ตอนที่ 550 เทียบเคียงกับคณบดี?
โจว เล่อฉือ คาดว่ามูลค่าของ ‘บทกวีจากศาลเจ้าจิงฝูโบ้’ จะอยู่ที่หลายสิบล้าน หรืออาจถึงร้อยล้าน
ในจำนวนนี้แม้ว่าจะมากจนเขารู้สึกเจ็บปวดใจบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เขาสามารถรับได้ ถ้าต้องมอบให้ เย่เฉิน เขาก็พอจะทนได้
แต่ถ้ามูลค่าสูงกว่านี้อีก.. โจว เล่อฉือ อาจจะรับไม่ได้แล้ว
“อืม… ในปี 2010 ผลงานลายมือเรื่อง ‘จารึกเสาหิน’ ของ หวงถิงเจียน ถูกประมูลขายไปในราคามากกว่าสี่ร้อยล้าน ทำให้เกิดความตื่นตะลึงในวงการโบราณวัตถุของประเทศ”
ปรมาจารย์หนิง ตอบอย่างจริงจังว่า :
“ลายมือของ หวงถิงเจียน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นทุกปี และ ‘บทกวีจากศาลเจ้าจิงฝูโบ้’ นี้ไม่ได้มีคุณค่าทางศิลปะ หรือประวัติศาสตร์ต่ำกว่า ‘จารึกเสาหิน’ แต่ในทางตรงกันข้าม มันอาจมีคุณค่ามากกว่านิดหน่อยด้วยซ้ำ”
“ถ้าถูกนำไปประมูลในงานใหญ่ๆ ราคาขายของมันน่าจะอยู่ที่ประมาณพันล้าน”
ประมาณพันล้าน?!!!
พันล้าน!!!
หลังจากฟังคำพูดของ ปรมาจารย์หนิง โจว เล่อฉือ พลันรู้สึกเหมือนหัวใจหยุดเต้น
พันล้าน!
ไอ้เขวี่ยเอ้ยยย!!!
แม้เขาจะมีฐานะร่ำรวยก็จริง แต่เขาก็ยังเป็นเพียงทายาทในตระกูล ยังไม่ได้เริ่มรับผิดชอบธุรกิจอะไร และต่อให้ได้รับหน้าที่ เขาก็อาจจะไม่สามารถหาเงินหนึ่งพันล้านได้ในทันที
หากเขามีเงินพันล้านในมือ เขาจะสามารถใช้จ่ายได้อย่างอิสระ.. และกลายเป็นจุดสนใจในแวดวงสังคมของเขาเองได้
เนื่องจากครอบครัวของเขาควบคุมอย่างเข้มงวด เขาไม่เคยมีเงินในมือเกินร้อยล้านด้วยซ้ำ เงินค่าขนมที่พ่อให้เขาในแต่ละเดือนมีเพียงแค่แปดถึงเก้าล้านเท่านั้น
บางครั้งก็น้อยกว่านั้น อาจเหลือเพียงสี่ หรือห้าล้านเท่านั้น
พันล้าน! ถ้าเงินนี้เป็นของเขา คงดีไม่น้อย แต่ตอนนี้ สมบัติจำนวนมหาศาลนี้กลับต้องมอบให้ เย่เฉิน ฟรีๆ ไปอย่างไร้ประโยชน์..
อ๊ากกกกกกก!!!!
โจว เล่อฉือ รู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังจะหลุดออกมาจากอก เขาเหมือนคนโง่ คนบ้าคนหนึ่งจริงๆ!
“เสี่ยวเย่ ยินดีด้วยที่ได้เป็นเจ้าของลายมือที่แท้จริงของ หวงถิงเจียน”
คุณปู่โจว พูดขึ้น
ในเมื่อหลานชายของเขาได้กล่าวไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นพันล้าน หรือแม้แต่หลายหมื่นล้าน เขาก็ยินดีจะมอบให้ เสี่ยวเย่
เพราะสำหรับ คุณปู่โจว เงินพันล้านหมื่นล้านนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ ชื่อเสียง และความน่าเชื่อถือของครอบครัวสำคัญกว่า
เย่เฉิน คิดจะปฏิเสธ เนื่องจากเขามองว่าในแง่หนึ่งลายมือนี้ก็เป็นของ คุณปู่โจว เช่นกัน
แต่เมื่อ คุณปู่โจว ยืนยันหนักแน่น เขาก็เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้ง และรับมอบลายมือนี้มาในที่สุด
เนื่องจากเหตุการณ์นี้ ปรมาจารย์หนิง ยิ่งรู้สึกเคารพ เย่เฉิน มากขึ้น เขาถึงกับเสนอให้ เย่เฉิน เข้าร่วมสมาคมประเมินศิลปะโบราณของจีน
แต่ เย่เฉิน ก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ เพราะเขาเข้าร่วมสมาคมมากมายแล้วและไม่อยากเข้าร่วมเพิ่มอีก
หลังจากเพิ่มข้อมูลติดต่อของ เย่เฉิน ปรมาจารย์หนิง ก็ขอตัวกลับไป แต่ก่อนจะจากไป เขาได้นำ ‘บทกวีจากศาลเจ้าจิงฝูโบ้’ ไปด้วยเพราะมันต้องนำไปประกอบให้เสร็จสมบูรณ์
ภาพนี้ต้องนำมาประกอบกันใหม่ และเย่เฉิน ไม่รู้จักผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ แต่เนื่องจาก ปรมาจารย์หนิง เป็นผู้เชี่ยวชาญ เขาจึงรู้จักช่างฝีมือดีที่สามารถทำได้
ดังนั้นเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ปรมาจารย์หนิง จึงเสนอตัวที่จะช่วย เย่เฉิน หาคนมาทำงานนี้เอง และยิ่งต่อหน้า ท่านผู้เฒ่าโจว ปรมาจารย์หนิง ก็ไม่กล้าทำอะไรผิดปกติ
เย่เฉิน จึงฝากภาพนี้ให้ ปรมาจารย์หนิง ช่วยนำไปทำการประกอบ และเมื่อเสร็จสิ้นแล้ว ปรมาจารย์หนิง ก็จะนำมามอบให้ เย่เฉิน ด้วยตนเอง
ในตอนนั้น อาหารก็เสร็จพอดี คุณปู่โจว จึงเชิญ เย่เฉิน ไปรับประทานอาหารด้วยความอบอุ่น ส่วน ซินซินตัวน้อย ก็รีบวิ่งกระโดดตามไปอย่างร่าเริง
ในห้องนั่งเล่น เหลือเพียง โจว เล่อฉือ ที่นั่งอย่างเหม่อลอย แม้คุณปู่จะสั่งให้เขามานั่งร่วมโต๊ะด้วย แต่เขาก็ไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เขาพลาดเงินพันล้านไปเช่นนี้ คงทำให้เขาไม่มีความอยากอาหารไปอีกนาน
หลังจากทานอาหาร และพักอยู่สักพักหนึ่ง เย่เฉิน ก็ขอตัวกลับไป
เช้าวันรุ่งขึ้น เย่เฉิน ก็ได้รับโทรศัพท์จากอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาอย่างไม่คาดคิด อาจารย์ที่ปรึกษาถามว่า เย่เฉิน สนใจที่จะเข้าร่วมการประกวดการเขียนพู่กัน และวาดภาพของคณะที่พวกเขาจะจัดขึ้นหรือไม่
วันนี้ เย่เฉิน มีงานสำคัญที่ต้องทำ เขาจึงไม่สนใจที่จะแข่งขันกับ ‘เด็กๆ’ แต่ขณะที่เขากำลังจะปฏิเสธ อาจารย์ที่ปรึกษาของเขาก็อธิบายเพิ่มเติมว่า :
“อาจารย์ไม่ได้จะบอกให้เธอลงแข่งนะ แต่แค่เชิญให้เธอมาเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขัน”
กรรมการตัดสิน?
คำพูดนี้ของอาจารย์ที่ปรึกษาทำให้ เย่เฉิน รู้สึกประหลาดใจมาก
“ฉันได้ยินมาว่าเธอเป็นกรรมการในสมาคมอักษรศาสตร์แห่งชาติ เธอปฏิเสธไม่ได้หรอกนะ”
ในคณะของพวกเขา มีอาจารย์เพียงท่านเดียวที่เป็นสมาชิกสมาคมอักษรศาสตร์แห่งชาติ
หลังจากที่อาจารย์ที่ปรึกษารู้ว่า เย่เฉิน เป็นกรรมการในสมาคมอักษรศาสตร์แห่งชาติ เธอก็รีบรายงานให้ผู้บริหารทราบ และเมื่อผู้บริหารทราบถึงสถานะของ เย่เฉิน ผู้บริหารก็เห็นชอบทันที
การที่ได้เป็นกรรมการสมาคมอักษรศาสตร์แห่งชาติตั้งแต่อายุยังน้อยถือเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก
เย่เฉิน จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่จะมาเป็นกรรมการตัดสินการแข่งขันการเขียนพู่กันของมหาวิทยาลัย
เย่เฉิน ไม่คาดคิดว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาจะรู้เรื่องสถานะของเขา น่าจะได้ข่าวจากคณะศิลปกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
ด้วยความที่อาจารย์ที่ปรึกษาเชิญชวนด้วยความตั้งใจอย่างมาก เย่เฉิน จึงไม่สามารถปฏิเสธได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยลาเรียน ซึ่งอาจารย์ที่ปรึกษาก็อนุญาตอย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงตอบตกลงทันที
หลังจาก เย่เฉิน ตอบตกลง อาจารย์ที่ปรึกษาก็รายงานให้ผู้บริหารทราบ และผู้บริหารก็จัดการให้เจ้าหน้าที่ทำงานเกี่ยวกับรายละเอียดของการแข่งขันในทันที
ในช่วงบ่าย รายชื่อกรรมการตัดสินของการแข่งขันก็ถูกเปิดเผยออกมา
มีกรรมการหลักสองคน หนึ่งในนั้นคือ คณบดี และอีกคนก็คือ เย่เฉิน
เมื่อรายชื่อกรรมการถูกประกาศออกมา ท่ามกลางรายชื่อของผู้บริหาร, อาจารย์ และศาสตราจารย์ เย่เฉิน ดูโดดเด่นอย่างมาก
ดังนั้นเมื่อนักศึกษาสอบถามไป และพบว่า เย่เฉิน เป็นนักศึกษาเหมือนกัน ทำให้ทั้งคณะต่างตกตะลึง
เพื่อนร่วมชั้นของ เย่เฉิน ก็ไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง เย่เฉิน ได้กลายเป็น ‘กรรมการหลัก’ เทียบเท่ากับคณบดี นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก
พวกเขารู้ว่า เย่เฉิน เป็นคนรวย เก่งในการเล่นหมากล้อม และคอมพิวเตอร์ เรื่องนี้พวกเขารู้ดี..
แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่า เย่เฉิน ยังเก่งด้านการเขียนพู่กัน และวาดภาพจนได้รับเชิญให้เป็นกรรมการในการแข่งขันศิลปะของคณะอีกด้วย
เย่เฉิน มีความสามารถทุกอย่างเลยหรือ? เขายังมีสิ่งใดที่เขาไม่ถนัดอีกไหม?
นักศึกษาในคณะหลายคนรู้สึกไม่พอใจที่ เย่เฉิน ในฐานะนักศึกษา กลับได้เป็น ‘กรรมการหลัก’ เทียบเคียงกับคณบดี พวกเขารู้สึกว่า เย่เฉิน ไม่สมควรที่จะเป็นกรรมการการแข่งขัน
ดังนั้นจึงเกิดการคาดเดาต่างๆ นานาในกลุ่มนักศึกษา, บอร์ดสนทนา, และฟอรัมต่างๆ ของมหาวิทยาลัย
“นักศึกษาปีหนึ่งคนหนึ่ง มาเป็นกรรมการให้พวกเรานักศึกษาปีสาม นี่มันน่าเหลือเชื่อมาก”
“มหาลัยคิดอะไรอยู่ ทำไม เย่เฉิน ถึงได้เป็นกรรมการ แถมยังเป็นกรรมการหลักด้วย?!”
“เหอะ! คงเป็นเพราะเส้นสายล่ะมั้ง ได้ข่าวว่า เย่เฉิน มันรวยมากนิ”
“ฉันว่า เย่เฉิน คนนี้คงมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับคณบดีแน่ๆ”
“ฉันไม่เข้าใจเลยว่า เย่เฉิน มีคุณสมบัติอะไรถึงได้มาเป็นกรรมการหลักของการแข่งขันนี้?”
ข่าวลือต่างๆ แพร่สะพัดไปทั่ว และมีบางคนถึงกับบ่นออกมาในกลุ่มของชั้นปี
เย่เฉิน มีหลายกลุ่มมาก และเขาเองปิดเสียงการแจ้งเตือนเกือบทั้งหมด
ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เกี่ยวกับการวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ เพราะในวันนี้ เขายังมีสิ่งสำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