บทที่ 88: เขาได้รับบาดเจ็บ
“ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมก่อนหน้านี้ข้าถึงได้ง่วงนอนมากขนาดนั้น ที่แท้เป็นท่านที่วางยาข้า” มู่ไป๋ไป่กัดฟันแน่น “หรงเฟย ท่านและข้ามีความเกลียดชังอะไรถึงขั้นที่ทำให้ท่านต้องฆ่าข้าเช่นนี้”
“ถ้าเป็นเรื่องที่เราขัดแย้งกันต่อหน้าไทเฮาเมื่อวาน…”
“พระสนม ท่านไม่มีแม้แต่ความอดทนที่จะยอมละเว้นผู้เยาว์คนหนึ่งเลยหรือ?”
ถ้อยคำของเด็กหญิงนั้นฟังดูประหลาดใจแกมเหน็บแนม อย่างไรก็ตาม ตอนนี้มีเจ้าสัตว์ประหลาดอยู่ข้างกายเธอ และหรงเฟยก็ดูเหมือนจะมีท่าทีหวาดกลัวเขา ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าอีกฝ่ายจะโมโหแล้วทำอะไรหุนหันพลันแล่น
“ไอ้ไพร่ชั้นต่ำ เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าได้อย่างไร?!” ใบหน้าของหรงเฟยเปลี่ยนสีทันที นางไม่สนใจสิ่งอื่นใดแล้วพุ่งเข้าไปถีบขันทีคนนั้นจนล้มลงไปกองกับพื้น “ปกติแล้วข้าคอยดูแลเจ้าอย่างดี แต่ตอนนี้เจ้ากลับรักตัวกลัวตายจนกล้าใส่ร้ายป้ายสีข้าอย่างนั้นหรือ?”
“การเก็บบ่าวไพร่ที่ไม่ซื่อสัตย์เช่นเจ้าเอาไว้จะมีประโยชน์อะไร!”
“ข้าจะฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง!”
หญิงสาวหยิบก้อนหินขึ้นมาจากพื้นหมายจะขว้างไปที่หัวของขันที
อย่างไรก็ตาม ก้อนหินนั้นก็ไม่ได้ตกกระทบลงบนหัวของเขา
บัดนี้หรงเฟยยืนตัวแข็งทื่อ มือของนางที่ยังคงจับก้อนหินยกค้างอยู่กลางอากาศ และมีปิ่นปักผมแหลมกำลังจ่ออยู่ที่คอเรียวระหงของนาง
ปิ่นปักผมนั้นดูคุ้นตาหญิงสาวมาก มันเป็นปิ่นปักผมอันโปรดของนางที่ได้มาเมื่อไม่นานมานี้
ก่อนหน้านี้ไม่มีใครสังเกตเห็นสิ่งที่เซียวถังอี้ทำ พอทุกคนรู้สึกตัว เขาก็ไปยืนอยู่ด้านหลังหรงเฟย พร้อมกับดึงปิ่นปักผมออกจากหัวของนางแล้วไปจ่อไว้ที่คอ
จากนั้นบริเวณหน้าผาก็เงียบลง
มีเพียงมู่ไป๋ไป่ที่ตื่นจากภวังค์ ก่อนจะปรบมือและตะโกนว่า “สุดยอด!”
ซึ่งการกระทำนี้เรียกสายตารังเกียจจากเด็กหนุ่มได้เป็นอย่างดี
“ยะ…อย่า...” หรงเฟยกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก “อย่าฆ่าข้า ข้าผิดไปแล้ว...”
เซียวถังอี้มองนางอย่างเย็นชาและค่อย ๆ เปิดปากพูดว่า “ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบคำถามข้าอีกครั้ง ทำไมเจ้าถึงอยากฆ่านาง?”
หรงเฟยตกใจมากจนต้องทรุดตัวลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้น ก่อนจะคำนับให้กับเซียวถังอี้และมู่ไป๋ไป่อย่างสิ้นหวัง “องค์หญิงหก ข้าขอโทษ ดวงตาข้ามืดบอดไปชั่วขณะเพราะความเกลียดชัง ข้าคิดว่าการฆ่าองค์หญิงจึงจะช่วยบรรเทาความโกรธนี้ได้”
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นอีกแล้ว”
“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”
หลังจากหญิงสาวกล่าวจบ นางก็คลานเข้าไปกอดต้นขามู่ไป๋ไป่ ทำให้ชายเสื้อของเด็กหญิงเปื้อนน้ำตาของนาง
“มารู้สึกเสียใจตอนนี้ก็คงสายไปแล้ว” คนตัวเล็กผลักอีกฝ่ายออกไปด้วยความรังเกียจ “ตอนที่ท่านสั่งให้คนของท่านมาฆ่าข้า ทำไมท่านถึงไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดล่ะ?”
“องค์หญิงหกพูดถูก เมื่อก่อนข้าหลงผิด ตอนนี้ข้ารู้ความผิดของตัวเองแล้ว โปรดไว้ชีวิตข้าเถอะ จากนี้ไปองค์หญิงจะให้ข้าทำอะไรเป็นการตอบแทนก็ได้ ข้าจะทำทั้งสิ้น” หรงเฟยพยักหน้าทั้งน้ำตา
มู่ไป๋ไป่ขมวดคิ้วและกำลังจะพูดบางอย่าง แต่จู่ ๆ เธอก็เห็นร่างของเซียวถังอี้เริ่มซวนเซ ก่อนที่เธอจะสังเกตเห็นว่าบนเสื้อผ้าของเขามีรอยเปียกชุ่มอยู่
เมื่อครู่นี้เธอได้กลิ่นเลือดแรง ๆ โชยมาจากอีกฝ่าย ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเลือดของขันทีที่กระเด็นมาเปื้อนร่างกายของเขาตอนที่เขาลงมือ
แต่พอเห็นว่าสภาพโดยรอบร่างของขันทีคนนั้นสะอาดมาก บ่งบอกได้ว่าผู้กระทำลงมือได้เด็ดขาด และไม่มีทางที่จะปล่อยให้เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าสัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บอย่างนั้นหรือ?
ทันทีที่มู่ไป๋ไป่คิดได้ดังนี้ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป เธอไม่อยากยืดเยื้อกับหรงเฟยอีก ดังนั้นเธอจึงพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “คราวนี้ไทเฮาพาพวกเรามาที่นี่ก็เพื่อสวดมนต์ขอพรให้กับแคว้นเป่ยหลง การปล่อยให้เกิดฉากนองเลือดมันไม่เป็นมงคล ครั้งนี้ข้าจะไว้ชีวิตท่านไปก่อน”
“ต่อจากนี้ไปท่านจะต้องอยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตัวในวังหลัง”
“หากท่านยังมีความคิดที่ไม่เข้าท่า ท่านอย่าได้ตำหนิว่าข้าหยาบคายกับท่านก็แล้วกัน”
หลังจากหรงเฟยได้ยินว่าตนได้รับการอภัยแล้ว นางจึงคุกเข่าขอบคุณองค์หญิงหกซ้ำ ๆ
มู่ไป๋ไป่ไม่สนใจเรื่องของนางอีกต่อไปและพาเซียวถังอี้ไปที่วัดฮู่กั๋ว
เมื่อเธอแน่ใจแล้วว่าพวกตนอยู่ห่างจากหรงเฟยที่ตามมาอยู่ข้างหลัง เธอจึงกระซิบถามคนเจ็บเสียงแผ่วเบาว่า “เหตุใดท่านจึงได้รับบาดเจ็บ?”
ดวงตาของเซียวถังอี้สั่นไหวชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหลุบตาลงต่ำเพื่อมองดูคนตัวเล็กที่สูงเหนือเอวเขาเพียงเล็กน้อย ดวงตากลมโตสีเข้มคู่หนึ่งสะท้อนแสงจันทร์ และใบหน้าที่เกลี้ยงเกลาของนางเต็มไปด้วยความกังวล
“มันเป็นเพียงแค่อาการบาดเจ็บ ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย” พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตอบอะไร เธอก็คิดว่าเขากำลังอับอาย “ท่านไม่เคยได้ยินหรือว่า สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง”
“นาน ๆ ครั้งท่านจะพลาดสักที ท่านไม่จำเป็นต้องคิดมาก”
“วันนี้ท่านช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ท่านคือผู้มีพระคุณของข้า”
“มาเถอะ ข้าจะพาท่านไปทำแผล”
มู่ไป๋ไป่ลืมคำสาบานที่ให้ไว้กับตัวเองว่าจะไม่มีวันพบหน้าเขาอีกเป็นครั้งที่ 2 ไปจนสิ้น และพาคนตัวโตกว่ากลับไปยังเรือนพักของตนโดยไม่ทันสังเกตเห็นบางสิ่ง
ปัจจุบันหลัวเซียวเซียวยังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ในห้องด้านใน
มู่ไป๋ไป่รีบจุดเทียนพร้อมกับนำกำยานที่อยู่ในกระถางออกไปทิ้ง จากนั้นจึงใช้ชาที่เย็นชืดปลุกสหายตัวน้อยให้ตื่น
“องค์หญิงหก?” หลัวเซียวเซียวลุกขึ้นจากเตียงด้วยความรู้สึกสับสนคล้ายกับคนตัวเล็กก่อนหน้านี้ “นี่ก็ดึกแล้ว เหตุใดพระองค์ถึงยังไม่บรรทม แล้วคนผู้นี้เป็นใคร… ท่านเป็นใคร!?”
