ตอนที่ 51 ฉู่เสวียนศิษย์ของนิกายอู๋จี๋
ตอนที่ 51 ฉู่เสวียนศิษย์ของนิกายอู๋จี๋
หลิวเจิ้งสงเข้าไปช่วยพยุงอู๋เถิงให้ลุกขึ้นมา จากนั้นทั้งสี่คนเข้าไปในคฤหาสน์ด้วยกัน
ไม่นานหลังจากนั้นหลี่ซวนหมิงก็ค้นพบประตูลับที่ลงไปสู่ชั้นใต้ดินของคฤหาสน์ ทั้งสี่คนจึงเดินลงไปจนสุดทาง
และในที่สุดพวกเขาก็มาถึงคุกใต้ดินขนาดใหญ่ใต้คฤหาสน์ ที่นี้ถูกปูด้วยหินสีเข้ม บรรยากาศเต็มไปด้วยพลังของปราณปีศาจซึ่งมันย่อมส่งผลต่อผู้บ่มเพาะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้แน่นอน แต่สำหรับผู้บำเพ็ญสายมารอย่างฉู่เสวียนแล้ว ที่นี่เหมือนกับอยู่ในสวรรค์
ใจกลางคุกใต้ดิน มีร่างหนึ่งนั่งอยู่กับพื้นอย่างเหี่ยวเฉา ร่างกายของเขาดูผอมแห้งและซีดเซียว เมื่อมองแวบแรกเขาดูราวกับศพที่เดินได้อย่างไรอย่างนั้น
ทั้งที่ได้ยินเสียงฝีเท้าของฉู่เสวียนและอีกสามคนที่เดินเข้ามา ร่างนั้นกลับไม่ตอบสนองเลย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดขึ้นมาโดยไม่เงยหน้าขึ้นว่า "อีกแล้วหรือ? คราวนี้พวกเจ้าจะเอาเลือดของข้าไปเท่าไหร่ล่ะ?"
หลิวเจิ้งสงตอบด้วยความตื่นเต้นว่า "อาจารย์! ข้าเอง! เจิ้งสง!"
ชายชราตกตะลึงและทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะเห็นว่าเป็นหลิวเจิ้งสง และตามมาด้วยฉู่เสวียน, หลี่ซวนหมิงและอู๋เถิงที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวเจิ้งสง
ซึ่งก็ทำให้ฉู่เสวียนได้เห็นใบหน้าของหวันอู๋อิงได้อย่างชัดเจน บรรพบุรุษแก่นปราณทองคำผู้นี้ เดิมทีเป็นคนที่แข็งแกร่งและมีจิตใจสูง ทว่าตอนนี้เขากลับดูเหมือนโครงกระดูกเดินได้ เบ้าตาของเขาจมลึกเข้าไปจนโหนกแก้มโดดเด่นขึ้นมา เขาคงถูกนิกายเสินกังทรมานมานานแล้วจริงๆ
“เจิ้งสง…” หวันอู๋อิงเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ฉู่เสวียน, หลี่ซวนหมิงและอู๋เถิงต่างโค้งคำนับต่อหวันอู๋อิง "ศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับบรรพบุรุษหวันอู๋อิงอีกครั้ง!"
หวันอู๋อิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา "อะไรมันจะสมบูรณ์แบบเช่นนี้ ! ข้าไม่เคยคิดเลยว่าข้า หวันอู๋อิงจะยังมีโอกาสที่จะได้ออกไปจากที่นี่! เอาล่ะ ดีๆ! พวกเจ้าทุกคนถือว่าเป็นศิษย์ที่ดีของนิกายข้าจริงๆ!
" ท่านอาจารย์ พวกเราได้ทำลายค่ายกลไปหมดแล้ว พวกเรามาช่วยท่านออกไป!”
