ตอนที่แล้วหยุด
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 215 โมเมนตัม (2)

บทที่ 214 โมเมนตัม (1)


[แปลโดยฝีมือ...ยักษาแปร...มาติดตามได้ที่แฟนเพจหรือเพื่อติดตามเอาข่าวสารได้นะ\]

[Thai-novelจะทำการลงไวกว่าที่อื่นทุกที่ เป็นจำนวน 5 ตอน แต่เรื่องราคาแพงกว่าที่อื่นนิดหน่อย]

[หลังแปลจบ คิดว่าจะมีการเกลาคำเบื้องต้น แก้คำผิด ปรับสำนวนให้สละสลวย เทียบคำต่อคำ ขอบคุณที่ให้การสนับสนุนกันเสมอมานะครับ]

บทที่ 214 โมเมนตัม (1)

มนุษย์เรามักจะเริ่มต้นด้วยการจินตนาการเมื่อได้พบเห็นงานสร้างสรรค์ ฉันเองก็เช่นกัน ฉันมักจะคิดว่า หากฉันอยู่ในโลกใบนั้นจะเป็นเช่นไร หากเป็นฉัน ฉันจะทำเช่นนี้ หรือกระนั้น บินอยู่บนฟากฟ้า ตื่นขึ้นกลางอวกาศ หรือเผชิญหน้ากับสัตว์ประหลาดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ไม่ว่าจะเป็นแนวทางใด ก็คงไม่ต่างกันนัก

แม้จะเป็นเพียงละครโรแมนติกคอมเมดี้ธรรมดา ผู้ชมก็ยังคงจินตนาการให้ตัวเองเข้าไปอยู่ในบทบาทของตัวละครเอกอยู่ดี กระบวนการนี้เองที่ทำให้ผู้อ่านเกิดอารมณ์ร่วม สัมผัสและเข้าถึงเรื่องราวได้อย่างลึกซึ้ง

แล้วหากเราได้กลายเป็นตัวละครเอกในการ์ตูนแอนิเมชั่นล่ะ จะเป็นยังไงนะ

อย่างแรก คงต้องจินตนาการถึงภาพที่เห็นในโลกใบนั้น เพราะมันช่างแตกต่างจากภาพยนตร์หรือละครอย่างสิ้นเชิง โลกของแอนิเมชั่นคือโลกที่ถูกวาดขึ้น

ทว่า แม้จะเป็นเช่นนั้น ในนั้นก็ยังคงมีตัวละครเอก ตัวละครประกอบ และเรื่องราวที่ดำเนินไป

แม้เราอาจรู้สึกแปลกใจ แต่สำหรับตัวละครเอกในการ์ตูนแอนิเมชั่น โลกใบนั้นคือโลกแห่งความจริง คือชีวิตของพวกเขา เช่นเดียวกัน โลกของแอนิเมชั่นที่คังวูจินกำลังประสบพบเจอและเฝ้ามองอยู่นี้ก็คือโลกแห่งความจริงเช่นกัน

แน่นอนว่ามันอาจพิเศษขึ้นมาอีกนิด

เพราะทั้งแสงตะวันสีทองที่สาดส่องอยู่บนท้องฟ้า ก้อนเมฆที่ลอยเอื่อยมาบดบังเป็นระยะ ฝูงนกน้อยที่โผบินอย่างอิสระเบื้องบน ตึกระฟ้าที่ตั้งตระหง่าน ป้ายโฆษณาที่ประดับประดาอยู่บนตึก รถราที่แล่นขวักไขว่ไปมาบนท้องถนน ผู้คนที่กำลังข้ามทางม้าลาย ล้วนแตกต่างจากภาพที่คังวูจินเคยเห็นอย่างสิ้นเชิง

กล่าวอีกนัยหนึ่ง มันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าพระเจ้าเผลอทำสีกระเด็นใส่

โลกใบนี้ราวกับถูกแต่งแต้มด้วยปลายพู่กัน สีสันสดใสแต่งแต้มไปทั่วทุกหนแห่ง ทว่ากลับไม่มีผู้ใดแสดงความแปลกใจหรือเอ่ยปากบ่นออกมาแม้แต่น้อย สำหรับที่นี่ สิ่งนี้คือภาพชินตาที่เกิดขึ้นเป็นปกติวิสัย ผู้คนที่เดินสวนคังวูจินซึ่งยืนอยู่ริมทางต่างก้มหน้าก้มตาไปตามเส้นทางของตน โดยไม่ทันสังเกตเห็นสีสันที่เปล่งประกายอยู่บนร่างกายของเขา

ในตอนแรก วูจินเองก็รู้สึกสับสนไม่ต่างกัน

“...”

