเวณ
“อือ ๆ อา ๆ” ‘คนบ้า’ ยื่นมือออกมาและชี้มือไปยังทิศทางหนึ่งเพื่อบอกว่าเขาไปเก็บมันมาจากที่ไหน
มู่ไป๋ไป่ยังคงสื่อสารกับอีกฝ่ายไม่ค่อยเข้าใจนัก และกำลังจะบอกว่าตนไม่ต้องการมัน แต่เธอก็ได้ยินเสียงหมาป่าสีเทาที่ดูมีกำลังวังชาเพิ่มขึ้นเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านจ้าวอสูร นั่นน่าจะเป็นผลไม้วิญญาณจากบนภูเขา”
“ผลไม้วิญญาณอย่างนั้นหรือ?” ดวงตาของเด็กหญิงเป็นประกายในขณะที่ถามว่า “ฟังดูดีนี่ แล้วมันมีฤทธิ์ช่วยอะไรได้บ้าง?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันสามารถช่วยอะไรได้บ้าง” หมาป่าสีเทาเอียงหัวตอบอย่างไม่แน่ใจ “ทุกครั้งที่ข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าจะกินผลไม้วิญญาณ 2-3 ผล แล้วอาการบาดเจ็บก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว”
เพียงแต่ในครั้งนี้อาการบาดเจ็บของมันสาหัสเกินไป มันคิดว่าตัวเองจะต้องตายเสียแล้ว มันจึงไม่ยอมกินอะไรเลยและนอนรอความตายอยู่ที่นี่