ธงค่ายกลทั้งหมดถูกฝังไว้รอบๆคฤหาสน์เท่านั้น แต่ภายในคฤหาสน์และคุกใต้ดินแห่งนี้ไม่มีค่ายกลติดตั้งอยู่แม้แต่น้อย ซึ่งคาดว่าโม่หวนซาน ผู้นำของนิกายเสินกังคงไม่คิดว่าจะมีใครสามารถบุกเข้ามาในคฤหาสน์หยุนอู๋และทำลายแนวป้องกันด้านนอก สังหารผู้บ่มเพาะที่คุ้มกัน จนเข้ามาถึงคุกใต้ดินแห่งนี้ได้ เพื่อมาช่วยหวันอู๋อิงออกไป จึงส่งผลให้มีการติดตั้งค่ายกลแค่รอบนอกเท่านั้น เมื่อค่ายกลถูกทำลายลง ทั้งสี่คนก็สามารถเข้ามาช่วยหวันอู๋อิงได้
หลิวเจิ้งสงรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อพยุงหวันอู๋อิงให้ลุกขึ้น
หลี่ซวนหมิงหยิบขวดยาอายุวัฒนะออกมาแล้วยื่นไปให้ “บรรพบุรุษ ท่านดื่มยานี้เข้าไปก่อนเถิดขอรับ ตอนนี้การรักษาร่างกายท่านเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด”
ฉู่เสวียนก็หยิบลูกปัดโลหิตขนาดใหญ่ออกมาแล้วยื่นให้เช่นกัน
หวันอู๋อิงมีความสุขมาก เขารีบดื่มยาอายุวัฒนะลงไปและดูซับลูกปัดโลหิตเม็ดใหญ่ไปจนหมด
จากนั้นไม่นานร่างกายที่ผอมแห้งและซีดเซียวของเขาก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาทันที ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ราวกลับลูกโป่งเหี่ยวๆที่พองลมขึ้นมาอีกครั้ง
ในชั่วพริบตา ใบหน้าไร้เงาก็ดูเต่งตึงและมีน้ำมีนวลขึ้นมาอีกครั้ง เขาดูมีออร่าของผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำขึ้นมาทันที
"ดี ขอบใจมาก! ข้ารู้จักเจ้า เจ้าคือหลี่ซวนหมิง ลูกศิษย์ส่วนตัวของบรรพบุรุษลำดับที่ 1 เขามักจะพูดถึงเจ้ากับข้าเสมอว่าเจ้ามีพรสวรรค์ และสามารถทะลวงผ่านมาอยู่ในช่วงแก่นปราณทองคำได้ หลังจากที่ข้าได้เห็นเจ้าวันนี้ ไม่เพียงแต่เจ้ามีคุณสมบัติและทรงพลังเท่านั้น แต่รูปลักษณ์ของเจ้าก็โดดเด่นไม่น้อย!” หวันอู๋อิงหัวเราะออกมา มือใหญ่ของเขาตบไหล่ของหลี่ซวนหมิงเบา ๆ บรรพบุรุษดูจะพอใจกับหลี่ซวนหมิงเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้โม่หวนซานจะต้องรู้แล้วว่ามีคนมาชิงตัวข้าออกจากคุก รีบออกไปกันเถอะ เราค่อยพูดคุยกันระหว่างทางก็ได้” หวันอู๋อิงพูดออกมาอย่างจริงจัง
“ขอรับ” ฉู่เสวียนและคนอื่นๆ ตอบรับอย่างเคร่งขรึม
“แล้วท่านอาจารย์จะไปที่ไหนหรือขอรับ? หรือว่าท่านมีเป้าหมายอยู่แล้ว?” หลิวเจิ้งสงถามออกมาด้วยความสงสัย
หวันอู๋อิงหัวเราะแปลกๆ "ตอนนั้นข้าคิดไว้แล้วว่าข้าจะไปที่ไหน เพียงแต่ระหว่างทางข้าถูกรายล้อมไปด้วยผู้บ่มเพาะจากสำนักเสินกังและวัดจินหลง ตามข้ามา"