แต่เมื่อตั้งสติได้ ความรู้สึกนึกคิดมากมายก็หลั่งไหลเข้ามาในหัว ราวกับตัวละครในภาพยนตร์ที่ฉายซ้ำไปมา ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส ทุกอย่างประดังประเดเข้ามาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว บทภาพยนตร์ที่สมบูรณ์เพียงครึ่งเดียวทำให้ตึกสูงระฟ้าที่อยู่ไกลออกไปดูเลือนราง ใบหน้าของผู้คนรอบข้างกว่าครึ่งพร่ามัว ไร้ซึ่งเค้าโครง ทว่าวูจินหาได้ใส่ใจ

ไม่สิ ที่เขาไม่สนใจ เพราะในใจตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวที่ก่อตัวขึ้น

‘วันนี้อยู่เงียบ ๆ ไว้ดีกว่า’

ไม่มีสิ่งใดจะดีไปกว่าการใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมอีกแล้ว การทำตัวเป็นจุดสนใจมีแต่จะนำพาเรื่องวุ่นวายมาให้โดยใช่เหตุ พอดี พอประมาณ นั่นคือสิ่งที่วูจินพร่ำบอกกับตัวเอง หรือจะพูดให้ถูกคือถูกบังคับให้ท่องจำต่างหาก

ทว่าในวินาทีนั้นเอง

“นี่ ๆ นั่นใครอ่ะ ดูแปลก ๆ ป่าวอะ”

“จริงด้วย เรียนอยู่โรงเรียนไหนกันนะ?”

เสียงหัวเราะคิกคักของนักเรียนสาวสองคนที่เดินผ่านมา ทำให้คังวูจินต้องเงยหน้าขึ้นมอง พวกเธอเป็นเพียงภาพลาง ๆ ที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีสัน ทว่ากระโปรงที่พลิ้วไหวตามจังหวะก้าวกลับดูเป็นธรรมชาติอย่างน่าประหลาด วูจินได้แต่พึมพำกับตัวเองด้วยสีหน้าเรียบเฉย

‘เห็นแล้วล่ะ แต่แกล้งทำเป็นไม่เห็นก็แล้วกัน’

สายลมเย็นยะเยียบพัดผ่านพาเอาความหนาวมาเยือน บอกให้รู้ว่าฤดูใบไม้ร่วงได้มาถึงแล้ว คังวูจินสัมผัสได้ถึงไอเย็นที่กระทบใบหน้า ปอยผมปรกหน้าผากปลิวไสว เล่นกับสายลมอ่อน ๆ

"สงสัยผมคงจะยาวแล้วสินะ" วูจินพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ก่อนจะก้าวขาเดินต่อไปโดยไม่ลังเล

"ยืนโง่ทำไมยะ ทำตัวน่ารำคาญชะมัด!"

เสียงแหลมเล็กของใครบางคนดังมาจากทางด้านหลังเป็นภาษาญี่ปุ่น แม้จะเป็นน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความหงุดหงิด แต่สำหรับวูจินแล้ว กลับเป็นเสียงที่คุ้นเคย เป็นเสียงที่ได้ยินบ่อยครั้ง หรืออาจจะบ่อยจนเกินไปด้วยซ้ำ คังวูจินค่อย ๆ หันหลังกลับไป

ภาพสะท้อนของคังวูจินปรากฏบนกระจกใสของร้านค้า ร่างสูงโปร่งในชุดนักเรียนสีกรมท่า สวมเนคไท สะพายกระเป๋าโท้ทสีเข้าชุด ผมสีดำขลับ ปรกหน้าผาก ปิดบังดวงตาเอาไว้ ราวกับจงใจ แว่นตาขนาดพอเหมาะที่สวมอยู่ บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเขาตั้งใจทำให้ตัวเองดูไม่โดดเด่น

