บทที่ 125: ตำนานของผู้กล้าในตำนาน
ภูมิคุ้มกันเวทมนต์ขนาดใหญ่ในโลกเวทมนต์ก็ไม่เลว! ด้วยกองกำลังนายกองแนวหน้า พวกเขาจะอยู่ยงคงกระพัน!
ใช่แล้ว สัตว์ประหลาดบนดินแดนแหฟ่งอาณาจักรแฟรนผู้นี้เป็นตัวอันตรายของจริง ไม่ว่าลิชและเทพเจ้าเอลฟ์ต่างก็ถูกเปรียบได้ดั่งเป็นผู้ให้เงินแก่พวกเขาได้แต่ไม่อาจทวงถามได้แม้แต่เงินต้น ในอดีต คาดว่าไม่ว่าใครที่จะถูกเลือกเป็นผู้นำธง พวกเขาก็จะถูกเตะตัดขาล้มกลิ้งอย่างไม่อาจลุกขึ้นยืนได้ เช่นเดียวกับเซารอนที่คงอยู่ในเมืองหลวงของจักรวรรดิในขณะนี้และสามารถเรียกที่นี่ว่าเป็น 'เขตปลอดภัย' ของเขาได้
กับโลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอันตรายเช่นนี้ สถานที่เช่นเมืองหลวงของจักรวรรดิกลับถูกถือเป็นเขตปลอดภัยได้นี่มันก็...
“ทูตสี่คนมาจากกองทัพประชาชนและหนึ่งในนั้นประจำการอยู่ที่ เตาหลอม เป็นการถาวร จากสิ่งที่ข้าเห็นดูเหมือนว่าเขาจะต้องการเข้าร่วมกับเราจริงๆ อย่างไรก็ตาม เจ้าอยากพบเขาและตัดสินด้วยตนเองไหม ยังไงเจ้าก็มาแล้ว แล้วเราค่อยมาพูดถึงธุรกิจของเจ้าและเรื่องอื่นๆ หลังจากนั้น” ไทลันถาม
“ไปกันเถอะ เราต้องถามกองทัพประชาชนด้วยว่าต้องการทำอะไรกันแน่ เอาจริงๆ นะ ข้าอยากรู้เรื่องนี้จริงๆ ข้าได้ยินมาว่ากองทัพประชาชนได้รุกรานพันธมิตรเอลฟ์แล้ว เมื่อดูจากการกระทำในตอนนี้ ไม่ใช่ว่าพวกนั้นต้องการเปิดศึกกับจักรวรรดิและขุนนางของอาณาจักรอื่นไปพร้อมๆ กันเลยไม่ใช่เหรอ?
"กองทัพประชาชนคาดหวังที่จะแค่พึ่งพาผู้กล้าจริงๆ หรือว่าพวกนั้นคิดจะต้องการโลกทั้งใบ?"
แม้ว่าชายผู้กล้าจะมีพลังมากเป็นการส่วนตัว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่กองกำลังพลเรือนที่เขารวบรวมมาอย่างไม่ใส่ใจจะต้านทานการโจมตีของสองประเทศมหาอำนาจได้ พูดตรงๆ ก็คือ ถ้าไม่รวมพลังการต่อสู้ระดับสูงสุด แม้แต่ทรัพยากรที่เซารอนมีก็เพียงพอที่จะสามารถใช้จัดการกับกองทัพกบฏของแฟรนนี่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีกองทหารมากมายในจักรวรรดิอีกด้วย ผู้กล้าสามารถช่วยคนได้แม้แต่คนเดียวหรือเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทั้งหลายเหล่านี้?
แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้อีกประการหนึ่ง นั่นคือ ตัวผู้กล้าเองไม่ได้สนใจสิ่งที่เรียกว่า 'พลังอำนาจ' ของเขามากนัก เขาไม่สนใจเกี่ยวกับชีวิตหรือความตายของผู้ใต้บังคับบัญชาเลย ด้วยวิธีนี้เขาจะอยู่ยงคงกระพันอย่างแท้จริง และเขาสามารถทำอะไรก็ได้ที่เขาต้องการในโลกที่ไร้ความกังวลนี้ และไม่มีใครสามารถจำกัดเขาได้
เช่นเดียวกับปีศาจที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า เลวีอาธานที่เดินอยู่ในทะเลลึกก็มีลักษณะเดียวกัน เขาเป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงที่เดินอยู่บนพื้นโลก ใครก็ตามที่กล้าจ้องมองเขาจะต้องตาย
แต่ในทางกลับกัน นี่อาจเป็นวิธีทำลายสถานการณ์ของชาวเมืองแฟรนนี่ด้วย เช่นเดียวกับ พลิสซิลลา ลิชชุดขาวของจักรวรรดิอันเดดที่สามารถปกป้องชุมชนสัตว์ประหลาดในถิ่นที่อยู่ของมัน เช่นเดียวกับโจรสลัดและกองทัพเรือจะแล่นไปรอบๆ ขอบเขตดินแดนของเลวีอาธาน ด้วยเหตุผลเดียวกัน
บางทีหลังจากที่ตระหนักถึงภัยคุกคามของผู้กล้าแล้ว จักรวรรดิอันเดดและพันธมิตรเอลฟ์ต่างก็ขี้เกียจเกินไปที่จะสิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังงานมากเกินไปกับสัตว์ประหลาดที่ทรงพลังและอันตรายมาก และเพิ่งผ่านพื้นที่แฟรนนี่ไปเป็นการต่อสู้ขั้นเด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม หากผู้กล้ายังปรารถนามากขึ้น ตัวอย่างเช่น อำนาจ อาณาเขต ความเท่าเทียม เสรีภาพ ฯลฯ แถมยังรุกล้ำดินแดนของสองประเทศใหญ่ๆ ได้อีก ผู้นำระดับสูงของทั้งสองฝ่ายจะไม่ยอมให้เขาขึ้นสู่อำนาจจนก่อให้เกิดอันตรายอย่างแน่นอน ขุมพลังที่สามจะต้องถูกทำให้ตกต่ำลง
ดังนั้นกุญแจสำคัญคือการยืนยันว่าเจตนาของผู้กล้าคืออะไร มันเป็นเพียงเรื่องของการต่อสู้และทำงานอย่างไม่เป็นทางการหรือจำเป็นจริงๆที่จะต้องปลดปล่อยพลเรือนทั้งหมดในโลกนี้และกำจัดขุนนางและเทพเจ้าให้สิ้นซาก? นั่นคือเส้นทางแห่งอาชูร่า
"พวกเขาต้องการอะไรน่ะเหรอ พวกเขาต้องการแหวน ชุดเกราะ ปืนคาบศิลา และกระสุน ถ้าความต้องการไม่มากเกินไปล่ะก็ พวกเขาสามารถแลกเปลี่ยนจากเราได้ในระยะยาวเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าพวกเขาต้องการ ปล้นพวกเราได้โดยตรงเสียมากกว่า“ไทลันพูดเสียงราวกับอยากจะคำรามอย่างเย็นชาในลำคอขณะเดินนำเซารอน”และพวกเขาก็ปล้นพวกเราไปแล้วด้วย พวกเขาล่อลวงคนหนุ่มสาวที่ไร้สมองและกระตือรือร้นเหล่านั้นให้เข้าร่วมภารกิจของพวกเขาในภาคเหนือ โชคดีที่คนไร้สมองที่สุดคือกลุ่มที่ข้าเป็นผู้นำ และถูกส่งไปยังอาณาจักรแห่งทรายล่วงหน้าแก่เจ้า นอกจากกองทัพประชาชนแล้ว ยังมีตัวเลือกกองทัพแนวหน้าใหม่ ไม่เช่นนั้นคนหนุ่มสาวในจักรวรรดิอาจต้องตายในต่างแดน”
เซารอนมองไปยังนายช่างอย่างประหลาดใจ “ข้าคิดว่าคนแก่ๆ ล้วนแล้วแต่อยากกลับไปทางเหนือทั้งนั้น ทำไมเจ้าไม่มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับอนาคตของกองทัพประชาชนล่ะ?”
"เฮ้! ข้าแค่มีผิวที่ไม่ดีเท่านั้น นี่เจ้าคิดว่าข้าอายุเท่าไหร่กัน?“ไทลันจ้องมองเขาด้วยท่าทางแสดงออกว่าไม่รู้จะด่าอีกฝ่ายยังไงดี” ไม่ใช่แค่ข้าเท่านั้น ' ผู้อาวุโส ' ทุกคนที่นี่ในเตาหลอมและผู้ที่มีมรดกไม่ได้มองโลกในแง่ดีเกี่ยวกับกองทัพประชาชนเลยสักนิด ไม่ว่าตอนนี้ผู้กล้าจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม เขาจะอยู่ได้อีกหลายปีเลยเหรอ เกรงว่าจะใช้เวลาไม่ถึงร้อยปี แต่แค่สามสิบสี่สิบปีก็เต็มกลืนแล้ว จากนี้ไปเขาจะตกลงมาจากที่สูงและจะไม่สามารถปกป้องแฟรนนี่ได้อีกต่อไป"
"เมื่อถึงเวลานั้น กองทัพคนเหล่านี้คงหนีความตายไม่พ้น ในอดีต กองทัพแนวหน้าก่อกบฏภายใต้การปกครองของเทพเจ้าเอลฟ์และต่อให้เป็นผู้กล้าที่ถูกร่ำลือว่าเป็นตำนานก็ยังต้องล้มเมื่อผ่านการต่อสู้ไปหลายครั้ง"
"เมื่อก่อนเราไม่มีทางเลือกแต่ตอนนี้เจ้าได้เปิดโลกใหม่ทางภาคใต้แล้ว นี่เป็นความจริงที่กองทัพแนวหน้าใหม่แวนการ์ด มีความหวังที่จะส่งต่อโอกาสและมรดกมากขึ้น การคงอยู่ที่นี่ย่อมมีโอกาสมากกว่าไปกับชาวเหนือ”
สถานที่ที่ทูตพำนักเป็นร้านอาหารเล็กๆ ริมคลอง มันเป็นร้านที่เปิดโดยเฮนรี่เอลฟ์ที่ถูกเนรเทศและลูกสาวลูกครึ่งเอลฟ์ของเขา และฐานที่มั่นของสมาคมค้าของเถื่อน ปรากฎว่าทูตของกองทัพประชาชนนายกองแนวหน้าเข้ามาทางช่องทางของหอการค้าอิเซนเลียน นี่เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่โหดร้ายแม้ว่านี่จะเป็นการทำธุรกิจกับกองทัพประชาชนก็ตาม
ตอนนี้มีคนอยู่ในร้านอาหารค่อนข้างมากและเฮนรี่พร้อมด้วยลูกสาวของเขากำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน ไทลัน กล่าวสวัสดีพวกเขาในขณะที่พาเซารอนมาที่ห้องด้านหลังแล้วไปหาชายคนหนึ่งที่มีเคราแพะสีเทาอยู่ที่มุมห้อง
“ราม ตัวแทนการค้าของกองทัพประชาชน นี่คือเซารอน ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพแนวหน้าใหม่ พวกเจ้าคุยกันก่อน แล้วข้าจะไปเอาอาหารมา”
ไทลันหันหลังและจากไป พร้อมกับลูกค้าที่อยู่ทั้งสามโต๊ะถัดจากรามด้วย พวกเขาก็ยืนขึ้นและจากไปพร้อมกัน เหลือไว้เป็นวงกลมว่างๆ พวกเขาน่าจะเป็นคนคุ้มกันทั้งหมด
“กองทัพแนวหน้าใหม่ เซารอน ข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเจ้า” รามมองเซารอนขึ้นๆ ลงๆ “เจ้า..ท่านต้องคลุมศีรษะแบบนั้นในตอนที่เราพบกันด้วยเหรอ? เมืองนี้ไม่ได้ถูกควบคุมสมบูรณ์แล้วโดย กองทัพแนวหน้าแวนการ์ดของท่านแล้วไม่ใช่รึไง?”
เซารอนพูด "...อย่ารังเกียจกันเลยน่า ข้าไม่ได้หมิ่นเกียรติของเจ้าอะไรพวกนั้นหรอก เพียงแค่ข้าพึ่งถูกไฟคลอกในการต่อสู้เมื่อเร็วๆ นี้"
รามมองดูเขาอย่างสงสัย "เอาล่ะ ข้าได้ยินมาว่ากองทัพแนวหน้าใหม่ของท่านกำลังรับสมัครคนเพื่อบุกเบิกดินแดนรกร้างทางตอนใต้อยู่นี่นา?”
เซารอนนั่งลงตรงหน้าเขาแล้วพยักหน้า “ใช่ และข้าได้ยินมาว่าเจ้าต้องการรับสมัครคนไปต่อสู้ทางตอนเหนือด้วยเหรอ? ดูเหมือนว่าเราจะมี ทะเลาะกันนิดหน่อยนะ”
รามส่ายหน้า “นี่ไม่ใช่ความขัดแย้ง เราไม่ได้รับสมัครทหาร ไม่สิเราไม่ได้เปิดรับอาสาสมัครจากพลเรือนเลยด้วยซ้ำ เรามาเพื่อขอความช่วยเหลือเท่านั้น ได้ยินมาว่าถ้าตามท่านไป ทางใต้เปิดดินแดนรกร้างจะมีค่าใช้จ่ายพื้นฐาน ถ้าคนเหนืออย่างพวกเราจะไปด้วย...ไม่สิ ถ้าเป็นผู้หญิงธรรมดา เด็ก คนแก่ และคนอ่อนแอ ท่านพอจะรับไปด้วยได้ไหม ?”
"เอ่อ...”
เซารอนอึ้งไปครู่หนึ่ง “แน่นอน รับสิ ไม่มีปัญหา...”
รามพยักหน้า "เอาล่ะ เราจะจัดการให้คนของแฟรนนี่หลบหนีเป็นชุดๆ โปรดให้พวกเขาได้มีโอกาสหาทางเอาชีวิตรอดด้วยเถิด"
เซารอนลังเล "นี่คือความตั้งใจของเจ้าเหรอ หรือมันคือความตั้งใจของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเจ้ากัน?”
แน่นอนว่าไม่ใช่ความตั้งใจของเขา เขาไม่สนใจ และเขาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้“รามเผยรอยยิ้มน้อยๆ และพูดออกมา”ตอนนี้สถานการณ์ได้พัฒนาไปสู่สถานการณ์ที่รุนแรงที่สุดแล้ว เราต้องหาทางออกให้กับผู้อ่อนแอ ไม่ต้องห่วง กองทัพประชาชนไม่สนใจที่อยู่ของผู้ทรยศเช่นข้าที่หนีออกมาจากสนามรบหรอก”
เซารอนเข้าใจเล็กน้อย “มีคนของกองทัพแนวหน้าของแฟรนนี่ที่ไม่มั่นใจของอนาคตของกองทัพประชาชนด้วยเหรอ ถึงกระนั้นก็ยังติดตามเขาไปแต่แรกเลยเนี่ยนะ นี่เขาต้องการทำอะไรกันแน่?”
รามยิ้ม“'เขา' น่ะเหรอ หากเจ้าถามเกี่ยวกับผู้นำและผู้กล้าของกองทัพประชาชน 'เขา' ต้องการเพียงการฆ่าขุนนางและเทพเจ้าเอลฟ์ทั้งหมดที่รับผิดชอบต่อความอดอยากในแฟรนนี่”
"หากท่านถามเกี่ยวกับเขา ท่านคงเพียงหมายถึงนักผจญภัย ไลคัท ในฐานะมนุษย์ เขาอาจแค่ต้องการทำ 'ภารกิจอันยิ่งใหญ่' นี้ให้สำเร็จและรับรางวัลที่คู่ควรกับความยากของภารกิจ"
"รางวัลภารกิจ?" เซารอนสงสัย "เจ้ารังเกียจที่จะพูดถึง หัวหน้ากองทัพประชาชนของเจ้าเหรอ”
ไทลันนำเอลมา แล้วรามก็รีบหยิบไปจิบอึกหนึ่งก่อนจะพูดต่อ "ขอบคุณ..เอาล่ะ เรามาคุยกันเถอะ อืมมม..ไลคัท ผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของกองทัพประชาชนของเรา เขาอาจจะมีปัญหาทางสมองบางอย่าง"
ไทลัน ฮ่าฮ่าฮ่า หัวเราะ "นี่เป็นความคิดเห็นทั่วไปสำหรับผู้ที่ได้ชื่อว่านายกองแนวหน้า"
รามส่ายหน้าอย่างจริงจัง "ไม่ ข้าจริงจัง ดูเหมือนว่าเขาจะมีปัญหาเกี่ยวกับความเข้าใจในโลกใบนี้ ความประทับใจของไลคัทต่อโลกใบนี้มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเผ่าพันธุ์ของเราที่เกิดในโลกนี้ เผ่าพันธุ์ที่ต้องดิ้นรนอยู่เพื่อรอดชีวิต ต่อสู้อย่างหนักเพื่อเอาชีวิตรอด ด้วยเหตุผลบางอย่าง...พวกเรารู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ที่นั่นโดยมีจุดประสงค์ ความปรารถนา ความทะเยอทะยาน หรือความรับผิดชอบของตนเอง"
"เขา..ก็..มักจะรู้สึกเสมอว่าทำไม่ได้...ไม่ดีพอ....อีกนัยหนึ่งก็คือ...เขาดูราวกับว่าไม่สนใจว่าโลกนี้จะเกิดอะไรขึ้นและไม่มีความคาดหวังอะไรเลยด้วยเหมือนกัน"
"ทุกสิ่งที่ ไลคัท ทำมันดูราวกับว่าเขาแค่ต้องทำ 'ภารกิจ' ให้สำเร็จ สิ่งที่เรียกว่า 'ความปรารถนาส่วนตัว' นั้นจำกัดอยู่เพียงเรื่องของ 'รางวัล' เท่านั้น ราวกับว่าเขาได้รับบางสิ่ง...เขาเรียกมันว่า ' รางวัลที่ได้รับหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ' เขากระตือรือร้นที่จะทำภารกิจให้สำเร็จและได้รับรางวัลจริงๆ เขามักจะยิ้มบนใบหน้าที่ตายแล้วของเขาด้วยเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ"
ข้าไม่รู้ว่านี่คือสิ่งพิเศษของผู้ที่ถูกเรียกว่า 'ผู้กล้า' หรือไม่ แต่เขาเสร็จสิ้นภารกิจของแฟรนนี่ทั้งหมดด้วยตัวเขาเอง เขาเสร็จสิ้นทุกภารกิจในอาณาจักร ทุกอย่างที่พอจะเรียกได้ว่าภารกิจ หรือแม้แต่ภารกิจของกิลด์นักผจญภัยในแต่ละเมือง จนทำให้เขาถูกเรียกได้ว่าเป็นนักผจญภัยอันดับต้นๆ ที่มีชื่อเสียงในพันธมิตรเอลฟ์ทั้งหมดเลย”
ไทลันยังแทรกแซงอีกว่า “แต่ชื่ออันโด่งดังนี้ไม่ใช่ชื่อเสียงที่ว่านี่ ชื่อเสียงอันโด่งดังที่ข้าได้ยินเขาพูดออกมา ว่ากันว่าเมื่อก่อนตอนที่เขาเป็นนักผจญภัย เขาจะฆ่าทุกคนที่ขัดขวางไม่ให้เขาทำภารกิจให้สำเร็จโดยไม่ต้องถามเหตุผล ราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติพื้นฐาน ราวกับว่ามันคือวิธีการรวบรวมวัสดุที่ถูกกำหนดว่าต้องทำ เขาจะฆ่ามอนสเตอร์ทั้งหมดให้หมด ผืนป่า หากให้เขาสำรวจใต้ดิน ต่อให้มีเทพปีศาจที่หลับใหลอยู่ข้างในเขาก็สามารถฆ่าได้โดยตรง”
"เขาเคยบอกว่าหากเราแก้ปัญหาด้วยมือได้เราจะไม่ต้องเสียเวลาในการเจรจา เพราะรางวัลสำหรับงานนั้นต่ำเกินไป แถมเป็นเรื่องปกติที่จะระบายความโกรธด้วยการฆ่าคนที่ขวางทางภารกิจ"
เซารอนเลิกคิ้ว "ทำแบบนี้ไม่น่าเป็นที่นิยมเลยนะนั่น"
รามยังขมวดคิ้ว "เขาจะมีชื่อเสียงดีได้ยังไง ไม่ต้องพูดถึงเพื่อน แม้แต่ศัตรูก็ยังไม่มีใครกล้าพูดถึง"
"เพียงแค่ใครสักคนกล้าที่จะเริ่มพูดคุยกับ ไลคัท การเป็นศัตรูเป็นเพียงการแสวงหาความตายอย่างปัจจุบันทันด่วน"
"ก่อนหน้านี้ กลุ่มทหารรับจ้างกลุ่มใหญ่เข้ามารับหน้าที่ลอบสังหารเขา แต่อย่างใดก็ตาม เขาได้ค้นพบก่อนที่อีกฝ่ายจะได้ลงมือสังหาร เขาได้ไปที่ฐานที่มั่นของอีกฝ่ายด้วยตัวคนเดียวและสังหารพวกนั้นทั้งหมดตั้งแต่หัวหน้าองค์กรไล่เรียงมาจนถึงลูกกระจ๊อกที่มีหน้าที่คอยสอดแนม ฆ่าพวกนั้นทั้งหมดโดยไม่เหลือใครรอดชีวิตและองค์กรที่มีอยู่หลายร้อยปีก็ถูกยุบอย่างไม่เหลือดีโดยสิ้นเชิง"
"ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าผู้ที่มอบหมายภารกิจลอบสังหารและผู้ที่ออกภารกิจลอบสังหารจะตกอยู่ในสภาพใด เขาได้บุกเข้าหาศัตรูโดยตรงไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นหอการค้าหรือกิลด์นักฆ่าล้วนแต่ต้องเผชิญกับทางตันในการเอาชีวิตรอด พลังที่เหลือคณานับของพวกเขาที่ทำตัวราวกับเป็นเจ้าของโลกได้ถูกกลืนกินไป ความโกรธของพวกเขาในขณะนั้นต้องถูกกลืนลงท้องไปอย่างไม่อาจเรื่องได้ ทำไม่ได้แม้แต่การกล้าคิดหาทางตอบโต้ 'เขา' ตราบที่สมาชิกของพวกเขาถูก 'เขา' พบเจอบนท้องถนน พวกเขาจะถูกฆ่าโดยไม่ได้ถูกคำนึงถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา"
"โดยทั่วไปแล้ว เรื่องตลกแบบนี้เป็นเพียงสิ่งที่ต้องพูดเมื่อระบายความโกรธที่ไม่อาจทำอะไรศัตรูคู่แค้นได้ แม้แต่นายกองแนวหน้าก็รู้ว่าเมื่อไรที่จะเพียงพอ ใครจะมีความแค้นแบบ 'เขา' คนนี้ได้อีกกัน หากเป็นคนอื่นจะฆ่าคนที่ไม่เกี่ยวข้องแม้จะอยู่ในองค์กรที่ไม่เป็นมิตรทั้งหมดได้อย่างไร?"
"นี่ขนาดบางคนที่ถูกฆ่าเพียงแค่เดินผ่านเข้ามาในเส้นทางเฉยๆ นะ แต่ จู่ๆ 'เขา' ก็ชักหอกออกมาฆ่า! หลังจากสังหารพวกนักฆ่าแล้ว เจ้าว่าอีกฝ่ายเป็นองค์กรที่ไม่เป็นมิตรใช่ไหมล่ะ? มีเรื่องที่บ้าจนดูราวกับฉวยโอกาสปล้นอีกนะ?
สิ่งที่เลวร้ายที่สุดหลังเขาฆ่ากลุ่มทหารรับจ้างแล้ว เขาไปหาคู่แข่งเพื่อขอภารกิจหรือไม่ก็รางวัลในทันที? มันคงสายเกินไปที่พวกข้าจะตีตนออกห่างแล้วท่านไม่คิดเช่นนั้นบ้างเหรอ?
"เมื่อสิ่งต่างๆ พัฒนาขึ้น กิลด์นักผจญภัยไม่กล้ามอบหมายภารกิจให้เขา ผลก็คือ เขาแค่ไปขโมยภารกิจของคนอื่นและทำแม้แต่การเยี่ยมชมทุกพื้นที่เพื่อรวบรวมเศษซากกองกำลังโจร สัตว์ประหลาด ลงดันเจี้ยน ทำลายล้างสัตว์สงคราม อะไรก็ตามที่สามารถพบได้ที่มาค่าพอที่จะได้รับรางวัลสิ่งตอบแทนใกล้ๆ ฐานที่มั่น ทั้งหมดล้วนตกอยู่ในสภาพพังยับเยิน"
"เป็นผลให้เขามักจะบ่นว่าการฟื้นคืนชีพของมอนสเตอร์บางตนช้าเกินไป? นี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรอกหรือ หลังจากตายแล้วจะมีตัวอะไรฟื้นคืนชีพได้กัน...”
เซารอนอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หนวดเคราสีเทานี่แน่ๆ จะเห็นได้ว่าภายใต้มือของผู้กล้า เขาไม่มีที่ที่จะอิดออดหรือรู้สึกหดหู่ใจจนอยากจะเปลี่ยนงาน อ่า...
รามจิบไวน์อีกจิบหนึ่งก่อนจะพูดออกมา “หากจะมีคนพูดถึง 'เขา' ไลคัทคนนี้ควรจะถูกกล่าวขานว่าเป็นนักผจญภัยที่น่ากลัวยิ่งกว่าปีศาจเสียมากกว่า”
"โดยปกติเมื่อท่านเดินเข้าไปของกิลด์นักผจญภัย จะไม่มีใครกล้าส่งเสียงดังบ้างเลยเหรอ นี่ขนาดว่าเขาคือผู้กล้าที่ยกระดับความปลอดภัยของอาณาจักรเลยนะ แม้นั่นจะหมายถึงการฆ่าพวกเขาก็ตาม"
"เพียงเพราะเขาเป็นคนธรรมดาสามัญระดับต่ำ เจ้าชายและขุนนางจึงเพิกเฉยต่อเขา เพียงเพราะเขาไม่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนต์ วิหารเอลฟ์จึงดูถูกเขา"
"เหอะ แล้วในที่สุดเราก็เจอเขา"
"พูดตรงๆ เราไม่ได้ไปหาเขาตั้งแต่แรก เราไปหา เรน่า เชื้อสายนอกกฎหมายโดยหวังว่าจะใช้ความสามารถของผู้สืบทอดสายเลือดของราชาคนนี้ไปเข้าร่วมการเลือกของราชาแห่งแฟรนนี่"
"เขาบังเอิญไปผจญภัยกับเจ้าหญิงเรน่าในฐานะผู้ปกป้อง ไม่ใช่สิ เรน่าเป็นคนออกผจญภัยกับเขา มันต้องพูดทำนองนั้นเพราะ เรน่า ขอให้ ไลคัท เป็นผู้คุ้มกันของเธอ และดูเหมือนว่าเขาไม่มีงานอื่นที่ต้องทำอีกแล้ว “
"เดี๋ยวก่อน เจ้าจะบอกว่าผู้กล้าแห่งแฟรนนี่ผู้นี้คือพวกหัวรุนแรงมากจนกองกำลังมากมายไม่อยากรับสมัครเขาเนี่ยนะ? แต่เขาเป็นผู้กล้าไม่ใช่หรือ? อย่างน้อยเขาก็เป็นนักผจญภัยที่มีชื่อเสียงและทรงพลังอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ? มันจะต้องมีคนสนใจ 'เขา' บ้างสิ เซารอนอยากรู้อยากเห็น
รามจิบไวน์แล้วพูดออกมา "เขามีพลังมากจริงๆ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับมรดกจากกองทัพนายกองแนวหน้าและหอกที่เขาได้มาจากที่ไหนสักแห่ง"
"แต่ในสถานที่ของแฟรนนี่ แม้แต่นักรบก็อาจมีมรดกในกองทัพแนวหน้าแวนการ์ดที่สืบทอดมาในตระกูล ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของไลคัทยังแย่มาก เขามีศัตรูมากเกินไป และลักษณะนิสัยของเขาก็แย่เกินไป นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าเขาเคยเป็นลูกน้องของผู้บัญชาการอัศวินคนหนึ่ง แต่ต่อมา 'เขา' กลับทรยศต่อผู้เป็นนาย"
"ใครจะกล้าเอาชนะคนแบบนี้กันล่ะจริงไหม? 'เขา' ทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองในขณะที่เดินเผ่นผล่าน และคนผู้นั้นก็อาจถูกฆ่าในวันรุ่งขึ้นเพราะ 'เขา' ถูกขอให้ทำภารกิจที่มีรางวัลที่น้อยเกินไป..."
"เราก็รู้จักชื่อเสียงของ 'เขา' เช่นกัน แต่ทุกคนก็เห็นได้ว่าเรน่าเป็นผู้สนใจในตัวเด็กคนนั้น ตอนนั้นเราเองก็ยังไร้เดียงสานักและคิดว่า ไลคัท คนนี้มีความสามารถจริงๆ ยิ่งกว่านั้นอาจเป็นเพราะทั้งสองคบกันมานานและมีมิตรภาพอยู่บ้าง เขาจึงยอมเข้าร่วมกับเรน่าเพื่อช่วยเรา"
"ใครจะรู้ว่าผู้ชายคนนี้จะฉลาดมากถึงขนาดฆ่าขุนนางทั่วประเทศ! มีอะไรผิดปกติกับการคุกเข่าตาม 'ธรรมเนียมปฏิบัติ' กัน? มันช่างน่าสะเทือนใจยิ่งนัก! “
ก็...พวกขุนนางที่บังคับนักรบอารมณ์ไม่ดีคนนี้ให้คุกเข่าลงคงคิดเหมือนกัน...
รามดื่มเอลไปอีกหลายอึก สีหน้าของเขายิ่งหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ “พวกเรา นายกองแนวหน้ากลุ่มแรกที่ไปตามหาเรน่า ล้วนสืบทอดหน้าต่อมาจากพระบิดาของเจ้าหญิงเรน่าซึ่งเป็นอัศวินในสังกัดเจ้าชายองค์ก่อน”
"ในอดีต เจ้าชายองค์ก่อนล้มเหลวและถูกสังหารของการต่อสู้ภายในกับราชาแฟรนนี่และเราก็ถูกเนรเทศ ทุกคนปกป้องทายาทคนสุดท้ายของเจ้าชายและซ่อนตนอยู่ในเทือกเขา พูดตามตรง เจ้าชายองค์ก่อนต้องการสละฟางเส้นสุดท้ายนี้เพื่อช่วยชีวิตเขาเสียด้วยซ้ำ"
"โดยไม่คาดคิด โอกาสกลับมาถึงจริงๆ และแฟรนนี่ก็ให้กำเนิดทายาทคนที่สาม เจ้าหญิงลูมินอส ด้วยวิธีนี้ ราชาต้องการตัดอิทธิพลของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ส่วนผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เองก็ต้องการเขายึดบัลลังก์แทน ดังนั้นการต่อสู้ภายในจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง"
"เราเห็นโอกาส เดิมทีเราต้องการร่วมมือกับเจ้าชายผู้สำเร็จราชการแทนเพื่อฟื้นฟูชื่อเสียงของเจ้าหญิงเรน่าในฐานะสายเลือดของราชวงศ์ก่อน และให้เธอแต่งงานกับเจ้าชายผู้สำเร็จราชการเพื่อชิงบัลลังก์ของแฟรนนี่กลับคืนมา ถ้าหากสำเร็จ เราก็สามารถคืนตำแหน่งอัศวินได้เช่นกัน"
"แม้ว่าเด็กคนนั้น ไลคัท จะเต็มใจแต่งงานกับเจ้าหญิงเรย์น่า และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เราก็ยังยอมรับเรื่องนั้นได้เช่นกัน!"
"แต่ตอนนี้ ทุกอย่างพังทลายไปหมดแล้ว..."
ไทลันและเซารอนมองหน้ากัน ขณะที่รามยังคงดื่มเอลล์ติดต่อกันราวกับดื่มซุปสีเหลือง ก่อนที่เขาจะพูดต่อ "ตอนนี้กองทัพประชาชนของแฟรนนี่เป็นกลุ่มพวกหัวรุนแรง กลุ่มหัวรุนแรงในหมู่กองทัพแนวหน้า ผู้ที่สนับสนุนไลคัทคือกลุ่มคนหนุ่มสาวโง่เขลาที่ถูกหลงใหลในความหลงใหล"
"พวกเขาซ่อนตนอยู่ใต้เงาของผู้กล้าและต้องการระบายความอยุติธรรมและการกดขี่ที่พวกเขาต้องเผชิญในอดีต แต่สุดท้ายคนเหล่านี้จะได้อะไร? พวกเขาจะถูกตามล่าและประหารเท่านั้น..."
"ผู้กอบกู้ของพวกเขา ผู้กล้า ไม่สามารถปกป้องพวกเขาได้เลย อันที่จริง มันยิ่งกว่านั้นอีก ผู้กล้าที่เอาเรื่องไว้ในมือของเขาเองนั้นไม่ใช่แม้แต่ผู้กล้าในอุดมคติในตำนานนิทานเรื่องเล่าเลยสักนิด
'เขา' จะไม่ต่อสู้เพื่อพวกเขา ไม่คิดเสียงตายเพื่อพวกเขา ท้ายที่สุด มีเพียงคนโง่ที่สร้างปัญหาใหญ่เท่านั้นที่จะรอด! โง่ โง่จริงๆ...”"
รามพึมพำกับตนเองจนหมดสติเมาอยู่บนโต๊ะ เห็นได้ชัดเจนว่ามันเป็นเหล้าโฮมเมดที่มีแอลกอฮอล์ต่ำ เขาคงคิดอะไรอยู่ในใจเลยเมาง่ายแบบนี้
เมื่อเป็นแบบนี้ ไม่มีทางที่จะพูดถึงเรื่องอื่นได้อีก เซารอน และ ไทลัน ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกไปก่อนและบอกให้ทหารที่อยู่ด้านข้างพา ราม กลับห้องเพื่อพักผ่อน
“พวกเขาน่าจะเข้าใจมานานแล้วว่าผู้กล้าไม่สามารถเชื่อถือได้ มีเพียงผู้แข็งแกร่งที่สามารถบรรลุสิ่งที่ต้องการได้ด้วยหมัดของตนเอง และถ้าเขาสามารถมีชีวิตที่ดีโดยอาศัยเพียงความแข็งแกร่งของตัวเองเท่านั้นล่ะก็ จะมีคนบ้าสักกี่คนที่ยืนหยัดเพื่อคนอ่อนแอโดยไม่มีเหตุผลได้กัน?”
ไทลันพูดกับเซารอนต่อ "อย่าจริงจังกับคิลเลียนและลิชชุดขาวพวกนั้นจนเกินไป อย่าได้มัวคำนวณสิ่งนี้และสิ่งนั้นตลอดทั้งวัน"
"แม้ว่าเจ้าจะเตรียมการและวางแผนต่างๆ สำหรับพวกเขา แต่ในการวิเคราะห์ตัดสินขั้นสุดท้าย พวกเขาไม่สามารถถือเป็นคนฝ่ายเราได้อีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม เช่นเดียวกับชายผู้กล้า เขาเพียงแต่ทำ 'ภารกิจ' ของตนเองเพื่อ 'รางวัล' ของเขาเอง"
"อย่าตั้งความหวังไว้สูงกับพวกเขา เพราะผู้แข็งแกร่งอาจทำตนเหมือนผู้กล้าไลคัสได้ตลอดเวลา และก่อปัญหาใหญ่หลวงเพราะความสุขและความโกรธส่วนตัวของพวกเขาเอง"
"แม้ว่าข้าจะคิดด้วยว่าชายผู้กล้านั้นแข็งแกร่งมาก และเขาฆ่าขุนนางเพื่อบรรเทาความโกรธ แต่จะมีคนเกี่ยวข้องและฆ่ากี่คนที่ถูกฆ่าตายไปทั้งที่พวกเขายังไม่ได้ทำอะไรผิด? คนประเภทนี้จะมาสนใจชะตากรรมของมดที่เกี่ยวข้องหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้ว ผู้นำทางศีลธรรมและวีรบุรุษผู้เสียสละทุกสิ่งในบทกวีมหากาพย์นั้นได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามด้วยจินตนาการ และไม่มีสิ่งใดเหมือนนักบุญเหมือนผู้ช่วยให้รอด"
เซารอนมองมาที่ชายที่อ้างตนเองว่ายังหนุ่มที่พึ่งจะเอ่ยปากสอนสั่ง “เจ้าคงไม่ได้ถือโอกาสเทศนากับข้าหรอกใช่ไหม? แน่นอนข้ารู้ว่าลิชก็มีความสนใจของตนเองเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงสามารถคำนวณการกระทำของพวกมันตามสมมติฐานนี้ได้ นี่ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของข้า แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำ”
ไทลันส่ายหน้า "ข้าแค่อยากเตือนเจ้าว่าอย่าเข้าไปยุ่งกับขุนนางมากเกินไปและลืมความตั้งใจเดิมของเจ้า"
"เจ้าแข็งแกร่งขึ้นเร็วเกินไป ดูชายผู้กล้าคนนั้นสิ เขามีชื่อเสียงมานานและฆ่าคนไปมากมาย แต่เขาไม่เคยได้รับการยอมรับเข้าสู่วงการ ยังคงเป็นเพียงตัวหมากรุกที่ไม่สามารถมองเห็นสถานการณ์โดยรวมและอาละวาดได้เพียงอย่างเดียว"
"แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้ เจ้าได้กลายมาเป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของพวกเขาแล้ว และทั้งยังสามารถวางแผนและมีส่วนร่วมในเกมหมากรุกจริงๆ เจ้ากลายเป็นผู้เล่นหมากรุกได้เหมือนที่เจ้าทำอยู่ตอนนี้"
"นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ข้าเห็นความหวังที่แท้จริง อย่าให้ข้าต้องผิดหวังเหมือนคนแก่ข้างในอีกเลย...”
เซารอนส่ายหน้า “ไทลันหนอไทลัน นี่แหล่ะทำให้ข้าพูดออกมาเจ้าแก่แล้ว เจ้าทำให้ข้ารู้สึกซาบซึ้งมากนัก”
"เป็นเรื่องจริงที่เจ้าเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ดังนั้นเจ้าอาจค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับสถานะขุนนาง ตำแหน่ง มรดก ฯลฯ ใช่ไหม? ถ้าข้าพูดตรงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีค่าอะไร ไม่รู้ว่ามันจะกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจของเจ้ารึเปล่า..."
ไทลัน จ้องมองเขา
เซารอนยักไหล่ "และมีอยู่สิ่งหนึ่งที่เจ้าอาจอ่านผิด ไม่ใช่ว่าชายผู้กล้าไม่สามารถรับเข้าสู่แวดวงของเราได้ แต่เขาอาจจะไม่สนใจที่จะเข้าร่วมเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้ข้ามีความคิดคร่าวๆเกี่ยวกับลักษณะนิสัยของผู้ชายคนนี้แล้วและมันก็ไม่ยากเลยที่จะจัดการกับเขา"
"เราสามารถให้ความพยายามอย่างมากเพื่อสนับสนุน กองทัพแนวหน้าของกองกำลังประชาชนได้อยู่นะ...ไม่สิ เราต้องให้การสนับสนุนแก่พวกเขาอย่างมากพอ"
"เพราะผู้กล้าก็อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา"
"เจ้าพูดออกมาว่าเขาไม่สนใจชะตากรรมของมด ฮึฮึ บางทีคนบ้าคนนี้อาจจะทำตนเหมือนนักบุญจริงๆ และทุบหัวผู้หญิงคนนั้นให้เป็นชิ้นๆ เพียงเพื่อปกป้องแฟรนนี่ก็เป็นได้"
ไทลันขมวดคิ้ว “ไอ้ฆาตกรบ้านั่นเหรอ? เจ้ายืนอยู่ฝั่งเดียวกับข้าจริงๆใช่ไหม? นี่เจ้ายังกล้าพูดออกมาได้รึเปล่าว่าต้องการปกป้องแฟรนนี่จริงๆ หลังจากพูดประโยคนี้ออกมาน่ะ?”
"แน่นอน ถึงแม้ข้าจะคิดไม่ออกว่าพวกลิชใจร้ายพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ประวัติส่วนตัวของ 'เขา'...ชายผู้กล้านั้นเรียบง่ายเกินไป" เซารอนหัวเราะยิ้มเยาะ
"โดดเดี่ยวในต่างแดน โดยไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาทำได้แค่ฆ่าเวลาโดยการไปทำภารกิจไม่รู้จบเท่านั้นสัมผัสถึงความสำเร็จเมื่อได้รับรางวัลเท่านั้นที่จะเติมเต็มความว่างเปล่าในใจและทำให้เขารู้สึกได้ว่าเขามีตนอยู่จริงในโลกและมีผลกระทบต่อโลกจริงๆ แต่ความหมายของชีวิตในโลกนี้จบลงเพียงแค่นั้น"
"เขาฆ่าผู้คนอย่างไม่ระมัดระวังเพราะเขาแข็งแกร่งมากจนไม่ต้องการเพื่อนร่วมกลุ่ม เขาสามารถถอนรากถอนโคนองค์กรลอบสังหารของโลกอื่นได้เพียงลำพังจนกว่าพวกมันต้องยุบทิ้ง จะทำสำเร็จได้อย่างไรด้วยกำลังเพียงอย่างเดียวโดยปราศจากสติปัญญาและความมุ่งมั่นที่ตรงกันน่ะ?"
"แต่เขากลับเก็บผู้หญิงคนนี้ที่เป็นเสมือนภาระอยู่ข้างๆ โดยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ แต่เขาก็ยังปกป้องเธอไว้ตลอดทาง เพราะอย่างน้อยคนนี้ก็ไม่น่ารำคาญ อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากฆ่าเธอ อย่างน้อยผู้หญิงคนนี้ก็เฝ้าดูเขาอยู่ และเธอก็สามารถเป็นพยานได้ว่าเขาเป็นคนจริงๆ"
"ดังนั้นทำไมไม่ปกป้องเธอสักหน่อยและช่วยเหลือเธอสักนิดล่ะ ยังไงซะ มันก็ง่ายดาย และไม่มีอะไรจะเสีย แล้วทำไมต้องปฏิเสธ"
"แต่เมื่อสิ้นสุดภารกิจปกป้องที่สำคัญนี้ในขั้นตอนสุดท้ายของการได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย ในขั้นตอนสุดท้ายของการรับรางวัลเขาก็ยอมแพ้และสละทุกสิ่งเพียงปลายนิ้วสัมผัสเนี่ยนะ เจ้าจะคิดว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น?
ในตอนท้ายของบททดสอบนี้ ตอนจบของเรื่อง ตอนจบที่มีความสุขครั้งสุดท้ายของความยากลำบากทั้งหมด ในตอนหัวเลี้ยวหัวต่อที่สามารถเปิดหน้าใหม่ในโลกนี้ได้! แต่เขาละทิ้งเพื่อนร่วมทางคนนี้"
"ทั้งๆ ที่เขาสามารถยื่นมือออกไปและอุ้มเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา แต่เขากลับผลักเธอออกไป"
"ทำไม"
"มันค่อนข้างเรียบง่าย นั่นก็เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องการ"
"นั่นไม่ใช่โลกที่ผู้กล้าต้องการ!"
"เพราะเขาไม่ได้ทำภารกิจทั้งหมดของอาณาจักรแฟรนนี่ให้สำเร็จหมดแล้วงั้นเหรอ?"
"เขาไม่ได้ใช้เท้าเหล่านี้เดินทางไปทั่วอาณาจักรและเห็นทุกภารกิจ ทุกเมือง และทุกคนด้วยสายตาของเขาเองไม่ใช่หรือ?"
"เขาได้ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ฆ่าทุกคนที่ควรฆ่า กำจัดคนร้ายให้หมดด้วยค่าหัว จับภัยอันตรายที่ซ่อนเร้นไว้จนมั่น กำจัดพวกโจร กองโจร สัตว์ประหลาด และสัตว์สงครามที่ก่อความเดือดร้อนในทั่วเขตแดน!"
"แต่ในบทสุดท้ายของเรื่องนี้ ทุกอย่างก็มาถึงจุดจบ และรางวัลที่เขาจะได้รับคืออะไร! และอะไรคือรางวัลสำหรับคนที่ได้รับอิทธิพลจากเขา เปลี่ยนแปลงโดยเขา และได้รับความรอดจากเขา?
คุกเข่าลงและเป็นสุนัขหลวง! สำหรับเหล่าเทพและเจ้าชาย จงกินหญ้าแกะที่กินไม่อิ่มต่อไป!"
"เขาไล่ตามคนที่มอบหมายงาน ขอความช่วยเหลือ และตอบแทนเขาด้วยรางวัลและความกตัญญู แต่สุดท้าย ไม่ว่าเขาจะฆ่าสัตว์ประหลาดไปกี่ตน และกำจัดวิญญาณไปกี่ตน เขาก็ยังคงไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ เขาจะอดอยากตายด้วยความเร็วที่เห็นได้ชัด กลายเป็นแกะที่ตายแล้ว..."
"ยังต้องถามข้าอีกไหมว่าทำไมเขาถึงไม่ยอมคุกเข่า! “
"ตอนที่เขาเลือกเป็นผู้นำกองทัพประชาชนเขาไม่ได้บอกทุกคนให้ชัดเจนเกี่ยวกับภารกิจที่เขาทำตั้งแต่ต้นหรือต้นจนจบใช่ไหมล่ะ"
"แม้แต่คนหนุ่มสาวอย่างพวกเราทันทีที่ความหลงใหลของเรา หรืแม้แต่เจ้าที่อยู่ในฐานะผู้อาวุโสก็ยังมองเขาเป็นไอ้โง่ที่ไม่คิดอะไรเลย นี่ก็เห็นกันอยู่ชัดๆ! เจ้าที่เป็นผู้อาวุโสก็ควรจะมองออกได้แล้วนะ?"
ไทลันมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยความงุนงง มองดูเซารอนกางแขนขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับ อารมณ์อันรุนแรงท่ามกลางความผันผวนพลังงานเวทมนต์ในร่างกายพุ่งสูงขึ้นระเหยกลายเป็นเปลวไฟที่ลุกโชนในเวลาเช้า คบเพลิงรูปมนุษย์ก็เผาไหม้เสียงดังและคำรามว่า
"ราชวงศ์! เทพเจ้าเอลฟ์! ทุกคนที่รับผิดชอบต่อความยากแค้นในแกรนด์เวสแลนด์! พวกมันทั้งหมดเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องรับผิดชอบด้วยความตาย!!”