พูดจบเขาก็ห่อหุ้มคนทั้งสี่ด้วยพลังวิญญาณทันที และบินไปทางทิศใต้
เมื่อผ่านเทือกเขาหยุนอู๋ พวกเขาก็แวะพาสวีหมิงและคนอื่นๆ อีกสองสามคนไปด้วย
หวันอู๋อิงเป็นผู้บำเพ็ญช่วงแก่นปราณทองคำ อาวุธเวทย์มนตร์ที่เขาใช้นั้นจึงมีพลังมากกว่าอาวุธเวทย์มนตร์ที่ผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณและช่วงสร้างรากฐานใช้
ทว่าอาวุธเวทย์มนตร์ของหวันอู๋อิงนั้นถูกยึดไปแล้ว
ตอนนี้เขาจึงใช้ได้แค่พลังของผู้บำเพ็ญแก่นปราณทองคำเพื่อควบคุมพลังงานของเขาเท่านั้น
แม้ว่าเขาจะเพิ่งพาแค่พลังวิญญาณของเขา ไม่มีอุปกรณ์ใดๆ แต่เขาก็ยังคงพาทุกคนเดินทางออกไปได้รวดเร็วอยู่ดี
ในชั่วพริบตา พวกเขาก็ข้ามเทือกเขาหยุนอู๋ และมาถึงชายแดนของแคว้นอู๋โจว
หลังจากมาถึงแคว้นอู๋โจวแล้ว หวันอู๋อิงก็มุ่งหน้าลงทางใต้อย่างไรรีรอ
เขาเดินทางออกไปอย่างไม่หยุดหย่อน จนมาเจอเมืองมนุษย์ที่อยู่ตรงหน้าในระยะไกล
และพบหุบเขาใกล้ ๆ ที่อุดมไปด้วยพลังวิญญาณ จึงได้ตัดสินใจลงจอดที่นั่น
“พักอยู่ที่นี่ก่อน” หลังจากที่หวันอู๋อิงกล่าวออกมา เขาก็นั่งขัดสมาธิทันที และดูดซับพลังวิญญาณของผืนป่าแห่งนี้เข้าไป
ฉู่เสวียนรู้เพียงว่าทางใต้ของแคว้นตงโจวคือแคว้นอู๋โจว แต่เขาไม่รู้มากนักเกี่ยวกับภูมิประเทศของแคว้นอู๋โจวแห่งนี้ และตอนนี้ คงจะมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ก็คือติดตามหวันอู๋อิง
อย่างไรก็ตาม หวันอู๋อิงก็เป็นถึงบรรพบุรุษแก่นปราณทองคำ หากว่าอยู่ภายใต้ร่มเงาของเขา ก็จะรู้สึกสบายใจมากกว่าอยู่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว
ในตอนที่ทุกคนพัก ฉู่เสวียนก็เลือกที่จะเดินไปสำรวจรอบๆหุบเขาทันที มีการติดตั้งค่ายกลหินไว้ที่ทางเข้าและทางออกของหุบเขาแต่ละแห่งอย่างระมัดระวัง ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าจะมีคนเข้ามาใกล้หุบเขา พวกเขาก็จะรู้ได้ทันที
เมื่อเขากลับมาหาหวันอู๋อิง เขาก็พบว่าหวันอู๋อิงตื่นขึ้นมาแล้ว และกำลังคุยอยู่กับหลิวเจิ้งสง หลี่ซวนหมิง และอู๋เถิงอยู่ “...ซวนหมิง ที่คฤหาสน์หยุนอู๋มีชายหัวล้านศิษย์ของวัดจินหลงเฝ้าอยู่ เขาได้ใช้วิญญาณชั่วร้ายเพื่อลับอาวุธเวทมนตร์ของตนเอง ชายหัวล้านคนนั้นดูแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก เขามีค่ายกลปราบปรามปีศาจอยู่ในมือด้วย แล้วเจ้าเอาชนะเขาได้อย่างไร?”