"เจ้าโง่ มายืนบื้ออะไรตรงนี้"

วูจินได้ยินเสียงแหลม ๆ ดังขึ้นจากทางด้านหลังอีกครั้ง

"ยัยนี่อีกแล้ว" วูจินได้แต่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ

ดวงตากลมโตสีน้ำตาลอ่อน คล้ายกับสีผมของเจ้าของ ด้านใต้ดวงตาประดับด้วยไฝเม็ดเล็ก ๆ แม้ว่าตอนนี้เธอจะดูเหมือนหลุดออกมาจากการ์ตูน แต่คังวูจินก็ได้แต่ขมวดคิ้วอย่างไม่ใส่ใจ

"เช้า แล้วก็ยังเจอเรื่องแย่ ๆ อีก เจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดซะด้วย" วูจินได้แต่บ่นกับตัวเองในใจ

"หุบปากไปเลย แล้วก็หลีกทางไปซะ" เสียงหวานเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

"ก็หลบเองสิ" วูจินตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

"ฉันไม่อยากเปลี่ยนทางเดินเพราะนาย"

"คนเราเลือกทำ แต่สิ่งดี ๆ อย่างเดียวไม่ได้หรอกนะ"

"······ฮึ่ม" หญิงสาวได้แต่ส่งเสียงในลำคออย่างไม่พอใจ

สายตาของเธอจับจ้องที่วูจินอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวเดินผ่านไป ปล่อยให้ผมยาวสีน้ำตาลสี่สะบัดพลิ้วไหว กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของแชมพูโชยมาแตะจมูก เขาแอบถอนหายใจเบา ๆ เธอคนนี้เป็นเพื่อนข้างบ้านที่โตมาด้วยกัน หรือจะเรียกว่า 'คู่กัด' ตั้งแต่เด็กจนโตก็น่าจะได้ ยิ่งมองตามแผ่นหลังบอบบางที่ค่อย ๆ เลือนหายไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนเธอกลายเป็นภาพเลือนรางในความทรงจำ

มันอาจจะเป็นสไตล์ของอนิเมะที่เขาดูบ่อย ๆ แต่วูจินไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

เพราะตอนนี้เขาต้องรีบไปโรงเรียน

สองขาของคังวูจินก้าวเดินต่อไปเรื่อย ๆ แต่สภาพแวดล้อมรอบตัวที่เปลี่ยนไป กลับสร้างความรู้สึกแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก เส้นสายและสีสันของอาคารบ้านเรือนดูไม่กลมกลืน การเคลื่อนไหวของผู้คนที่ผ่านไปมาก็ดูผิดธรรมชาติไปเสียหมด

แม้กระทั่งลูกสุนัขตัวน้อยที่วิ่งผ่านเท้าเขาไปเมื่อครู่นี้ ก็ไร้ซึ่งสีสันใด ๆ

ในที่สุดคังวูจินก็มาถึงโรงเรียนมัธยมปลาย ระหว่างที่กำลังเดินไปยังห้องเรียน เขาก็ท่องคำว่า 'สงบ' ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ ด้วยเหตุนี้ การมีตัวตนของเขาในห้องเรียนจึงแทบจะเป็นศูนย์ เขาเป็นเพียง 'นักเรียนชายคนที่ 1' ที่ไม่มีใครสนใจ ซึ่งนั่นคือสิ่งที่คังวูจินต้องการมาตลอด

แต่ดูเหมือนโชคชะตาจะเล่นตลก เมื่อเขาบังเอิญเจอเข้ากับเพื่อนสมัยเด็กคนนั้นในตอนเช้า

“ไปโรงอาหารกัน! โรงอาหาร!” เสียงใส ๆ ดังขึ้นข้าง ๆ ตัว

“หือ? รีบร้อนอะไรขนาดนั้น?”

“ไปด้วยกันสิ ไปด้วยกัน!”

