ตอนที่แล้วตอนที่ 51 ฉู่เสวียนศิษย์ของนิกายอู๋จี๋
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 53 บรรพบุรุษหวันเจ้าอย่าล้อเล่นนะ!

ตอนที่ 52 ข้าอยากจะเป็นผู้นำสายเลือด


ตอนที่ 52 ข้าอยากจะเป็นผู้นำสายเลือด

หวันอู๋อิงมองไปที่ฉู่เสวียนด้วยความสนใจ ราวกับว่ามองดูหยกที่ยังไม่ได้เจียระไนอย่างไรอย่างนั้น  ปัจจุบันต้นกล้าดีๆแบบนี้มีเหลืออยู่ไม่มากนัก หลังจากที่นิกายอู๋จี๋ถูกทำลายลงไป ผู้ฝึกฝนความเป็นอมตะทั้งหมดในอาณาจักรหยูก็ถูกควบคุมโดยห้านิกายสายธรรม

หากฉู่เสวียนคนนี้มีคุณสมบัติดังกล่าวจริงๆ เขาก็มีแนวโน้มที่จะทะลวงเข้าสู่ช่วงแก่นปราณทองคำได้ในอนาคต! ศิษย์ประเภทนี้ควรจะรักษาไว้อย่างดีและฝึกฝนอย่างระมัดระวัง!

หวันอู๋อิงกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า "ฉู่เสวียน เจ้ายินดีจะนับถือข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือไม่"

ฉู่เสวียนรีบคำนับทันที และกล่าวด้วยความเคารพว่า "บรรพบุรุษ ข้ามาที่นี่เพื่อต้องการจะติดตามท่านในฐานะลูกศิษย์อยู่แล้วขอรับ!"

หวันอู๋อิงหัวเราะเสียงดัง  " ดี ดี! ข้ารู้สึกมีความสุขมากที่มีลูกศิษย์เช่นเจ้า!"

สวีหมิง, เฉินเกอ, เว่ยหัวและไป่เฟิงต่างก็รู้สึกอิจฉาไปตามๆกันเมื่อเห็นฉากนี้

นี่คือบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำ!

ในวันธรรมดานั้น พวกเขาไม่มีบุญได้เห็นแม้แต่หัวหรือหางของมังกรด้วยซ้ำ

คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบรรพบุรุษเหล่านี้ ถือเป็นบุคคลที่สูงส่งจนพวกเขาไม่อาจจะแตะต้องได้

แต่ตอนนี้ เนื่องจากความสามารถและความแข็งแกร่งของฉู่เสวียน  เขาจึงถูกยอมรับให้เป็นศิษย์ส่วนตัวของบรรพบุรุษ!

ในอดีต ฉู่เสวียนเป็นเพียงผู้บ่มเพาะหนุ่มที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 เท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะถูกบรรพบุรุษรับเป็นศิษย์แบบนี้ ?

หลี่ซวนหมิงที่เห็นฉากนี้ตรงหน้าเขา ก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อยภายในใจอย่างบอกไม่ถูก

ฉู่เสวียนมีคุณสมบัติที่น่าทึ่ง และความแข็งแกร่งของเขาก็ถือว่าเข้าขั้นสุดยอด เห็นได้ชัดว่าในมุมมองของหวันอู๋อิง ​​ฉู่เสวียนนั้นอยู่เหนือเขาไปแล้ว มิฉะนั้น ฉู่เสวียนคงไม่ใช่คนแรกที่หวันอู๋อิงยอมรับเป็นศิษย์อย่างแน่นอน และตำแหน่งอัจฉริยะของเขา อาจจะสั่นคลอนได้ในอนาคต

เมื่อนึกถึงตอนที่พวกเขาพบกันครั้งแรก เขายังคงมองศิษย์น้องคนนี้ว่าอ่อนแอ จึงสั่งให้ไปจัดการกับค่ายกลข้างนอกอย่างหยิ่งยโส แต่ก็อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของฉู่เสวียนในตอนนี้นั้นเทียบได้กับเขาแล้ว เขาจึงดูหยิ่งเกินไป ที่ได้ดูถูกฉู่เสวียนในตอนแรก

หวันอู๋อิงหัวเราะเบา ๆ "ซวนหมิง ตอนนี้ข้าเป็นผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในนิกายอู๋จี๋ เจ้ายินดีที่จะนับถือข้าในฐานะอาจารย์ของเจ้าหรือไม่"

หลี่ซวนหมิงไม่ลังเลใจ เขารีบคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วแล้วคำนับ " ศิษย์หลี่ซวนหมิง ยินดีรับท่านเป็นอาจารย์!”

