บทที่ 90: ช่วยเหลือคนบ้า
เมื่อไทเฮาได้ยินสิ่งที่มู่ไป๋ไป่พูด พระนางก็ทำได้เพียงต้องยอมแพ้ไปอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากพิธีสวดมนต์ตอนเช้าเสร็จสิ้น ไทเฮาทรงตรัสว่าพระองค์จะสนทนาธรรมกับเจ้าอาวาสในช่วงบ่าย และให้ทุกคนได้พักในช่วงครึ่งบ่ายของวันนี้
แต่น่าเสียดายที่หลังรับประทานอาหารมื้อกลางวันเสร็จ ลมด้านนอกก็พัดแรงและเริ่มมีฝนตกหนัก
แผนการทั้งหมดของมู่ไป๋ไป่ที่วางเอาไว้พังทลายลงทันที เธอจึงทำได้เพียงนั่งเศร้าอยู่ที่ทางเดินและมองออกไปข้างนอกด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
“องค์หญิงหก ถ้าพระองค์เบื่อ ทำไมเราไม่กลับเข้าไปในห้องแล้วหาของว่างกินกันล่ะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวที่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีปฏิกิริยาตอบรับจึงแนะนำต่อไปว่า “หรือเราจะไปเล่นซ่อนหากันดี? ไม่ออกไปข้างนอก”
“ช่างเถอะ ๆ” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวอย่างไม่ใส่ใจ “อยู่อย่างนี้ต่อไปนั่นแหละ”
เธอไม่ชอบวันที่ฝนตกมากจริง ๆ ในยามที่ฝนตก มันเหมือนน้ำฝนได้สูบเรี่ยวแรงของเธอไปจนหมด
เมื่อหลัวเซียวเซียวได้ยินสิ่งที่องค์หญิงหกพูด นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องนั่งลงข้างกายอีกคนและอยู่แบบนั้นเงียบ ๆ
ทั้งคู่ไม่รู้ว่าพวกตนนั่งอยู่ที่ริมทางเดินมานานแค่ไหนแล้ว แต่ทันใดนั้นก็มีเงาสีเทาวิ่งเข้ามาหาพวกเธอท่ามกลางสายฝน
เป็นหลัวเซียวเซียวที่ตอบสนองเร็วที่สุด นางชักมีดของตัวเองออกมาและกำลังจะแทงฝ่ายตรงข้าม
ถึงกระนั้น นางก็ไม่คาดคิดว่าปฏิกิริยาของชายคนนั้นจะรวดเร็วกว่าตน ซึ่งเขาได้เบี่ยงตัวหลบก่อนจะก้าวเท้าไปทางมู่ไป๋ไป่ที่อยู่ข้างหลัง
“องค์หญิงหก ระวัง!” หัวใจของเด็กหญิงกระตุกวูบ นางรีบหันกลับไปเตือนเพราะกลัวว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับองค์หญิงหากนางช้าไปก้าวหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม คนที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นไม่ได้ทำอะไรกับมู่ไป๋ไป่ เขาเพียงแค่ยืนอยู่ข้างนางแล้วโบกมืออย่างประหม่า และเอาแต่ส่งเสียงอือ ๆ อา ๆ ในลำคอไม่หยุด
“เป็นท่านเองหรือ?” คนตัวเล็กมองไปที่ชายเนื้อตัวสกปรกตรงหน้าและจำได้ทันทีว่าเขาเป็น ‘คนบ้า’ ที่ถูกกลุ่มขันทีทำร้ายเมื่อวานนี้
เมื่อ ‘คนบ้า’ เห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะจำตนได้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น เขาพยักหน้าจนผมกระจาย แล้วพยายามลากเด็กหญิงให้ติดตามไป
“บังอาจนัก ปล่อยองค์หญิงหกเดี๋ยวนี้นะ!” หลัวเซียวเซียวตะโกนเตือนเสียงต่ำ
‘คนบ้า’ สะดุ้งตกใจ ก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงรีบปล่อยมือสกปรกของเขา แล้วเหลือบมองมู่ไป๋ไป่ด้วยท่าทางไม่สบายใจ ก่อนจะส่งเสียง “อา ๆๆ อือ ๆๆ”
“ไม่เป็นไร” คนตัวเล็กเข้าไปขวางหลัวเซียวเซียวพร้อมกับพูดว่า “เขาไม่รู้ว่าจะสื่อสารกับเราอย่างไร ถ้าเขาต้องการทำร้ายข้า เขาก็ลงมือได้ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว”
เธอเพิ่งเห็นว่า ‘คนบ้า’ คนนี้เคลื่อนไหวได้เร็วมาก และเขาคงสามารถฆ่าเธอได้สบาย ๆ
“ท่านพูดไม่ได้หรือ?” มู่ไป๋ไป่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามว่า “ที่ท่านมาหาข้าเพราะมีบางอย่างอยากให้ข้าช่วยใช่หรือไม่?”
“อือ!” ‘คนบ้า’ พยักหน้าอย่างดีใจ ก่อนจะพยายามสื่อสารบางอย่างด้วยการใช้มือ แล้วชี้ไปยังเรือนด้านหลัง
เด็กหญิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้ากำลังเบื่อพอดี เซียวเซียว ไปดูกันเถอะ”
“องค์หญิงหก ถ้านี่เป็นหลุมพรางเราจะทำอย่างไรเพคะ?” หลัวเซียวเซียวอดรู้สึกเป็นกังวลไม่ได้ “ไม่เช่นนั้นเราขอให้องครักษ์ทั้ง 2 ติดตามไปด้วยดีหรือไม่เพคะ?”
“มันจะเป็นหลุมพรางแบบใดล่ะ?” มู่ไป๋ไป่โบกมืออย่างไม่ใส่ใจนัก “ข้าเชื่อเขา เขาคงจำได้ว่าเราช่วยเขาเอาไว้เมื่อวานนี้ และตอนนี้คงเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น เขาถึงมาหาเราเพื่อขอความช่วยเหลือ”
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าชายคนนี้เป็นคนบ้าจริง ๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขามีสติครบถ้วนถึงสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาเร่งด่วนได้
พอชายเนื้อตัวมอมแมมเห็นว่าเด็กหญิงยินยอมที่จะไปกับตน เขาก็รู้สึกดีใจมากและเดินนำไปข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม เขาอาจจะก้าวรวดเร็วเกินไป ประกอบกับขาของมู่ไป๋ไป่นั้นสั้น ในขณะที่ทั้ง 3 คนเดินทาง มักจะมีเหตุการณ์ที่เด็กน้อยทั้ง 2 หาคนนำทางไม่พบ
จากนั้น ‘คนบ้า’ ก็ต้องค่อย ๆ ชะลอฝีเท้าลงเพื่อรอให้มู่ไป๋ไป่กับหลัวเซียวเซียวตามมาให้ทัน
หลังจากพวกเธอเดินตาม ‘คนบ้า’ มานานเพียงใดก็ไม่ทราบ คนทั้ง 3 ก็มาถึงเรือนด้านหลัง แล้วในที่สุดเขาก็พามู่ไป๋ไป่ไปที่เพิงไม้ที่ซ่อนตัวอยู่และโบกมือให้นางเข้าไป
“ท่านจะทำอะไรน่ะ?” หลัวเซียวเซียวมองดูป่าหนาทึบพลางขมวดคิ้ว “องค์หญิงหกของเราติดตามท่านมาที่นี่เพราะความมีน้ำใจของพระองค์ หากท่านต้องการอะไร ท่านก็บอกเรามาตามตรงเถอะ จะมัวยึกยักอยู่ทำไม”
“เซียวเซียว เงียบก่อน” ยามนี้มู่ไป๋ไป่มีสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็เปิดประตูเพิงไม้เข้าไปอย่างไม่ลังเล
ภาพที่เธอเห็นก็คือหมาป่าสีเทาตัวหนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่บนหญ้าแห้ง เสียงร้องเจ็บปวดที่เธอได้ยินผ่านประตูเมื่อสักครู่นี้มาจากเจ้าหมาป่าตัวนี้
หมาป่าสีเทาที่ได้รับบาดเจ็บสังเกตเห็นรังสีแปลก ๆ ก่อนจะแยกเขี้ยวด้วยท่าทางหวาดระแวง
“อะ อา ๆๆ” ‘คนบ้า’ เหมือนกลัวว่ามู่ไป๋ไป่จะเข้าใจผิดจึงรีบตามเข้าไป แล้ววิ่งไปหาหมาป่าสีเทาและกอดมันเอาไว้พลางลูบหัวของมันเพื่อปลอบใจ จากนั้นเขาก็ส่งสัญญาณให้เด็กหญิงว่าหมาป่าตัวนี้เป็นเพื่อนของเขา
“ทำไมถึงมีหมาป่าอยู่ที่นี่?” หลัวเซียวเซียวตกใจเมื่อเห็นหมาป่าสีเทา และนางก็กลัวว่าหมาป่าจะคลั่งจนกัดคน ดังนั้นนางจึงไปขวางองค์หญิงหกเอาไว้ข้างหลังตัวเอง
“นี่ เซียวเซียว เจ้าอย่าได้กังวลเกินไปนัก เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสหายของเจ้าคนนี้ไม่กลัวแม้กระทั่งเสือ” มู่ไป๋ไป่ยิ้มขณะดันตัวคนข้างหน้าออกไป ก่อนจะเดินเข้าไปหาหมาป่าสีเทาและนั่งลงข้างมัน
ดวงตาของหมาป่าตัวนี้มีแสงสลัวราวกับว่ามันมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
หลังจากที่คนตัวเล็กคิดเช่นนั้น เธอก็ยื่นมือเล็ก ๆ ออกไปโบกต่อหน้ามัน ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ จากดวงตาของมัน
“นั่นใครน่ะ…?” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับลมหายใจที่ติดขัด
“เจ้าหมาป่าน้อย ทำไมเจ้าถึงได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้?” มู่ไป๋ไป่ยิ้มพลางเอื้อมมือไปลูบหัวหมาป่าโดยตรง
หมาป่าสีเทากำลังจะโมโหเมื่อมันได้ยินอีกฝ่ายเรียกตนเองว่า ‘เจ้าหมาป่าน้อย’ แต่จู่ ๆ มันก็ถูกรัศมีบางอย่างห่อหุ้มเอาไว้
นี่คือ…จ้าวอสูร!
เจ้าหมาป่าพยายามลุกขึ้นเพื่อทำความเคารพมู่ไป๋ไป่
“อย่าขยับ!” เมื่อเด็กหญิงสัมผัสได้ถึงความคิดของมัน เธอก็รีบกดตัวของมันเอาไว้ “ตอนนี้เจ้ากำลังได้รับบาดเจ็บสาหัส ดังนั้นเจ้าไม่ควรขยับตัวสุ่มสี่สุ่มห้า”
“ท่านจ้าวอสูร…” หมาป่าสีเทาเอียงคอไปทางมู่ไป๋ไป่เพื่อตามหาต้นเสียง “ท่านคือท่านจ้าวอสูรจริง ๆ หรือ?”
“ข้าเอง” คนตัวเล็กกระซิบตอบเสียงเบา จากนั้นก็หันไปสั่งให้หลัวเซียวเซียวไปเอายามาให้
เด็กหญิงยังคงเป็นห่วงองค์หญิงหกไม่กล้าปล่อยให้อีกคนต้องอยู่ที่นี่เพียงลำพัง แต่นางก็ไม่อาจขาดคำสั่งขององค์หญิงได้ นางจึงทำได้เพียงวิ่งออกไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ขาของตนจะเอื้ออำนวย
“เป็นบุญของข้ายิ่งนักที่ได้พบท่านจ้าวอสูรก่อนที่ข้าจะตาย ถ้าวันนี้ข้าต้องตายข้าก็ไม่เสียใจเลย” หมาป่าสีเทานอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น “ท่านจ้าวอสูร ท่านอย่าได้เหนื่อยเปล่าเลย ข้ารู้ว่าข้าไม่มีทางรอดแล้ว”
ตัวมันอายุมากแล้ว มันต่อสู้พ่ายแพ้หมาป่ารุ่นใหม่ที่เข้ามาแย่งชิงตำแหน่งจ่าฝูง และยังมาตกหลุมพรางของนายพรานอีก
หากมนุษย์โง่เขลาคนนี้ไม่ลากมันมาที่นี่ท่ามกลางฝนตกหนัก มันคงจะตายอยู่ในภูเขาไปนานแล้ว
“ไม่ว่าเจ้าจะอยู่หรือตายนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าหรือข้า” มู่ไป๋ไป่ลูบหัวของหมาป่าตรงหน้าพลางครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามว่า “เจ้าเป็นอะไรกับ ‘คนบ้า’ คนนั้นหรือ?”
“เรา…ไม่รู้จักกันมาก่อน…” หมาป่าสีเทาหอบหายใจถี่ขึ้นและตอบเสียงขาด ๆ หาย ๆ “ข้าเคยช่วยเขาไว้บนภูเขาครั้งหนึ่ง… จากนั้นเขาก็จะนำอาหารมนุษย์มาให้ข้าบนภูเขาเสมอ…”
ตอนนี้มู่ไป๋ไป่ก็ได้รู้แล้วว่า ‘คนบ้า’ คนนี้มาที่วัดฮู่กั๋วเพื่อขโมยอาหารไปให้หมาป่าตัวนี้
ซึ่งมันนับว่าเขาเป็นคนที่รู้จักบุญคุณคน
“อา ๆๆ” ‘คนบ้า’ ที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่เข้าใจภาษาสัตว์ เขาแค่ฟังมู่ไป๋ไป่พูดออก พอได้ยินอีกฝ่ายพูดคำว่า ‘ตาย’ เขาจึงเป็นกังวลขึ้นมา