เธอเป็นดาวเด่นของโรงเรียน มีเพื่อน ๆ ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เสมอ 'ก็นะ ใคร ๆ ก็ชอบคนสวยล่ะมั้ง' คังวูจินคิดในใจพลางส่ายหน้าเบา ๆ สำหรับเขา เธอก็เป็นแค่ 'อีแร้ง' เท่านั้นแหละ เขาแทรกตัวเข้าไปในห้องเรียนที่วุ่นวายราวกับมีพายุหมุนอยู่ภายใน ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงนั่งที่โต๊ะอย่างเงียบเชียบ เพื่อที่จะได้ 'ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในวันนี้'

แต่ความสงบสุขที่วาดฝันไว้ กลับมลายหายไปในอากาศ เมื่อคุณครูเดินเข้ามาในห้อง

“ทุกคนคงทราบกันดีแล้วนะ อีกสองวันข้างหน้านี้จะมีงานเทศกาลวัฒนธรรม-”

งานเทศกาลประจำปี เสียงเฮฮา บรรยากาศคึกคัก อันเป็นสัญลักษณ์แห่งโรงเรียนมัธยมปลาย กลับกลายเป็นความวุ่นวายน่าปวดหัวในความรู้สึกของวูจินเสียอย่างนั้น เขาเอนศีรษะลงกับฝ่ามือ คิดวนไปมา 'ปีนี้เราก็คงไม่พ้นต้องขนย้ายข้าวของเหมือนทุกทีสินะ' ทันใดนั้น เสียงแหลมเล็กของเพื่อนสมัยเด็กก็ดังแทรกขึ้น ขณะที่เธอลุกพรวดจากเก้าอี้

“นี่ ๆ! ปีนี้ให้วูจินคอสเพลย์ดีไหม!”

นิ้วเรียวของเธอยื่นตรงมาทางวูจินที่นั่งนิ่งราวกับไร้วิญญาณ สายตาทุกคู่ในห้องเรียนต่างจับจ้องมาที่เขาเป็นจุดเดียว วูจินขมวดคิ้วอย่างระอา ก่อนจะพึมพำกับตัวเองเบา ๆ

'ฆ่ามันเลยดีไหมนะ?'

'คอสเพลย์' คือไฮไลท์ของงานเทศกาล เป็นการคัดเลือกนักเรียนหนึ่งคนจากแต่ละห้อง มาแปลงโฉมเป็นตัวละครดังจากโลกการ์ตูน

และแล้ว ชีวิตอันสงบสุขของวูจินก็ถึงคราวสั่นคลอน

เวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใดแล้วก็ไม่อาจรู้ได้

[ “‘A: 1’ สิ้นสุดการอ่าน” ]

เสียงเรียบเฉยของหุ่นยนต์สาวดังก้องข้างหูของวูจิน เป็นการปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์

'อืม...'

ภาพเบื้องหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปในพริบตา บัดนี้วูจินยืนอยู่ในลานจอดรถ กว้างขวางเบื้องหน้ามีรถตู้ขนาดใหญ่จอดสงบนิ่ง ชเวซองกุน ชายหนุ่มผมเปียยาว กำลังยืนอธิบายบางสิ่งบางอย่าง

“เมื่อบทละครเบื้องต้นตอนที่ 1 มาแบบนี้ นั่นหมายความว่า ‘สตูดิโอ A10’ ได้เริ่มต้นการถ่ายทำอย่างเป็นทางการแล้วสินะ”

วูจินจ้องมองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างเงียบงัน ก่อนจะค่อย ๆ ก้มลงมองมือตัวเอง สลับกับมองเท้าที่ยืนอยู่บนพื้น จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองชเวซองกุน รถตู้คันใหญ่ และทัศนียภาพรอบข้างอีกครั้ง

ความรู้สึกประหลาดแล่นริ้ว

สติสัมปชัญญะของวูจินกลับคืนสู่สภาวะปกติอย่างรวดเร็ว แต่ความตื่นตะลึงจากการหลุดเข้าไปในโลกแห่งอนิเมะยังคงติดตรึงอยู่ในใจ

'ที่นี่... ที่ไหนกันนะ?'