หวันอู๋อิงมองไปที่อู๋เถิง

อู๋เถิงเข้าใจทันที  "ศิษย์อู๋เถิง ยินดีรับท่านเป็นอาจารย์!"

หวันอู๋อิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ

เขามองไปที่ฉู่เสวียนอีกครั้ง “เสวียนเอ๋อ เจ้ามีคุณสมบัติดีที่สุด แต่ซวนหมิง อู๋เถิง และเจิ้งสงล้วนมีคุณสมบัติที่สูงกว่าเจ้า ทั้งสามคนจึงเป็นศิษย์พี่ของเจ้า”

หวันอู๋อิงหัวเราะออกมาแล้วพูดต่อ "เจ้าควรไปเคารพศิษย์พี่ทั้งสามของเจ้าด้วย"

“ขอรับ” ฉู่เสวียนรับคำ จากนั้นก็ไปทำความเคารพทีละคน

หลังจากพิธีรับศิษย์ผ่านไป  ก็ถือว่าเขาได้กลายมาเป็นศิษย์ของหวันอู๋อิงอย่างแท้จริง นอกจากนี้เขายังมีศิษย์พี่ทั้งสามคน ฉู่เสวียนไม่ได้ตั้งใจที่จะอยู่เหนือหลี่ซวนหมิงและยกย่องเขาเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เพราะเขารู้ตั้งแต่เนิ่นๆแล้วว่าหลี่ซวนหมิงต้องการเป็นศิษย์พี่ใหญ่ นอกจากนี้เขายังอายุน้อยที่สุด เมื่อเทียบกับหลี่ซวนหมิงและคนอื่น ๆ แล้ว เขาไม่คิดที่จะถือตัวว่าตนเองอยู่สูง เพราะถ้าหากว่าเขาทำตัวยโสโอหัง เขาก็อาจจะประสบปัญหาได้ในอนาคต

หลิวเจิ้งสงได้ถามออกมาว่า "ท่านอาจารย์ ท่านมีแผนที่จะทำอย่างไรต่อไป"

หวันอู๋อิงไม่ได้ตอบออกมาทันที แต่เขากลับยิ้ม แล้วถามออกมาว่า "ห้านิกายสายธรรมมีอะไรบ้าง "

คำถามนี้ของหวันอู๋อิงไม่มีผู้บ่มเพาะคนใดที่ไม่รู้เรื่องนี้  หลิวเจิ้งสงจึงได้ตอบทันทีว่า "นิกายเสินกัง, วัดจินหลง, พระราชวังเหมี่ยวอิน, ภูเขาหยูหลิงและภูเขาเทียนหยิน"

หวันอู๋อิงถามออกมาอีกครั้งว่า "แล้วสำนักไหนที่ยึดคลองทั้งสามแคว้นของนิกายอู๋จี๋เราไป"

เรื่องนี้มีคนน้อยมากที่จะรู้...

ทว่าหลี่ซวนหมิงกลับกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า "ข้ารู้  แคว้นตงโจวถูกนิกายเสินกังยึดไป แคว้นเจียงโจวถูกวัดจินหลงและพระราชวังเหมี่ยวหยินแบ่งกันคนละครึ่ง  ส่วนพื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นอู๋โจว ซึ่งมีประชากรจำนวนมากและเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดถูกภูเขาหยูหลิงยึดคลองไป และสองในสามของพื้นที่ป่าทางตอนใต้ของแคว้นอู๋โจวตกเป็นของภูเขาเทียนหยิน"