เมื่อเด็กหญิงเห็นเซียวถังอี้ที่เป็นคนแปลกหน้าปรากฏขึ้นในห้องอย่างกะทันหัน นางก็คว้ามีดสั้นที่อยู่ข้างหมอน และไปยืนขวางอยู่ตรงหน้าองค์หญิงหก
“เจ้าใจเย็นก่อน” มู่ไป๋ไป่รีบดึงสหายตัวน้อยกลับมา “เขาคือคนที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเขาเป็นคนที่ส่งข้ากลับมาในวันนั้น”
หลัวเซียวเซียวมองไปที่หน้ากากของคนแปลกหน้า ก่อนจะจำได้ว่านี่คือคนที่พาตัวองค์หญิงหกไปจากกลางตลาดแล้วส่งนางกลับมา
น่าแปลก…
“คืนนี้พวกเราถูกหรงเฟยเล่นงาน นางได้วางยาสลบเราอยู่ในกระถางกำยาน หลังจากที่พวกเราหลับใหลไปก็มีคนมาลักพาตัวข้าไปที่ภูเขาด้านหลัง พวกเขาตั้งใจจะฆ่าข้า” มู่ไป๋ไป่อธิบายสถานการณ์ทั้งหมดสั้น ๆ “ถ้าเมื่อครู่นี้เขาไม่มาช่วยข้าไว้ ข้าคงตายอยู่ใต้หน้าผาไปแล้ว”
หลัวเซียวเซียวตกใจมากเมื่อได้ยินเช่นนี้ แล้วรีบถามองค์หญิงหกว่าเจ้าตัวได้รับบาดเจ็บหรือไม่
“ข้าไม่เป็นอะไร เขาต่างหากที่เป็น” มู่ไป๋ไป่ชี้ไปที่เซียวถังอี้ซึ่งอยู่ด้านข้างแล้วพูดกับสหายว่า “รีบไปเอายารักษาบาดแผลที่ดีที่สุดที่เรานำติดตัวมาด้วยออกมาให้หมด”
“เจ้าก็อย่าทำอะไรกระโตกกระตากล่ะ อย่าทำให้คนของไทเฮารู้เข้า”
หลัวเซียวเซียวพยักหน้ารับอย่างแข็งขัน จากนั้นนางก็สงบสติอารมณ์และเดินไปที่เรือนถัดไป
ขณะนี้ภายในห้องเหลือเพียงเซียวถังอี้กับมู่ไป๋ไป่ ทันใดนั้นก็เกิดความเงียบงันขึ้นอย่างกะทันหันจึงทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ไม่นานเธอก็กระแอมในลำคอเบา ๆ ก่อนจะเริ่มต้นบทสนทนา “ตอนนี้ท่านรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าข้าเป็นองค์หญิง?”
เด็กหนุ่มนั่งลงบนเก้าอี้ รินชาใส่ถ้วยและยกขึ้นดื่ม แล้วหันไปมองคนพูด “เช่นนั้นหรือ?”
“แล้วท่านไม่กลัวหรือ?” มู่ไป๋ไป่วิ่งไปนั่งตรงข้ามอีกคน ก่อนจะเอามือเท้าคางพูดกับเขาว่า “เรื่องที่ท่านทำกับข้าตอนที่อยู่ในเมือง ท่านไม่กลัวว่าข้าจะเอาไปฟ้องท่านพ่อ และทำให้ท่านต้องโทษประหารชีวิตหรือ?”
เซียวถังอี้ยกยิ้มมุมปากขณะพูดเบา ๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ควรตัดหัวเจ้าออกก่อนที่เจ้าจะทันได้ทำเช่นนั้น”
มู่ไป๋ไป่สั่นสะท้านไปทั้งตัวพร้อมกับหดคอกลับ ก่อนจะยู่ริมฝีปากเข้าหากัน “นี่ท่านไม่เข้าใจเรื่องขำ ๆ บ้างเลยหรืออย่างไร?”