ใช่เลย รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ เหมือนใช้ชีวิตอยู่ในโลกอื่นแล้วหวนกลับมาอย่างนั้นแหละ เหมือนทำเควสสำคัญ ๆ จนครบถ้วนแล้วกลับสู่โลกที่จากมา สรุปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอนิเมะหรือที่นี่ ล้วนเป็นความจริง แต่ฉันก็สัมผัสได้ว่าความรู้สึกตอนนี้ต่างจากภาพยนตร์ ละคร หรือโลกของบทบาทต่าง ๆ

‘เหมือนมีมิติเพิ่มขึ้นมาอีกมิติหนึ่ง— ไม่สิ ฉันควรอธิบายมันยังไงดี?’

แต่ที่แน่ ๆ คือมันเป็นความรู้สึกที่ฉันสัมผัสได้จากผู้คนทั้งหมดบนโลกใบนี้ และ

‘น่าสนใจจริง ๆ’

ฉันไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับสถานการณ์ตอนนี้ ทันใดนั้น ชเวซองกุนเจ้าของผมเปียก็เอียงศีรษะมาถาม

“เฮ้วูจิน นายเป็นอะไร ฟังที่ฉันพูดอยู่หรือเปล่า”

ฉันพยักหน้า แววตาเย็นชาราวกับถูกแช่แข็ง

“ครับ ท่านประธาน”

“อืม—เออ ยังไงซะดูอนิเมะคร่าว ๆ ก็น่าจะรู้นะ เรื่องนั้นต้นฉบับมันคือ ‘เพื่อนชาย’ เขากำลังเอา ‘เพื่อนชาย’ มาดัดแปลง ตัดเนื้อเรื่องออกอยู่น่ะ”

อ๊ะ? งั้นเหรอ ที่นางเอกดูคล้ายคุณฮวาลิน นั่นก็เพราะแบบนี้เอง? ถึงจะเป็นอนิเมะสั้น ๆ แต่โครงเรื่องของอนิเมะที่ฉายออกมาก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะแตกต่างกัน แต่แก่นเรื่องก็คล้ายกับ ‘เพื่อนชาย’ ฉันจึงถามกลับอย่างไม่ใส่ใจ

“‘เพื่อนชาย’ จะถูกเอาไปทำเป็นอนิเมะเหรอครับ?”

“ใช่ ในเมื่อมันดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็น่าจะคุยกับนักเขียนชเว หรือ Netflix เสร็จเรียบร้อยแล้วล่ะมั้ง เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นนะ จริง ๆ แล้วกรณีตรงกันข้ามมีมากกว่าด้วยซ้ำ จากการ์ตูนไปเป็นอนิเมะ แล้วก็ไปเป็นภาพยนตร์คนแสดง”

ในทางกลับกัน ก็มีผลงานคนแสดงที่ถูกนำไปสร้างเป็นอนิเมะและการ์ตูนเช่นกัน

"วูจิน นายคิดยังไง? ตอนนี้มันแค่บทของตอนที่ 1 แถมยังเป็นแค่ฉบับร่างด้วย มันเลยดูคลุมเครือ ความรู้สึกเทพ ๆ ของนายมันทำงานหรือเปล่า?"

จริง ๆ มันก็ทำงานไปแล้วล่ะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความสมบูรณ์ยังต่ำหรือเปล่า ระดับเลยอยู่ที่ D

"ก็ดีครับ"

ถึงอย่างนั้นวูจินก็คิดว่าเนื้อเรื่องมันสนุกดี เขาอาจจะรู้สึกแบบนั้นเพราะได้ใช้ชีวิตแบบนั้นมาแล้วก็ได้ เรื่องราวเกี่ยวกับพระเอกที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่ความจริงแล้วเขามีตัวตนที่แท้จริงซ่อนอยู่ และชีวิตที่สงบสุขของเขาก็พังทลายลงเมื่อเขาเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา ตัวละครอื่น ๆ รวมถึงนางเอกที่เป็นเพื่อนสมัยเด็กก็ค่อย ๆ เข้ามามีบทบาทมากขึ้น

แน่นอนว่าแกนหลักก็คือโรแมนติกคอมเมดี้ระหว่างพระเอกกับนางเอก

ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ชเวซองกุนก็รับรู้บทที่วูจินอ่านจบแล้ว กลับมาพร้อมกับถามขึ้นว่า

