ตอนที่ 53 บรรพบุรุษหวันเจ้าอย่าล้อเล่นนะ!
ตอนที่ 53 บรรพบุรุษหวันเจ้าอย่าล้อเล่นนะ!
ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนกลืนน้ำลาย ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงศิษย์ของสำนักภูเขาเทียนหยินก็กำลังกลืนน้ำลายอีกด้วย
ผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำอันทรงพลังอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้บำเพ็ญสายมารที่บูชาปีศาจ ด้วยความแข็งแกร่งของผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำนั้นมันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะฆ่าทุกคนที่อยู่ในห้องโถงเฟยซานแห่งนี้ให้ตายลงไปด้วยการเคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้ง
“ทำไมเจ้าไม่รีบไปบอกพวกเขาเร็วๆ ล่ะ? เจ้าอยากให้ข้าฆ่าคนพวกนี้เพื่อพิสูจน์ตัวเองอย่างนั้นหรือ” หวันอู๋อิงยิ้มอย่างเต็มใจ
ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนหยิบหยกส่งสัญญาณเสียงพันลี้ออกมาราวกับว่าก้นของเขากำลังถูกไฟเผาอย่างไรอย่างนั้น “ท่าน ท่าน ท่าน... เดี๋ยวก่อน ข้าจะบอกอาจารย์เดี๋ยวนี้!”
หยกส่งสัญญาณเสียงธรรมดามีระยะทางในการส่งสัญญาณเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่หยกส่งสัญญาณเสียงพันลี้สามารถส่งสัญญาณเสียงได้ภายในระยะทางหนึ่งแสนลี้ มันเกินจริงไปเล็กน้อยที่จะบอกว่ามันสามารถส่งสัญญาณได้ครอบคลุมทั้งอาณาจักรหยู ซึ่งครึ่งหนึ่งของแคว้นจินโจวและแคว้นอู๋โจวก็รวมอยู่ด้วย
ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนรีบบอกทุกอย่างเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในห้องโถงเฟยซานอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดกับหวันอู๋อิงด้วยความเคารพว่า "ผู้อาวุโสหวันและทุกท่านจากนิกายอู๋จี๋ โปรดรออยู่ที่นี่ก่อน บรรพบุรุษแก่นปราณทองคำของข้าจากสำนักภูเขาเทียนหยินกำลังรีบมา อย่างเร็วที่สุดคือครึ่งวันขอรับ"
"ข้าพูดผิดแล้ว มันคือถ้ำจีหยิน ใช่แล้ว มันคือถ้ำจีหยิน! ถ้ำจีหยินขอรับ!" ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนรีบแก้ไข
ฉู่เสวียนฟังอย่างครุ่นคิด..มีบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำสิบคนในนิกายอู๋จี๋ ซึ่งบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำแต่ละคนก็จะมีถ้ำเป็นของตัวเอง พวกเขามักจะกระจายตัวเองไปทั่วและรับสมัครลูกศิษย์อย่างอิสระ
เฉพาะเมื่อนิกายตกอยู่ในอันตรายหรือเมื่อมีการจัดพิธีใหญ่เท่านั้น พวกเขาถึงจะกลับมารวมตัวกัน
ถ้ำไร้เงานั้นเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าถ้ำจีหยิน
เห็นได้ชัดว่าหวันอู๋อิงไม่ได้พูดถึง "นิกายอู๋จี๋" แม้แต่คำเดียว และกล่าวว่า "ถ้ำจีหยิน" มาตั้งแต่แรก เพื่อบอกให้รู้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาแยกตัวออกจากนิกายอู๋จี๋ และไม่ได้เป็นศิษย์ของนิกายอู๋จี๋แล้ว
นี่เป็นก้าวแรกสำหรับผู้บำเพ็ญสายมารในการชำระล้างตัวเอง
“พวกเจ้าก็แยกย้ายกันไปทำเรื่องของตัวเองเลย ข้าจะรออยู่ที่นี่เอง” หวันอู๋อิงพูดอย่างใจเย็น
“ขอรับ” ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนพยักหน้าตอบรับทันที
จากนั้นฉู่เสวียนและคนอื่น ๆ ก็ยืนรออยู่ที่ลานหน้าสำนัก
ผู้บ่มเพาะของสำนักเทียนหยินกำลังทำธุระของตนเองอย่างระมัดระวังและไม่กล้าเข้าใกล้
ครึ่งวันต่อมา...
จู่ๆก็มีลำแสงหลายลูกบินมาจากท้องฟ้า
"ผู้เฒ่าหวัน! ทำไมเจ้าถึงมาที่สำนักภูเขาเทียนหยิน? เจ้านี่ไม่กลัวตายจริงๆ!" เสียงเยาะเย้ยหนึ่งดังมาจากท้องฟ้า
ผู้เฒ่าหวันอู๋อิงหัวเราะออกมาและพูดว่า "เจ้าเองหรือ ฮ่าฮ่า พูดตามตรงแม้ว่าผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำสองคนของสำนักเทียนหยินของเจ้าจะมาโจมตีข้า พวกเจ้าก็ไม่มีทางสู้ข้าได้ แล้วข้าจะกลัวไปทำไม "
ในตอนนั้นร่างนั้นก็ทะยานลงมาในพริบตา
ฉู่เสวียนมองอีกฝ่ายอย่างละเอียดยิ่งขึ้น เขาพบว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่มีใบหน้าสง่างาม สวมชุดสีเขียวและมีเข็มขัดหยกพันรอบเอว ฉู่เสวียนพยายามดูให้ละเอียดยิ่งขึ้นว่ามันเป็นเข็มขัดหยกชนิดใด แต่เห็นได้ชัดว่ามันคืองูเขียวตัวเรียวยาว
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้อาวุโสหวัน เจ้ายังมีความเย่อหยิ่งในคำพูดของเจ้าไม่เปลี่ยนเลยนะ” ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนที่มีใบหน้าผู้สง่างามหัวเราะออกมา
“โอ้ เจ้าจำเป็นต้องพกงูเขียวนี้ติดตัวไปทุกที่เลยหรือ ข้าเหม็นสาบคนขี้อวดอย่างเจ้าจริงๆ” หวันอู๋อิงยิ้มเยาะ
ผู้บ่มเพาะที่มีใบหน้าสง่างามหัวเราะออกมาเบา ๆ “มันคืองานอดิเรกของข้า”
เขาชี้ไปที่ล็อบบี้ตรงหน้า “ผู้อาวุโสหวัน เข้าไปคุยข้างในกันเถอะ”
เขาเหลือบมองที่ฉู่เสวียนและคนอื่นๆ อีกครั้ง ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “ไปเอาชามาเสิร์ฟให้ผู้บ่มเพาะลัทธิเต๋าจากถ้ำจีหยินด้วย อย่าละเลย”
“ขอรับ” ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนพยักหน้าก่อนจะจากไป
ฉู่เสวียนและคนอื่น ๆ ถูกเชิญตัวให้ไปที่ห้องโถงด้านข้าง
ไม่นานหลังจากนั้น ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนก็ยกน้ำชาเข้ามา
ชานี้มีกลิ่นหอมและมีรสชาติหวานเป็นพิเศษ ซึ่งมันก็คือชาขึ้นชื่อของแคว้นอู๋โจว , คูเหมาเฟิง
ชานี้อุดมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณ และการดื่มเป็นประจำจะทำให้จิตใจสงบลงและขจัดสิ่งสกปรกออกไปได้
แต่แน่นอนว่ามันไม่มีทางเทียบได้กับผลลัพธ์ของน้ำอมฤตแต่ผู้บ่มเพาะจำนวนมากชอบนำไปเป็นของขวัญมอบให้แก่ผู้บ่มเพาะคนอื่นๆ
เมื่อนิกายอู๋จี๋ยังคงอยู่ ครั้งหนึ่งฉู่เสวียนเคยได้ชาคูเหมาเฟิงขวดเล็กมาหนึ่งขวด โดยคิดว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะดื่มอีกครั้งในชีวิตนี้ เขาไม่คิดเลยว่าจะได้มาลิ้มรสสิ่งนี้อีกครั้ง
“เจ้าคิดว่าจะเจรจากันได้ไหม” อู๋เถิงจิบชาแล้วกระซิบว่า “ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่ดูสง่างามคนนี้น่าจะมีมิตรภาพที่ดีกับอาจารย์มาก่อนเป็นเเน่”
หลี่ซวนหมิงพูดอย่างใจเย็น “ผู้อาวุโสแก่นปราณทองคำคนนี้ชื่อจ้าวอู๋หยา เขาไม่ชอบการกดขี่ข่มเห่งผู้อื่นของนิกายเสินกังมาโดยตลอด ที่สำนักเทียนหยินส่งเขามาที่นี่ ก็คงเป็นเพราะเขาอาสามาติดต่อกับเราเอง”
หลิวเจิ้งสงก็พยักหน้าด้วยความเข้าใจ "เมื่อฟังจากที่ผู้อาวุโสจ้าวพูดตอนนี้ เขาบอกว่าเขาไม่ได้มาเจรจากับคนของนิกายอู๋จี๋ แต่เขามาเจรจากับคนของถ้ำจีหยิน ถ้าภูเขาเทียนหยินไม่ต้องการที่จะยอมรับเราตั้งแต่แรก พวกเขาก็คงจะส่งผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำหลายคนมาฆ่าพวกเราตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่มีทางส่งมาแค่คนเดียวแบบนี้หรอก? และยังต้อนรับเราด้วยชาอย่างดีด้วย”
หลังจากการรอคอยอย่างกระวนกระวายใจมาเป็นเวลาสองชั่วโมง ในที่สุดสิ่งต่างๆ ก็มาถึงจุดสิ้นสุด
หวันอู๋อิงและจ้าวอู๋หยาเดินเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง
ทั้งสองพูดคุยกันเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้คุยกันมานานหลายปี
หวันอู๋อิงกล่าวว่า ".. เหล่าจ้าวงูเกล็ดน้ำเงินของเจ้ามีสายเลือดบริสุทธิ์ จะต้องได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี เจ้าอย่าฝังพรสวรรค์ของมัน ข้ามีตำราสอนที่ถูกต้องอยู่ในมือพอดี แล้วข้าจะมอบให้กับเจ้าไปก็แล้วกัน”
จ้าวอู๋หยา “ยินดี ด้วยความสัมพันธ์ของเราแล้ว ข้าจะปฏิเสธมันได้อย่างไร?”
พูดจบเขาก็เก็บตำราที่ได้มาลงในถุงเก็บของของเขาทันที
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของพวกเขา ฉู่เสวียนและคนอื่น ๆ ก็ดูกังวล
พวกเขาทำการแลกเปลี่ยนอะไรกัน
จ้าวอู๋หยามองไปที่ฉู่เสวียนและคนอื่น ๆ และในที่สุดสายตาของเขาก็มาหยุดอยู่ที่หลี่ซวนหมิง "เจ้าต้องเป็น หลี่ซวนหมิงใช่ไหม เจ้ายังเด็กแต่กลับประสบความสำเร็จมาก เมื่อตอนที่ข้าอายุเท่าเจ้า ข้ายังอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 7-8 อยู่เลย”
หลี่ซวนหมิงถ่อมตัว เขายิ้มและพูดว่า " ผู้อาวุโสจ้าวมีพื้นฐานที่ลึกซึ้งและส่งสมประสบการณ์มามากมาย แต่ข้านั่นรีบเร่งบ่มเพาะเกินไปทั้งที่พื้นฐานต่างๆ ยังไม่แน่นพอ"
จ้าวอู๋หยาหัวเราะและพูดว่า "เจ้าพูดเก่งจริงๆ"
เขาพูดด้วยความชมเชยต่อว่า "บรรพบุรุษหวันถูกขังอยู่ในคฤหาสน์หยุนอู๋ แต่เจ้าก็นำคนไปช่วยเหลือเขาออกมาได้สำเร็จ เจ้าถือว่าทำได้ดีมาก ข้าเชื่อว่าในอนาคตเจ้าจะต้องเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรหยูของเราเป็นแน่ ! เจ้าเป็นคนฆ่าฮุยคงใช่ไหม มันไม่สำคัญว่าที่ผ่านมาจะแพ้หรือชนะ แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครจะหัวเราะเป็นคนสุดท้ายมากกว่า!”
เดิมทีหลี่ซวนหมิงยิ้มอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
จ้าวอู๋หยาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง "ทำไม หรือว่าไม่ใช่เจ้า?"
หวันอู๋อิงหัวเราะออกมาเสียงดัง "จ้าวอู๋หยา,จ้าวอู๋หยา เจ้ามักจะคุยโวและชอบคิดไปเองตลอดเลยนะ ข้าจะบอกให้ว่าคราวนี้เจ้าเดาผิด!"
จ้าวอู๋หยารู้สึกสับสนเล็กน้อย เขาเกาหัวอย่างงุ่มง่าม “แล้วเป็นใครกัน หรือว่าจะเป็นหลิวเจิ้งสง ศิษย์ของเจ้า?”
หวันอู๋อิงส่ายหัวอีกครั้ง
จ้าวอู๋หยาจึงได้มองไปที่อู๋เถิงต่อ "เป็นไปไม่ได้..."
อู๋เถิงก็ยิ้มออกมาอย่างเขินอายและย่อศีรษะลง
หวันอู๋อิงยังคงส่ายหัวต่อไป
ในที่สุดจ้าวอู๋หยาก็สบตากับฉู่เสวียน "เป็นไปได้ไหมว่าจะเป็น..."
หวันอู๋อิงยิ้มอย่างเต็มใจ "เดาสิ เดาต่อไป"
จ้าวอู๋หยามองไปที่ฉู่เสวียนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างระมัดระวัง รูปลักษณ์ของผู้บ่มเพาะหนุ่มคนนี้ดูไม่โดดเด่นมากนัก และไม่เป็นที่สะดุดตาสักเท่าไหร่
“ผู้ชายคนนี้ถือว่าเป็นคนแปลกหน้ามากสำหรับข้า ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน” จ้าวอู๋หยาพูดอย่างจริงจัง
ข้อมูลเกี่ยวกับศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ในช่วงสร้างรากฐานของแต่ละนิกายนั้นเป็นที่รู้จักของนิกายอื่น ๆ ไม่มากก็น้อย
อย่างเช่น หลี่ซวนหมิง, หลิวเจิ้งสง, ฮุยคง และคนอื่น ๆ ก็อยู่ในรายชื่อข่าวกรองของสำนักเทียนหยินมานานแล้ว
สำหรับอู๋เถิงนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะแก่มากแล้ว แต่เขาก็ยังคงเป็นผู้บ่ำเพ็ญในช่วงสร้างรากฐาน และก็ไม่เก่งเท่าคนหนุ่ม
ทว่าจ้าวอู๋หยากลับไม่คุ้ยเคยกับฉู่เสวียนคนนี้มาก่อน และไม่เคยได้ยินข้อมูลของเขาด้วยซ้ำ
หวันอู๋อิงหัวเราะออกมาเสียงดัง "ชื่อของเขาคือฉู่เสวียน เมื่อนิกายอู๋จี๋ถูกทำลาย เขายังอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 เท่านั้น แต่ครั้งนี้เขาคือคนที่ฆ่าฮุยคง และเขาเป็นคนที่ช่วยข้าออกมาจากคฤหาสน์หยุนอู๋"
จ้าวอู๋หยาตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดออกมาด้วยความโกรธ "ผู้อาวุโสหวัน เจ้าอย่ามาล้อเล่นกับข้านะ!"
"นิกายอู๋จี๋ถูกทำลายไปยังไม่ถึงสองปีเลย เขาจะทะยานจากขั้นที่ 4 ของช่วงกลั่นลมปราณไปสู่ช่วงสร้างรากฐานได้อย่างไร?"