เมื่อเขามีเวลาว่าง หวันอู๋อิงจึงมองไปที่หลี่ซวนหมิงด้วยความสงสัยแล้วถามขึ้นมา
หลี่ซวนหมิงยิ้มออกมาช้าและมองไปที่ฉู่เสวียนที่เพิ่งกลับมา "ข้าขอพูดตามตรง มันไม่ใช่ข้าหรอกที่เก่งกว่าฮุยคง แต่เป็นศิษย์น้องฉู่ต่างหาก"
หลิวเจิ้งสงยังกล่าวด้วยความเคารพอีกว่า "ท่านอาจารย์ ฮุยคงคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก เขารอจนเราใช้พลังวิญญาณออกมาเกือบจะหมดก่อน จึงจะปรากฏตัวขึ้นมา พวกเราทั้งสามพ่ายแพ้ต่อฮุยคงจนเกือบตาย แต่ในตอนที่เรากำลังจนมุม ศิษย์น้องฉู่ที่รอโอกาสมานานก็ได้โจมตีออกมาอย่างดุเดือด และฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็ว!”
อู๋เถิงยังพูดออกมาอีกว่า "บรรพบุรุษ ฮุยคงนั้นมีพลังมาก เขาสามารถฆ่าข้าได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ใช่เพราะการโจมตีอันดุเดือดของศิษย์น้องฉู่ ข้าคงจะตายไปแล้ว และแผนการช่วยเหลือครั้งนี้คงจะล้มเหลว จะต้องเกิดปัญหาใหญ่ตามมาอีกมากมาย"
สายตาของหวันอู๋อิงจ้องมองไปที่ฉู่เสวียนที่ดูจะอายุน้อยที่สุด และเขาก็ต้องรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งขึ้น
เขาเคยเห็นหลี่ซวนหมิงมานานแล้ว ส่วนหลิวเจิ้งสงก็เป็นลูกศิษย์ที่เขาฝึกฝนมาหลายปี
ส่วนอู๋เถิงนั้นเขาก็รู้จักดี เพราะชายคนนี้คือสายลับของนิกายอู๋จี๋ที่แผงตัวเข้าไปอยู่ในนิกายเสินกังมานานแล้ว
แต่ชายหนุ่มคนนี้มีใบหน้าที่หล่อเหลามาก..และชายคนนี้ใช่ไหมที่สามารถฆ่าฮุยคงได้?
ฉู่เสวียนก้มหัวลง แล้วพูดด้วยความเคารพว่า “ข้าฉู่เสวียน ศิษย์ของนิกายอู๋จี๋ ข้ารู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับบรรพบุรุษ”
“ฉู่เสวียน?” หวันอู๋อิงท่องชื่อนี้ขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
หลิวเจิ้งสงจึงแนะนำออกมาว่า "ท่านอาจารย์ เมื่อนิกายถูกทำลาย ศิษย์น้องฉู่ยังเป็นผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณเท่านั้น เขาเติบโตขึ้นมาในช่วงที่นิกายถูกทำลายและเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานได้ในที่สุด"
หวันอู๋อิงรู้สึกสับสน "ก็แสดงว่าตอนที่นิกายถูกทำลาย ฉู่เสวียน เจ้าคงจะอยู่ในช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 8 หรือ 9 เป็นอย่างน้อยใช่หรือไม่ "
ฉู่เสวียนกล่าวด้วยความเคารพ "ในเวลานั้น ข้าเป็นเพียงผู้บำเพ็ญช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 เท่านั้นขอรับ แต่หลังจากที่นิกายถูกทำลายลง ดูเหมือนว่าข้าจะค้นพบกับความลับบางอย่าง จึงทำให้ความเร็วในการฝึกฝนของข้าเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ข้าก็โชคดีนิดหน่อยเนื่องจากว่าได้รับลูกปัดโลหิตมามากมาย จนทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานได้ในที่สุด”
หวันอู๋อิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เขากลับฝึกฝนจากช่วงกลั่นลมปราณขั้นที่ 4 ไปสู่ช่วงสร้างรากฐาน อีกอย่างหลี่ซวนหมิงและอีกสองคนยังยอมรับเป็นการส่วนตัวด้วยว่าฉู่เสวียนเป็นคนฆ่าศิษย์ของวัดจินหลง ซึ่งหากฉู่เสวียนไม่ลงมือ เกรงว่าแผนการช่วยเหลือในครั้งนี้จะต้องล้มเหลว!