" 'สตูดิโอ A10' ติดต่อมา อยากได้นายไปพากย์เสียง ฉันก็เข้าใจได้อยู่หรอก เพราะนายดังในญี่ปุ่น แถมยังมีฝีมือภาษาญี่ปุ่นอีกอย่าง คงอยากได้อะไรแปลก ๆ ที่คาดเดาไม่ได้ด้วยล่ะมั้ง ว่าไง ทางนั้นอยากนัดเจอ ถ้าไม่สะดวกจะปฏิเสธไปก็ได้นะ"

คังวูจินตอบอย่างไม่ลังเล

"ผมไปเจอได้ครับ"

เพราะตัดสินใจด้วยความ ‘สนใจ’ ล้วน ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น วันที่ 11 ที่โรงฝึกสตั๊นท์ขนาดใหญ่ในโซล

มีทีมสตั๊นท์มากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ พื้นปูด้วยเสื่อสีเทาทั้งหมด แต่ละโซนมีอุปกรณ์ที่จัดไว้ต่างกัน บางโซนมีลวดสลิงห้อยลงมาจากเพดาน บางโซนมีดาบไม้ตั้งเรียงราย และตรงกลางห้องปรากฏร่างของPDซงมันวู หนุ่มเครารกสวมเสื้อแพดดิ้งแบบบาง เขากอดอกใบหน้าดูจริงจัง

"อืม..."

ทีมกำกับและทีมสตั๊นท์ของ "มารร้ายผู้แสนดี" มารวมตัวกันอย่างพร้อมเพรียง บนเสื่อซ้อมสีเข้ม สมาชิกในทีมสตั๊นท์หลายคนกำลังวาดลวดลายท่วงท่าการต่อสู้ ดุดันแต่เปี่ยมไปด้วยศิลปะ พวกเขากำลังซ้อมคิวบู๊จากสตอรีบอร์ดฉากสำคัญในตอนที่ 1–2 เสียง "ฮึบ! เฮือก! อึก!" ดังขึ้นเป็นระยะ เป็นจังหวะเร้าใจคลอไปกับการเคลื่อนไหว

ซงมันวูในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีดำ ยืนพิจารณาการเคลื่อนไหวของทีมสตั๊นท์อย่างตั้งใจ ดวงตาคมกริบฉายแววพึงพอใจ "ไม่เลว" เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ แอ็กชั่นในซีรีส์เรื่องนี้ค่อนข้างซีเรียสสำหรับเขา เพราะนาน ๆ ทีที่เขาจะได้กำกับฉากแอ็กชั่นแบบจัดเต็มแบบนี้ แต่เมื่อเห็นคอนทีแอ็กชั่นที่ผู้กำกับคิวบู๊ส่งให้ เขาก็รู้สึกวางใจ

ผู้กำกับแต่ละคนต่างก็มีสไตล์ฉากบู๊ในฝันที่แตกต่างกัน บางคนโหยหาความสะใจ บางคนหลงใหลในความบีบคั้น บางคนชื่นชอบความสวยงามอลังการ และบางคนก็ชอบแบบกระชับ เข้าใจง่าย สำหรับซงมันวูที่คร่ำหวอดในวงการซีรีส์มาอย่างยาวนาน เขาชอบฉากต่อสู้ที่ให้ความรู้สึกหนักหน่วง สมจริง เน้นพลังในการโจมตี ผ่านเสียงเอฟเฟคและการเคลื่อนกล้องที่เฉียบคม

ซงมันวูเดินไปยืนเคียงข้างผู้กำกับคิวบู๊ที่วันนี้สวมเสื้อสีดำเหมือนกัน ก่อนจะเอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงติดตลก "เป็นไงบ้าง? ไม่พูดอะไรแบบนี้ ฉันล่ะเสียวสันหลังแฮะ"

ผู้กำกับคิวบู๊ร่างกำยำได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแห้ง ๆ ซงมันวูเห็นเข้าจึงลูบคางอย่างครุ่นคิด ก่อนจะวางคอนทีแอ็กชั่นลงแล้วตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง "..."