หวันอู๋อิงยิ้มออกมาเล็กน้อย "ทางตอนใต้ของแคว้นอู๋โจวเต็มไปด้วยป่าฝน งูเลี้ยว เขี้ยวขอ หนู มด สัตว์มีพิษและวิญญาณชั่วร้ายต่างๆ ทั้งสี่สำนักจึงไม่แม้แต่จะมองมัน และโยนไปให้ภูเขาเทียนหยินโดยตรง เจ้าคิดว่าตอนนี้ภูเขาเทียนหยินมีทัศนคติต่อทั้งสี่สำนักอย่างไร"

ดวงตาของฉู่เสวียนเป็นประกาย  ห้านิกายสายธรรมต่างก็มีส่วนร่วมในการทำลายล้างนิกายอู๋จี๋ แต่เมื่อริบของมาได้กลับถูกแบ่งอย่างไม่เท่าเทียมกัน

นิกายเสินกังนั้นแข็งแกร่งที่สุดจึงได้ครอบครองพื้นที่เยอะที่สุด

วัดจินหลง มีความแข็งแกร่งเป็นอันดับสอง แต่ได้รับเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น

ภูเขาเทียนหยินนั้นเลวร้ายที่สุด และทางตอนใต้ของแคว้นอู๋โจวนั้นเป็นดินแดนที่ไม่สามารถเอาทำประโยชน์อะไรได้เลยสำหรับพวกเขา ฉะนั้นภูเขาเทียนหยินจะต้องไม่พอใจเป็นแน่

ตอนนี้ ฉู่เสวียนพอจะเดาได้ว่าเป้าหมายของหวันอู๋อิงคืออะไร

หวันอู๋อิงหรี่ตาลงและพูดด้วยรอยยิ้ม "มันคือ ภูเขาเทียนหยิน!"

"ผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำสองคนจากภูเขาเทียนหยินเสียชีวิตลงในการต่อสู้ปิดล้อมนิกายอู๋จี๋ของเรา เราต้องใช้โอกาสนี้ในการเข้าหาพวกเขาและเอาดินแดนป่าทางตอนใต้ของแคว้นอู๋โจวคืนมาให้ได้ มันเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับเราที่จะร่วมมือกับภูเขาเทียนหยินในตอนนี้”

อู๋เถิงกล่าวออกมาด้วยความกังวล “แต่ท่านอาจารย์ ท้ายที่สุดแล้วพวกเราทุกคนก็เป็นผู้บำเพ็ญสายมาร แล้วภูเขาเทียนหยินจะยอมรับพวกเราหรือขอรับ?”

หวันอู๋อิงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ต้องมีบางคนที่ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว แต่แล้วไงล่ะ ข้าเชื่อว่าพวกเขาย่อมต้องการเทคนิคและวิชาต่างๆของนิกายอู๋จี๋ของเราอยู่แล้ว อีกอย่างพวกเขาก็ขาดแคลนคน พวกเขาย่อมต้องการผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณและช่วงสร้างรากฐานให้มาอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว?”

หลี่ซวนหมิงและคนอื่นๆ ต่างพยักหน้า

ผลประโยชน์อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว ใครล่ะจะไม่คว้ามันไว้?

ยิ่งไปกว่านั้น นิกายสายธรรมก็ไม่เหมือนกับนิกายสายมารอย่างนิกายอู๋จี๋ ที่ไม่ยอมจำนนง่ายๆ

ผู้บ่มเพาะแก่นปราณทองคำนั้นต้องทำการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานาน ต้องใช้เวลาอีกสี่ถึงห้าร้อยปีกว่าจะผลิตผู้บ่มเพาะแก่นปราณทองคำขึ้นมาได้หนึ่งคน แต่การที่พวกเขาร่วมมือกัน อีกฝ่ายก็จะได้ผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำเพิ่มขึ้นมาอีกคน ใครกันที่จะไม่เต็มใจเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตัวเองล่ะ ?

หนึ่งวันต่อมา...

กลุ่มคนที่นำโดยหวันอู๋อิงก็ได้เดินทางไปยังสาขาที่สองของภูเขาเทียนหยินที่อยู่ใกล้เคียง

...

สาขาที่สองของภูเขาเทียนหยินหรือที่รู้จักในชื่อห้องโถงเฟยซาน ตั้งอยู่ในเมืองจินโจว ทางทิศตะวันตกของแคว้นอู๋โจว

หลังจากที่นิกายอู๋จี๋ถูกทำลายลงไป ภูเขาเทียนหยินก็กล้าบุกเข้ามาอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นอู๋โจว แม้ว่าพื้นที่นี้จะมีวิญญาณชั่วร้าย ทั้งสัตว์มีพิษมากมายอย่าง งู แมลง หนู และมด ที่โผล่ออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยังมีสำนักเล็ก ๆ ในท้องถิ่นบางสำนักที่รวมตัวกันต่อต้านภูเขาเทียนหยิน ซึ่งถือว่าพวกเขาเจออุปสรรคมามากมาย แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา สาขาที่สองของภูเขาเทียนหยินก็ถูกตั้งขึ้นในอู๋โจวได้ในที่สุด

และตอนนี้หวันอู๋อิงก็ได้พาฉู่เสวียนและคนอื่นๆ ไปที่ "ห้องโถงเฟยซาน"

ห้องโถงเฟยซานสร้างขึ้นท่ามกลางภูเขาเขียวขจี ซึ่งมีต้นไซเปรสสีเขียวและต้นไผ่เติบโตอยู่แน่นขนัด

เมื่อมองแวบแรก ก็ให้ความรู้สึกสงบร่มเย็น และเป็นส่วนตัว แต่อันที่จริงนี่ถือว่ามีวิญญาณชั่วร้ายและสัตว์มีพิษอยู่รอบๆ

ถ้าไม่ใช่เพราะผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำของภูเขาเทียนหยินมาเปิดทาง คงไม่มีมนุษย์คนใดกล้าสร้างสาขาในสถานที่ดังกล่าว

เมื่อมองลงมาจากที่สูง ในห้องโถงเฟยซานแห่งนี้มีผู้บ่มเพาะอยู่ที่นี่ไม่มากนัก โดยพื้นฐานแล้ว ที่นี่มีผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณเพียงบางส่วนเท่านั้น ส่วนผู้บำเพ็ญที่อยู่ในช่วงสร้างฐานรากเกือบทั้งหมดก็กำลังทำการฝึกฝนอยู่  ดังนั้นการมาถึงของพวกเขา จึงทำให้ผู้บ่มเพาะทุกคนตกใจทันที

“ใครเป็นผู้รับผิดชอบที่นี่ ให้เขาออกมาหาข้าที” หวันอู๋อิงมองไปรอบ ๆ และพูดอย่างใจเย็น

หลังจากนั้นไม่นาน ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว

“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสคือ…” ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนรู้สึกกดดันจากรัศมีในตัวของหวันอู๋อิงที่แผ่ออกมา

เขาสามารถเดาได้อย่างรวดเร็วว่าผู้เฒ่าคนนี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำ  เขาจะกล้าไม่สนใจได้อย่างไร.. เขาโค้งคำนับด้วยท่าทางเคารพทันที  และเรียกหวันอู๋อิงว่าผู้อาวุโสทันที

“ข้า หวันอู๋อิง เป็นผู้บำเพ็ญแกนปราณทองคำ  ข้ากำลังจะมาบอกพวกเจ้าสำนักภูเขาเทียนหยินว่าข้ายินดีที่จะนำเชื้อสายถ้ำจีหยินของข้าไปสักการะที่สำนักภูเขาเทียนหยิน”

หวันอู๋อิงโบกมือแล้วกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

ผู้บ่มเพาะวัยกลางคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง

หวันอู๋อิง? ชื่อนี้คุ้นหูมาก

เดี๋ยวก่อน... ผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำ ของนิกายอู๋จี๋ที่นิกายเสินกังและวัดจินหลงร่วมมือกันเข้าจับกุมและสังหารเมื่อไม่กี่วันก่อน ก็มีชื่อว่าหวันอู๋อิงไม่ใช่หรือ?  เป็นไปได้ไหมว่าคนที่อยู่ข้างหน้าข้าคือผู้บำเพ็ญสายมารช่วงแก่นปราณทองคำของนิกายอู๋จี๋

ดวงตาของผู้บ่มเพาะวัยกลางคนเบิกกว้างขึ้นมาทันที

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด