บทที่ 11 เด็กสาวผู้จริงจัง
บทที่ 11 เด็กสาวผู้จริงจัง
“สิ่งสำคัญอันดับแรกของการเป็นนักบำบัดที่ดีก็คือ ต้องมีจิตใจที่ดี และปฏิบัติตามกฎ...”
หญิงสาวหลับตาอ่านตำรา เธอไม่รู้เลยว่าเย่เหรินกำลังยืนอยู่ข้างๆ เธอ
เมื่อได้ยินว่าห้องเรียนเงียบสนิท จนแทบจะไม่ได้ยินเสียงใดๆ
เธอจึงค่อยๆลืมตาขึ้น
หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เธอเห็นเย่เหรินกำลังยิ้มให้เธอ เด็กสาวตกใจจนจึงรีบลุกขึ้นยืน
ถึงแม้จะเป็นแบบนั้น เธอก็ยังโค้งคำนับให้กับเย่เหรินอย่างสุภาพ
“เย่...ครูเย่ หนูไม่รู้ว่าครูอยู่ที่นี่”
เย่เหรินพลิกตำราของเด็กสาว เขาถอนหายใจออกมา
“หลักการพื้นฐานของการเยียวยาด้วยพลังวิเศษ... เจียงเสี่ยวหรู ฉันไม่คิดเลยว่าเธอจะเรียนรู้สิ่งที่เธอต้องเรียนในปีสองไปแล้ว เก่งมาก”
ทันทีที่เย่เหรินพูดจบ ใบหน้าของเจียงเสี่ยวหรูก็เปลี่ยนไปเป็นสีแดง
เธอรู้สึกอับอายอยู่ครู่หนึ่ง เธอไม่รู้จะพูดอะไร หัวสมองของเธอกำลังสับสน ในตอนนั้นเองเธอก็เผลอพูดออกไปว่า
“ค่ะ...ขอโทษด้วยค่ะครูเย่ ฉันจะไม่ท่องตำราอีกแล้วค่ะ!!”
ทันทีที่เธอพูดจบ ห้องเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
เสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมชั้นทำให้เจียงเสี่ยวหรูยิ่งสับสนมากขึ้น
เธอขดตัวด้วยความประหม่าอยู่ที่มุมห้อง เธอกำลังขยี้ชายเสื้ออย่างกังวล
เย่เหรินที่เห็นแบบนั้น เขายังคงนิ่งเงียบ
ในห้องเรียนแห่งนี้ คนที่ตั้งใจเรียนจะถูกหัวเราะเยาะ แถมยังต้องขอโทษอาจารย์จนไม่กล้าท่องตำราอีกงั้นเหรอ??
นี่มันเรื่องตลกอะไรกันล่ะเนีย?
“หัวเราะอะไรกัน?”
น้ำเสียงของเย่เหรินดูสงบนิ่ง แต่มันกลับทรงพลัง
ประโยคง่ายๆ นั้นทำให้เสียงหัวเราะหยุดลงทันที
“ฉันกำลังถามพวกแกอยู่ว่า ขำอะไรกัน?”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเย่เหริน นักเรียนส่วนใหญ่ก็นิ่งเงียบ
“ครูเย่ เธอน่ะตั้งใจเรียนมากก็จริง แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ยังใช้ทักษะการเยียวยาระดับต่ำสุดไม่ได้ พวกเราเลยคิดว่าการเรียนน่ะมันไม่มีประโยชน์”
เสียงพูดของใครบางคนดังขึ้นมาจากกลุ่มนักเรียน
คำพูดนั้นเอง
ทำให้เจียงเสี่ยวหรูยิ่งอับอาย
เจียงเสี่ยวหรู
เด็กที่สามารถปลุกพรสวรรค์ในการเยียวยาขึ้นมาได้ แต่กลับใช้ทักษะการรักษาระดับต่ำสุดไม่ได้ มันเป็นปัญหาที่ติดตัวเธอมานาน
เธอเรียนอย่างหนักทุกๆ วัน ตั้งใจทำการบ้านมากกว่าใครๆ และปฏิบัติตามกฎระเบียบมากกว่าใครๆ
เป็นนักเรียนที่เชื่อฟังและเรียบร้อยที่สุดในสายตาของครูทุกคน
แม้แต่คะแนนทฤษฎีก็ยังติดอันดับหนึ่งของทั้งระดับชั้น
แต่ผลการปฏิบัติจริงของเธอกลับแย่ที่สุดในโรงเรียน
อ้างอิงตามระบบของโรงเรียน
ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของเจียงเสี่ยวหรู หากเจียงเสี่ยวหรูยังไม่สามารถผ่านการทดสอบการต่อสู้จริงในระดับต่ำสุดได้
เธอจะถูกไล่ออกจากโรงเรียน
และเมื่อได้ฟังคำพูดของเพื่อนร่วมชั้น สถานการณ์ที่เป็นอยู่ก็ยิ่งน่าอับอาย
มันเหมือนกับศรเย็นที่แทงทะลุหัวใจของเจียงเสี่ยวหรู
ความเศร้าและความคับข้องใจพวยพุ่งเข้ามาในใจของเธอ ดวงตาของเธอเริ่มแดงก่ำ
เย่เหรินมองไปที่นักเรียนทั้งหลาย เขานิ่งเงียบ
นี่มันห้อง 2 ชั้นปีที่ 1
ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความคิดที่ว่า ‘การเรียนไม่มีประโยชน์’ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยการกินดื่มเล่น
การตั้งใจเรียนอย่างหนักกลับกลายเป็นเรื่องตลก
ทุกคนต่างติดอยู่ในห้วงลึกแห่งความสิ้นหวัง พวกเขาไม่คิดจะหนีออกไป กลับพยายามดึงคนอื่นให้ลงไปในห้วงแห่งนั้นกับพวกเขา
ถ้าหากอยากจะให้ชั้นเรียนนี้พลิกกลับมา ถ้าหากอยากจะทำให้ชั้นเรียนนี้เก่งกาจขึ้น
เย่เหรินจะต้องแก้ไขบรรยากาศของชั้นเรียนนี้ให้ได้ซะก่อน
ในเมื่อกรณีของเจียงเสี่ยวหรูกลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการเรียนนั้นไม่มีประโยชน์
สิ่งที่เย่เหรินต้องทำก็คือ โค่นล้มหลักฐานที่ไม่อาจปฏิเสธไม่ได้นี้ซะ!!
เย่เหรินเดินไปหาเจียงเสี่ยวหรูอย่างเงียบๆ
เขาปกป้องเจียงเสี่ยวหรูจากสายตาของทุกคน
“ฉันจะไม่สืบหรอกนะว่าใครเป็นคนพูด ฉันรู้ว่าพวกแกทุกคนมีความคิดแบบนั้นอยู่”
“พวกแกทุกคนกำลังหัวเราะเยาะคนที่ตั้งใจอย่างหนัก กำลังหัวเราะเยาะคนที่ทำงานไร้สาระ และพยายามสนับสนุนความคิดที่ว่าการเรียนไม่มีประโยชน์ของตัวเอง”
“แต่นั่นคือเหตุผลที่พวกแกไม่พยายามกันเหรอ?”
“ทุกคนที่นี่สอบเข้าสถาบันเกาอู่แห่งมหานครเวทมนตร์ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง ทุกคนต่างก็มีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา แต่ตอนนี้พวกแกกลับไม่เต็มใจที่จะก้าวไปข้างหน้า ไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้ตัวเองเหมือนกับโคลนตมที่ใครๆ ก็เหยียบย่ำได้”
เย่เหรินมองไปรอบๆ สายตาที่เฉียบคมในดวงตาของเขาทำให้นักเรียนทุกคนก้มหน้าลง
“พวกแกคิดว่าการตั้งใจอย่างหนักนั้นไร้ประโยชน์ พวกแกเยาะเยาะคนที่พยายาม ถามจริงๆ เหอะ ความจริงแล้วพวกแกน่ะไม่ได้กำลังดูถูกตัวเองอยู่เหรอ?”
“เมื่อเจออุปสรรคเพียงเล็กน้อย พวกแกก็เลือกที่จะหนี
กลัวว่าตัวเองจะไม่ใช่อัญมณี พวกแกก็เลยไม่คิดจะลองฝึกฝน
แต่ในใจลึกๆ ก็คิดว่าตัวเองเป็นอัญมณี มันทำให้รู้สึกพึงพอใจ แต่ก็กลัวความจริง พวกแกเลยหนีเข้าไปอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ
อยู่ที่นี่ ในโลกที่สามารถปลอบโยนตัวเองได้ แต่ก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว”
คำพูดของเย่เหรินตรงประเด็นทุกอย่าง
นักเรียนที่อยู่ที่นั่นพูดไม่ออก บางคนถึงกับหน้าแดงด้วยความอับอายและความโกรธ
เย่เหรินและเจียงเสี่ยวหรูยืนอยู่ตรงกลางแท่นบรรยาย
“ความพยายามของเจียงเสี่ยวหรูไม่เคยสูญเปล่า วันหนึ่งเธอจะโผล่ออกมาจากรังไหม เธอจะกลายเป็นผีเสื้อ และยืนหยัดต่อหน้าทุกคนได้อีกครั้ง”
“ฉันรู้ว่าพวกแกอาจจะไม่พอใจ แต่จำสิ่งที่ฉันพูดเอาไว้ให้ดี วันหนึ่งพวกแกจะได้เห็นกับตาตัวเองว่า เจียงเสี่ยวหรูจะพิสูจน์ให้พวกแกได้เห็นถึงประโยชน์ของการเรียน และการตั้งใจอย่างหนักเอง!”
เย่เหรินหันไปทางเจียงเสี่ยวหรู
“เจียงเสี่ยวหรู ตามฉันมา”
เจียงเสี่ยวหรูมองไปที่เย่เหรินอย่างว่างเปล่า
ในตอนนั้นเอง ภายใต้แสงแดด วันนี้เย่เหรินดูเหมือนกับเทวดาที่ลงมาจากสวรรค์
“ค่ะ...ค่ะ ครู”
เจียงเสี่ยวหรูกอดตำราของเธอ เธอเดินตามเย่เหรินออกจากห้องเรียนไป
นักเรียนที่เหลือต่างก็มองหน้ากัน
ที่ทางเดิน
เย่เหรินเดินนำหน้า เจียงเสี่ยวหรูเดินตามหลัง
สองคนกำลังเดินตามกัน
เย่เหรินเพิ่งจะสังเกตเห็นว่า
ตราบใดที่เขายังคงเดินเร็ว เจียงเสี่ยวหรูก็จะเดินตามเขาเร็วขึ้น ถาหากเขาเดินช้าลง เจียงเสี่ยวหรูก็จะเดินช้าลง
เธอไม่ยอมเดินเคียงข้างเขา
“เสี่ยวหรู ไม่ต้องเกร็งแบบนั้นก็ได้”
เจียงเสี่ยวหรูส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ตามกฎของโรงเรียนแล้ว พวกเราต้องเคารพครู การเดินตามหลังครูครึ่งก้าวเป็นการแสดงถึงความเคารพค่ะ”
เย่เหรินส่ายหัวอย่างหมดหวัง
“แล้วแต่เธอก็แล้วกัน แต่เธอยังถือตำราอยู่ทำไม?”
“ครูเย่คะ ตามกฎของโรงเรียน พวกเราจะต้องทบทวนเนื้อหาในตำราทุกๆ วันค่ะ หนูต้องอ่านมันตลอดเวลาค่ะ”
เย่เหรินเห็นเจียงเสี่ยวหรูทำทุกอย่างตามกฎของโรงเรียน
เย่เหรินหยุดเดิน เขาหันหลังกลับไปมองเด็กหญิงที่ดูจริงจังอยู่ตรงหน้า เขายิ้มออกมาอย่างหมดหวัง
เย่เหรินนึกถึงข้อมูลของเจียงเสี่ยวหรูจากระบบ
เจียงเสี่ยวหรู
เพศหญิง อายุ 19 ปี
พลังตื่นรู้: พรสวรรค์ในการเยียวยาระดับ B
การฝึกฝนในปัจจุบัน: การฝึกฝนร่างกายสถาบันเกาอู่แห่งมหานครเวทมนตร์ 2.0 (เวอร์ชั่นสาธารณะ)
ข้อดี: มีระบบความรู้ในด้านผู้เยียวยาที่สมบูรณ์แบบ และเชี่ยวชาญทักษะพื้นฐานของนักบวชทั้งหมด
ข้อเสีย: ไม่สามารถใช้พลังในการเยียวยาได้
แผนการแนะนำ:
เข้ากันได้ดีกับอาชีพนักเยียวยาแห่งรัตติกาล แนะนำให้สืบทอดอาชีพนักเยียวยาแห่งรัตติกาล ข้อมูลการรับมรดกเฉพาะมีดังนี้...
พูดตามตรง นี่เป็นครั้งแรกที่เย่เหรินได้ยินว่าเจียงเสี่ยวหรูเหมาะกับการสืบทอดเป็นนักเยียวยาแห่งรัตติกาล
เขารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
การสืบทอดอาชีพ มันคือวิธีการฝึกฝนของพรรคและสำนัก
มันแตกต่างจากความสามารถที่ตื่นขึ้นมา และการสืบทอดสายเลือดของตระกูลขุนนาง
พรรคและสำนักต่างๆ มีวิธีการฝึกฝนเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะพรรคใหญ่ที่มีความเชื่อทางศาสนา
สิ่งที่พวกเขาเรียกว่าเทพเจ้านั้น จะมอบพลังและการสืบทอดให้
พรรคต่างๆ จะออกตามหาและดึงดูดผู้สืบทอดที่เหมาะสมกับระบบของตนเองในหมู่มนุษย์
อย่าง มรดกทูตสวรรค์ และมรดกพาลาดิน
พระพุทธรูปโบราณ และพระโพธิสัตว์ในวิหารหลวง
ยิ่งผู้สืบทอดมีความเหมาะสมกับมรดกมากเท่าไหร่ ความสมบูรณ์ของมรดกก็จะยิ่งสูงขึ้น ผลลัพธ์ก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
มรดกของผู้เยียวยาแห่งรัตติกาลมาจากพลังพิเศษที่ยิ่งใหญ่ พลังของสามปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ โรงเตี๊ยมอิสระ
ในโลกใบนี้ คนที่นี่เป็นทั้งคนดีและคนชั่ว ทำทุกอย่างตามใจชอบ เทพเจ้าที่พวกเขานับถือก็เป็นพวกนอกรีตและมีความเป็นตัวของตัวเอง
มรดกมากมายหลายอย่างไม่เคยได้มีผู้สืบทอดแม้แต่คนเดียว
เช่นเดียวกับนักเยียวยาแห่งรัตติกาลที่เจียงเสี่ยวหรูเหมาะสม
ถ้าวันนี้เย่เหรินไม่ได้ยินคำแนะนำจากระบบ
เขาอาจจะไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับเส้นทางการสืบทอดอาชีพนี้เลยในชีวิต
แต่ตามข้อมูลจากระบบ
มรดกของนักเยียวยาแห่งรัตติกาลนั้นแข็งแกร่งมาก
เป็นหนึ่งในมรดกแห่งอาชีพชั้นนำ
และเป็นหนึ่งในความลับของโรงเตี๊ยมอิสระ แต่มันไม่มีใครสืบทอดได้สำเร็จ