“ก็บอกแล้วไงว่าคอนทีโอเค ทำไมต้องกังวลขนาดนั้นด้วยล่ะครับ คุณน่ะมืออาชีพจะตาย”

(Action Continuity = การจัดลำดับฉากแอคชั่น ของผู้กำกับ)

“ฮ่า ๆ รู้ทันอีก แต่ท่าทางบู๊กับคอนทีมันเหมือนกันหรือไง?”

“ว่าแต่ทีมนี้ใช่มั้ยที่ตกลงกันไว้?”

“ใช่ ๆ ครับ เก่งสุดแล้ว”

“ลองจัดให้มันส์กว่านี้หน่อยสิ”

“โอเค”

ผู้กำกับคิวบู๊เอ่ยขัดจังหวะทีมสตั๊นท์ที่กำลังสาธิตท่วงท่าแอ็กชั่น ก่อนจะออกคำสั่งบางอย่าง รอเพียงอึดใจ ฉากต่อสู้เมื่อครู่ก็กลับมาดำเนินต่อ ทว่าคราวนี้ดุเดือดยิ่งกว่าเดิม

“ฮึบ!”

“อึก!”

เสียงปะทะดังกึกก้อง ขณะเดียวกัน PDซงมันวู ก็กำลังครุ่นคิดถึงการกำกับฉากนี้ในหัว เขาจินตนาการภาพคังวูจินอยู่ท่ามกลางทีมสตั๊นท์ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าอย่างลืมตัว ก่อนจะหันไปสั่งผู้ช่วยผู้กำกับที่ยืนอยู่เคียงข้าง

“ดี ส่งคอนทีศิลปะการต่อสู้ส่งไปให้วูจินดูเลย ส่งตอนนี้เลยนะ แล้วก็ลองเช็กดูหน่อยว่าถ้าโอเคกัน จะให้เขามาเทสต์คิวบู๊พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้ได้ไหม?”

“ครับ ได้เลยครับ!”

ผู้ช่วยรับคำอย่างกระตือรือร้นแล้วรีบวิ่งออกไป ซงมันวู เดินกลับมาหาผู้กำกับคิวบู๊ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงฉงน

“พรุ่งนี้หรือมะรืนนี้? ไม่เร็วไปหน่อยเหรอ? ถึงจะบอกว่าวูจินมีฝีมือเรื่องคิวบู๊อยู่แล้ว แต่เขาก็ต้องพอมีเวลาทำความเข้าใจคิวบู๊บ้างสิ”

“วูจินเขาจะไปญี่ปุ่นน่ะ ผมต้องรีบเช็กคิวก่อนที่เขาจะบิน”

“อ๋อ”

“ตารางงานเขาก็แน่นเอี๊ยดอยู่ คงเทสต์ได้ไม่นานหรอก แค่ดูคิวบู๊คร่าว ๆ ก็น่าจะพอแล้วล่ะ”

“ก็นั่นสิน งั้นแปลว่าในที่สุดผมก็จะได้เห็นฟอร์มบู๊ของวูจินกับตาตัวเองซะทีสินะ”

ผู้กำกับคิวบู๊พึมพำกับตัวเองพลางลูบมือด้วยความตื่นเต้น

“ทั้งคลิปกล้องหน้ารถ นั่นอีก ผมล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าเขามีของดีอะไรซ่อนอยู่อีก”

ไม่กี่อึดใจ ผู้กำกับคิวบู๊ก็สั่งคัท ปล่อยให้เหล่าสตั๊นท์ทรุดกายลงบนเบาะนุ่มอย่างหมดแรง ถึงแม้ร่างกายของทุกคนจะกำยำแข็งแกร่งเพียงใด แต่การออกแอ็คชั่นต่อเนื่องไม่หยุดพักเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาต้องหอบหายใจอย่างเหนื่อยล้า

เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มผมสั้นดังขึ้นท่ามกลางบรรยากาศที่เริ่มผ่อนคลาย

“โธ่เอ้ย— เกือบตาย คังวูจินจะมาดูการเทสต์ด้วยตัวเองจริงดิ”

เหล่าสตั๊นท์ที่นั่งพักเหนื่อยอยู่ต่างก็หันมาสนใจ พลางสนทนากันด้วยน้ำเสียงติดจะเหน็ดเหนื่อย

“เทสต์อะไรกันล่ะ แค่มาดูฟอร์มเฉย ๆ มากกว่า ปกติก็เป็นแบบนี้ตลอดแหละ พวกเรานี่แหละที่ตาย แต่ก็นะ คังวูจินดังจะตาย เขามาดูด้วยตัวเองเลยแฮะ ได้ยินมาว่าปกติเขาไม่มาดูเทสต์หรอก จะมาตอนซ้อมเลย”

“จริงสิ นายได้ดูคลิปนั้นหรือยัง ที่เขาประกาศศึกในบลูดราก้อนน่ะ”

“เห็นป่ะ เหมือนคนบ้าเลยอ่ะ ถึงจะมั่นใจในการแสดงแค่ไหน แต่แบบนั้นมันก็เกินไปหน่อย ฉันไม่ค่อยชอบเลย”

“ปกติเขาเป็นคนแบบนั้นเหรอ หรือว่าบริษัทสั่งให้ทำ?”

“บริษัทไหนมันจะสั่งให้ทำเรื่องบ้า ๆ แบบนั้น คังวูจินนั่นแหละที่แปลกเอง”

“แต่ก็นะ ดูท่าทางจะเจ๋งจริง”

“เจ๋งอะไรล่ะ นั่นมันเพี้ยนแล้ว เพี้ยน! หรือไม่ก็แค่พยายามทำเป็นเก่งไปงั้นแหละ”

บทสนทนาซุบซิบนุังนินทาเรื่องของคังวูจินยังคงดำเนินต่อไป ภาพชินตาที่พบเห็นได้ทั่วไปในวงการบันเทิงแม้แต่สตั๊นท์ก็ยังไม่เว้น

“แล้วฝีมือการต่อสู้ของคังวูจินเป็นไงบ้าง?” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้น ขัดจังหวะการสนทนา

“ก็นะ ดูจากคลิปกล้องวงจรปิดแล้ว ไม่ธรรมดาใช่มั้ยล่ะ ผู้กำกับคิวบู๊บอกว่า คุณคังวูจินเขาผ่านการฝึกฝนวิชาต่อสู้มาจริง ๆ อะไรแบบนั้น”

“เหลวไหลน่า แค่บังเอิญเรียนรู้วิชาป้องกันตัวมาบ้างแล้วโชคดีก็เท่านั้นแหละ แต่ถ้าเป็นฮวาลินนะ ฉันเอาชีวิตเป็นประกันเลย”

"งั้นเหรอ? ก็แบบ... ฉันไม่เคยแสดง ไม่เคยฝึกอะไรพวกนี้จริงจังมาก่อนนี่เรื่องแรกเลยที่เล่นหนังบู๊ ตื่นเต้นจนลืมท่าหมดเลย"

ทันใดนั้น ชายร่างยักษ์ผู้มากประสบการณ์ที่สุดในทีมสตั๊นท์ พัคชอลกยู ก็แทรกขึ้นมา

"ตอนซ้อมวันนั้น ลองออกแบบท่าให้มันดูรุนแรงขึ้นหน่อยเป็นไง? แบบ... เนียน ๆ น่ะ"

"เอ๋? รุนแรงขึ้นเหรอครับ?"

"อืม ปกติเวลาทำงานกับนักแสดงที่เพิ่งเคยเล่นฉากแอ็กชั่น เราก็จะทำให้มันดูดุเดือดหน่อย ๆ ไง จะได้เป็นที่จดจำ แล้วอีกอย่าง..."

พัคชอลกยูผู้งดงามราวกับยักษ์เผยรอยยิ้มออกมา

"ไม่คิดอยากรู้เหรอ ว่าคังวูจินน่ะ... เจ๋งจริงหรือเปล่า?"

-จบ-

ติดตามผู้แปลได้ที่แฟนเพจ:ยักษาแปร ผู้แปลลงแค่ในMy-NovelและThai-novelเท่านั้น หากอ่านที่อื่นรบกวนมาสนับสนุนทีนะครับผม หรือจะมากดไลก์แฟนเพจก็ได้ กระซิกกระซิก ;-;_

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด