ตอนที่ 54 วิญญาณหยินที่เหมาะสมกับเชือกยึดวิญญาณ
ตอนที่ 54 วิญญาณหยินที่เหมาะสมกับเชือกยึดวิญญาณ
หวันอู๋อิงยักไหล่ "ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร"
ฉู่เสวียนรู้สึกหมดหนทาง เดิมทีเขาไม่อยากจะเปิดเผยความแข็งแกร่งที่มี แต่สุดท้ายเขาก็ถูกอาจารย์ทรยศ
มีอาจารย์ที่ชอบอวดก็ปวดหัวจริงๆ
เขาจึงตอบจ้าวอู๋หยาออกไปอย่างช่วยไม่ได้ว่า "ผู้อาวุโสจ้าว การล่มสลายของนิกายอู๋จี๋ ทำให้ข้าได้ตระหนักถึงหลักการของผู้บ่มเพาะอมตะ ที่ว่าผู้อ่อนแอย่อมพ่ายแพ้ให้กับผู้ที่แข็งแกร่งอยู่เสมอ วันนั้นจึงเป็นเหมือนการตรัสรู้ ข้าได้ออกผจญภัยเพียงลำพัง และเจอเรื่องโชคดีบ้าง มันจึงทำให้เขตแดนของข้าพุ่งทะยานได้รวดเร็วขนาดนี้”
“จริงๆแล้วคุณสมบัติของข้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าคุณสมบัติของพี่หลี่และพี่หลิวเลย มันก็แค่โชคดีเท่านั้น”
ฉู่เสวียนรู้ดีเกี่ยวกับคุณสมบัติการบ่มเพาะของเขา..ที่เป็นแบบนี้ได้ก็เพราะโชคดีจริงๆ
ถ้าข้าไม่ได้รับกระจกโลหิตจนทะลุมิติไปยังดาวเคราะห์โลกาวินาศมาเป็นสวนหลังบ้านของข้า ข้าจะมีความแข็งแกร่งอย่างเช่นทุกวันนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเห็นว่าเขาถ่อมตัวเพียงใด หวันอู๋อิงก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจเล็กน้อย
จ้าวอู๋หยาเองก็พยักหน้าเช่นกัน
ความโชคดีนั้นเป็นสิ่งที่ได้มาเพราะบุญเก่าของแต่ละบุคคล ไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถขอกันได้ มีตัวอย่างอยู่ทุกหนทุกแห่งในโลกของผู้ฝึกฝนอมตะ บางคนก็พลาดจนตกหน้าผา ก่อนจะมาค้นพบถ้ำที่คนรุ่นก่อนได้ทิ้งสมบัติเอาไว้โดยบังเอิญ
บางคนก็สามารถทะลวงผ่าน 1 ขั้นได้ภายในวันเดียว และกระโดดจากมนุษย์ธรรมดาสู่ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานได้ภายในระยะเวลาอันสั้น
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว การผจญภัยและได้มาซึ่งสมบัติต่างๆโดยบังเอิญของฉู่เสวียนไม่ใช่เรื่องน่าแปลกขนาดนั้น
หากว่าเขามีโอกาสได้พบกับสมบัติเข้าโดยบังเอิญเพราะโชคช่วยจริงๆ ก็ไม่น่าแปลกใจที่เขตแดนของฉู่เสวียนจะพุ่งสูงขึ้นในช่วงสองปีที่ผ่านมา
จ้าวอู๋หยาพยักหน้าและพูดด้วยอารมณ์ว่า "ผู้อาวุโสหวัน เจ้าเจอต้นกล้าที่ดีแล้ว"
หวันอู๋อิงยิ้ม เขารู้สึกภูมิใจเล็กน้อย
จ้าวอู๋หยายื่นมือของเขาออกมา "ข้าจะรายงานสถานการณ์ให้เจ้าสำนักทราบ อย่างช้าที่สุดจะมีการนัดหมายเฉพาะเจาะจงภายในสองวัน ระหว่างนี้ก็พักผ่อนที่ห้องโถงเฟยซานไปก่อน”
หวันอู๋อิงพยักหน้า "ตกลง ข้า จะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน"
จ้าวอู๋หยาพยักหน้า ก่อนจะลุกขึ้นและเหยียบพื้นอย่างดุเดือด ในตอนนั้นเขาก็หายตัวไปในพริบตา
ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่เป็นคนต้องรับหวันอู๋อิงมาก่อน ได้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เขาพูดด้วยความเคารพว่า "ผู้อาวุโสหวัน ข้าชื่อหลี่ซาน ข้าเป็นคนดูแลของสำนักเทียนหยินสาขา 2 แห่งนี้ ตอนนี้ข้ารับผิดชอบงานต่างๆ ของห้องโถงเฟยซาน ข้าได้จัดถ้ำชั่วคราวสำหรับเพื่อนลัทธิเต๋าของถ้ำจีหยินไว้ให้แล้ว ผู้อาวุโสหวัน ท่าน..."
หวันอู๋อิงโบกมือ "ไม่ต้องเตรียมการอะไรหรอก เมื่อการนัดหมายอย่างเป็นทางการมาถึงในอีกสองวัน ข้าก็จะกลับไปที่ถ้ำของตัวเองแล้ว "
"ขอรับ" หลี่ซานรับคำสั่งแล้วออกไปทันที
“ไปพักผ่อนกันเถอะ” หวันอู๋อิงโบกมือ
ฉู่เสวียนและคนอื่นๆ ได้เดินตามผู้บ่มเพาะของสำนักเทียนหยินตรงไปยังถ้ำชั่วคราวที่พวกเขาได้เตรียมไว้ให้
ถ้ำที่ฉู่เสวียนเลือกนั้นตั้งอยู่ระหว่างครึ่งทางที่ขึ้นไปบนภูเขา
หลังจากที่เขาเข้ามาข้างในเขาก็ได้ทำการตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เมื่อยืนยันว่าข้างในนี้ไม่มีใครอยู่ เขาก็เริ่มสร้างค่ายกลป้องกัน ค่ายกลเตือนภัย และค่ายกลซุ่มโจมตีขึ้นมาที่ทางเข้าให้เสร็จสิ้น จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิบนเตียงหินและรู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงประสบการณ์ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา แม้แต่ฉู่เสวียนเองก็ยังประหลาดใจกับตัวเองเล็กน้อย
“ข้าไม่คาดคิดเลยว่าความแข็งแกร่งของข้าจะเพิ่มขึ้นจนน่าทึ่งขนาดนี้ ทั้งที่ฮุยคงเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้บ่มเพาะรุ่นเยาว์ที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ข้ากลับสามารถฆ่าเขาได้ทั้งที่ยังไม่ได้เรียกเส้นเลือดโลหิตออกมาด้วยซ้ำดังนั้นความแข็งแกร่งของข้าในตอนนี้ ก็น่าจะ..สามารถทำให้ผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานที่อยู่ในระดับไล่เลี่ยกันสั่นคลอนได้”
ฉู่เสวียนยิ้มออกมาเล็กน้อย ในตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความแข็งแกร่งของตัวเองมากยิ่งขึ้น
ขณะนี้เขาอยู่เพียงขั้นที่ 2 ของช่วงสร้างฐานรากเท่านั้น แต่กลับสามารถปราบปรามผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานขั้นสูงกว่าได้ ดังนั้นเมื่อบรรลุถึงขั้นที่ 3 ของช่วงสร้างฐานรากแล้ว แม้แต่ผู้บำเพ็ญที่อยู่ในขั้นที่ 4 ของช่วงสร้างรากฐานก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา
ด้วยการที่มีกระจกโลหิตอยู่ในมือ และดาวเคาะห์โลกาวินาศยังเต็มไปด้วยซอมบี้ที่คอยให้การสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่ ทุกอย่างก็ไม่ไกลเกินเอื้อม
“เอ๊ะ มีการเคลื่อนไหวในเชือกยึดวิญญาณอย่างนั้นหรือ” หัวใจของฉู่เสวียนเต้นรัว เขารีบดึงเชือกยึดวิญญาณออกมาทันที
ที่ผ่านมาวิญญาณดิบที่เขาใส่เข้าไปหลายดวงต่างก็ถูกเชือกยึดวิญญาณปฏิเสธทั้งหมด
เดิมทีเขาวางแผนที่จะใช้วิญญาณดิบของซุนชือมาเป็นวิญญาณที่คอยควบคุมเชือกยึดวิญญาณ
แต่ต่อมา เขาก็ได้วิญญาณดิบของฮุยคงมา จึงตัดสินใจโยนมันเข้าไปในเชือกยึดวิญญาณเพื่อให้วิญญาณทั้งสองต่อสู้กัน เพราะมีเพียงแค่ผู้ชนะเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นคนควบคุมเชือดยึดวิญญาณนี้ได้
และผู้ชนะก็ได้รับการตัดสินแล้ว
โฮ โฮ โฮ!
เสียงคำรามแห่งชัยชนะดังมาจากภายในเชือกยึดวิญญาณ
เมื่อฉู่เสวียนมองเข้าไปใกล้ ๆ และเห็นว่าฮุยคงกำลังฉีกวิญญาณดิบของซุนซือออกเป็นชิ้น ๆ และกลืนกินมันเข้าไป ฉู่เสวียนจึงได้เรียกฮุยคงออกมา
ฮุยคงในตอนนี้เป็นเพียงวิญญาณดิบเท่านั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความดุร้ายและกระหายเลือด เขาได้สูญเสียจิตสำนึกไปนานแล้ว
เมื่อมันเห็นฉู่เสวียน มันก็ได้กระโจนเข้าใส่เขาทันที
แต่เมื่อฉู่เสวียนคิด เชือกยึดวิญญาณก็ได้ฟาดวิญญาณของฮุยคงอย่างแรงจนมันล้มลงกับพื้น
พรืบ! ฮุยคงยิ้มออกมาด้วยความเจ็บปวด วิญญาณของมันก็มัวหมองลงไปมาก
แต่มันก็ยังไม่ย่อท้อ ยังคงพุ่งเข้าหาฉู่เสวียนด้วยสายตาที่ดุร้ายเช่นเคย
พรืบ! เชือกยึดวิญญาณก็ได้ฟาดเข้าไปที่ร่างของมันอีกครั้ง
วิญญาณของฮุยคงก็ได้จางลงอีกระดับหนึ่ง
พรืบ!พรืบ! ฮุยคงถูกเชือกยึดวิญญาณฟาดเข้าไปหลายสิบครั้งติดต่อกัน
จิตวิญญาณของเขาจึงมัวหมองลงจนเกือบจะโปร่งใส
เพียงอีกครั้งเดียว มันก็จะสลายไปอย่างสมบูรณ์
แม้แต่ฉู่เสวียนเองก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
และไม่คิดที่จะสั่งการเชือกยึดวิญญาณให้ฟาดฮุยคงอีก
ขืนฟาดอีกที วิญญาณนี้คงจะแตกสลายหายไปเป็นแน่..
อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ ดวงตาของฮุยคงก็สงบลงในที่สุด
ตอนนี้วิญญาณของเขาไม่ต่างกับอยู่ในกำมือของฉู่เสวียน
อย่าคิดจะต่อกรกับข้าอีก...
จากนั้น ฉู่เสวียนก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แค่นั้นแหละ
ด้วยความดุร้ายและความโหดร้ายในตอนนี้ของฮุยคง ก็เพียงพอที่จะเอามาเป็นวิญญาณควบคุมเชือกยึดวิญญาณได้แล้ว
หากว่าเขาได้มีโอกาสดึงวิญญาณของผู้บ่มเพาะมาได้อีกครั้งในอนาคต ก็สามารถโยนไปให้ฮุยคงกินได้ เพื่อบำรุงร่างกายของมัน
ในฐานะที่เป็นอาวุธเวทย์มนตร์ของฉู่เสวียน เชือกยึดวิญญาณจะถูกอัพเกรดขึ้นเรื่อยๆในอนาคต
และความแข็งแกร่งของฮุยคงจะค่อยๆเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ
“ดี ข้าจะได้ฝึกฝนเทคนิคการหลอมเทพเจ้าต่อไป”
ฉู่เสวียนไม่ได้เก็บเชือกยึดวิญญาณเข้าไป เพราะเขายังปล่อยให้ฮุยคงเดินเล่นไปรอบๆ ถ้ำ
จากนั้นเขาก็หลับตา ใช้เทคนิคการหลอมเทพเจ้า เพื่อฝึกควบคุมพลังวิญญาณของเขาต่อไป
ฮุยคงแสดงสีหน้าดุร้ายต่อฉู่เสวียนหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ระงับมันไว้ด้วยความกลัว
สุดท้ายแล้ว เขาก็ทำได้แค่อยู่เฉยๆ
สองวันผ่านไปในพริบตา...
ในตอนนั้นเสียงของสวีหมิงก็ดังมาจากข้างนอกถ้ำ
“ฉู่..อาจารย์อาฉู่! ตอนนี้เราได้รับการยืนยันมาจากสำนักเทียนหยินแล้ว! บรรพบุรุษขอให้ข้ามาเรียกเจ้าออกไป!”
ฉู่เสวียนถอนหายใจออกมาเบาๆ และก้าวออกจากถ้ำไป
ออร่าของเขาสว่างวาบผ่านเข้ามาในดวงตาของสวีหมิง เมื่อเห็นสิ่งนี้ ก็ทำให้สวีหมิงรู้สึกเย็นชาและหวาดกลัว
"ว่า.." ฉู่เสวียนถามออกมาอย่างใจเย็น
สวีหมิงรีบตอบว่า "เชื้อสายถ้ำจีหยินของเราถูกยอมรับว่าเป็นหนึ่งในสมาชิกของสำนักเทียนหยินแล้ว"
"อย่างไรก็ตาม แทนที่จะได้ไปที่ภูเขาเทียนหยินโดยตรง แต่เราจะต้องอยู่ในอู๋โจวก่อนเพื่อช่วยกันขยายอาณาเขตของห้องโถงเฟยซานต่อไป"
.
เป็นอย่างที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ไม่มีผิด
ภูเขาเทียนหยินไม่สามารถปฏิเสธผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำและผู้บำเพ็ญสร้างรากฐานทั้งสี่คนที่มาหาถึงหน้าประตูได้
นอกจากนี้ยังเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะได้ขยายอาณาเขตสาขาออกไปอีกด้วย
“แล้วอาจารย์ข้าอยู่ที่ไหน” ฉู่เสวียนถามขึ้นมาอีกครั้ง
สวีหมิงกล่าวด้วยความเคารพว่า "เรากำลังเลือกสถานที่ที่มีพลังทางจิตวิญญาณสูงในการเปิดถ้ำขยายอาณาเขต บรรพบุรุษบอกให้เจ้าบินตามไปทางใต้ และจะเจอเขาเอง"
"ตกลง” ฉู่เสวียนพยักหน้า
เขาหยิบดาบบังเหินเทียนกังออกมาทันที ก่อนจะมุ่งหน้าออกไปทางใต้
สวีหมิงได้แต่มองตามหลังของชายที่จากไปด้วยความอิจฉา
“ในอนาคตข้าจะต้องกลายเป็นเหมือนอาจารย์อาฉู่ให้ได้!” เขากำหมัดแน่นและตัดสินใจ
ฉู่เสวียนบังคับดาบบังเหินให้มุ่งหน้าไปทางใต้ทันที ไม่นานข้าก็สังเกตเห็นแสงที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า
หลี่ซวนหมิง, หลิวเจิ้งสงและอู๋เถิงควบคุมอาวุธเวทย์มนตร์บินได้ของตนเองรอเขาอยู่กลางอากาศ
เขาขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น
“ศิษย์น้องฉู่” เมื่อทั้งสามเห็นเขา ทุกคนก็ยิ้มและพยักหน้าให้
“พลังวิญญาณของศิษย์น้องฉู่ดูเหมือนจะดีขึ้นกว่าเดิมนะ” หลิวเจิ้งสงกล่าวขึ้นมาทันที
ฉู่เสวียนพยักหน้า "ขอรับข้าได้ฝึกฝนเทคนิคการหลอมเทพเจ้าขั้นที่ 1 ได้สำเร็จแล้ว "
หลิวเจิ้งสงจึงยกย่องออกมาว่า "มันเร็วมาก สำหรับคนอื่น ๆ แล้ว กว่าที่พวกเขาจะฝึกฝนเทคนิคการหลอมเทพเจ้าขั้นที่1ได้สำเร็จก็ต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีด้วยซ้ำ”
จู่ๆในเวลานี้ก็มีเสียงดังก้องมาจากยอดเขาข้างหน้า
เห็นได้ชัดว่าหวันอู๋อิงเริ่มทำการเปิดถ้ำแล้ว
“เอาล่ะ ไปที่นั่นกันเถอะ” ดวงตาของหลี่ซวนหมิงลุกเป็นไฟ