บทที่ 92 การต่อสู้ระหว่างมังกรและพยัคฆ์กับความสงบเงียบของกาลเวลา
จากมุมมองของเล่ยจวิน เขาเชื่อว่าเฉินอี้ไม่ได้เป็นสายลับของลัทธิสายน้ำเลือดที่ถูกส่งมาสอดแนมในสำนักเทียนซือ
ครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นเฉินอี้ใช้พลังดาบสายเลือดช่วยต่อสู้กับศิษย์ลัทธิอสูรเหลืองฟ้า
จากท่าทางและการกระทำของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าเฉินอี้จะเก็บความลับของวิชาสายเลือดนี้ไว้เพื่อใช้เป็นอาวุธลับเสริมพลังตนเองในยามต่อสู้
ด้วยเหตุนี้เองเฉินอี้จึงเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
อีกด้านหนึ่งในโลกนี้แต่ละสำนักต่างยึดมั่นในหลักการที่ว่าการฝึกวิชาต้องไม่ฝืนธรรมชาติของตนเอง อีกทั้งลัทธิสายน้ำเลือดยังมีชื่อเสียงไม่ดีสำหรับเฉินอี้การที่เขาฝึกวิชาสายเลือดนี้จึงยิ่งต้องปิดบังมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อเล่ยจวินเห็นเฉินอี้ฝึกวิชาสายเลือดเขาจึงไม่ได้เปิดเผยความลับนี้
สิ่งที่เล่ยจวินสนใจมากกว่าคือเฉินอี้ฝึกวิชาสายเลือดได้อย่างไร
ในโลกนี้การฝึกวิชาที่ไม่ตรงกับรากฐานเต๋าของตัวเองไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อการบำเพ็ญตนแต่ยังอาจทำให้พลังวิชาไม่สมบูรณ์หรือในกรณีร้ายแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิต
ดังนั้นเฉินอี้ต้องมีอะไรบางอย่างที่พิเศษ
แต่โชคของเขากลับไม่ดีนัก
เฉินอี้ในฐานะศิษย์เอกของผู้อาวุโสเหยาหยางและยังเป็นศิษย์รุ่นเดียวกับเล่ยจวินที่ได้รับความสนใจจากผู้ใหญ่ในสำนักเทียนซือมาก แม้ว่าเขาจะถูกจับได้ว่าแอบฝึกวิชาสายเลือดก็ไม่น่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงมากนัก
อย่างน้อยเขาน่าจะถูกจับขังไว้เพื่อรอคำตัดสินจากอาจารย์ของเขาผู้อาวุโสเหยาหยางเมื่อกลับมาที่ภูเขา
แต่โชคชะตากลับเล่นตลก
ไม่นานมานี้ลัทธิสายน้ำเลือดก็ได้สร้างความปั่นป่วนขึ้นในเขตภูเขาหลงหูทำให้เฉินอี้ไม่อาจอธิบายได้
เดิมทีเขาระมัดระวังตัวอย่างมากเพื่อเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ
แต่เมื่อหลี่เจิ้งเสวียนนำดาบเทียนซือออกจากภูเขาไป ทำให้ศัตรูจากภายนอกมารวมตัวกันอีกครั้งและบุกเข้ามาในภูเขา
แม้ว่าสำนักเทียนซือจะยังควบคุมสถานการณ์ได้ แต่สำหรับคนบางคนกลับต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
ในยามฉุกเฉินแม้จะมีศิษย์ในสำนักอยู่รอบๆเฉินอี้ก็จำเป็นต้องใช้พลังลับของตนเองในการต่อสู้
และความลับนั้นก็ถูกเปิดเผย
“คิดไม่ถึงเลยว่า...ศิษย์น้องเฉินอี้จะซ่อนความลับนี้ไว้”หวังกุยหยวนกล่าวด้วยความแปลกใจ
ศิษย์คนอื่นๆที่อยู่ข้างๆก็ดูสับสนเช่นกัน
“ได้ยินมาว่าเขามีความสามารถไม่ธรรมดาถึงขั้นบรรลุการวางรากฐานขั้นสมบูรณ์ แต่ศิษย์พี่น้องคนอื่นๆที่อยู่ในระดับเดียวกันกลับไม่อาจต่อกรกับเขาได้ เขาสังหารหลายคนที่ปากน้ำจินเชวี่ยซีแล้วหนีไป ต่อให้ฝึกวิชาสายเลือดก็ไม่น่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ใช่ไหม?”
ตามเหตุผลแล้วการฝึกวิชาที่ไม่สอดคล้องกับรากฐานเต๋าน่าจะส่งผลกระทบต่อพลังของผู้บำเพ็ญ
การฝึกวิชาสายเลือดอาจจะเป็นเพียงความลับเล็กๆของเฉินอี้เท่านั้นแต่อาจมีความลับที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นซ่อนอยู่...เล่ยจวินครุ่นคิด
วิชาสายเลือดที่เฉินอี้ใช้นั้นถูกปิดบังไว้อย่างดีน่าจะมีบางอย่างช่วยให้เขาซ่อนมันไว้ได้
แต่คำถามคือความลับใหญ่นี้ถูกซ่อนจากอาจารย์ของเขาผู้อาวุโสเหยาหยางหรือไม่?
ตอนนี้เล่ยจวินก็เข้าใจความหมายของเซียมซีระดับกลางที่เกี่ยวข้องกับชะตาชีวิตที่ปากน้ำจินเชวี่ยซีมากขึ้นแล้ว
หากเขาไปยังปากน้ำจินเชวี่ยซีอาจจะพบเห็นเหตุการณ์ที่เฉินอี้ใช้วิชาสายเลือดหรืออาจถูกเรียกตัวให้ไปไล่ล่าเฉินอี้ก็ได้
ตามเหตุผลแม้ว่าเฉินอี้จะมีมากกว่าวิชาสายเลือดเป็นไพ่ลับเขาก็ยังเป็นเพียงผู้บำเพ็ญในระดับวางรากฐานขั้นสองชั้นฟ้าเท่านั้น
เล่ยจวินซึ่งมีพลังสูงกว่ามากน่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้
แต่เมื่อพิจารณาจากเซียมซีแล้วกลับมีโอกาสที่เขาอาจต้องเปิดเผยไพ่ลับอื่นๆเช่นธงซือหย่างที่เขามีอยู่
ดังนั้นการคาดการณ์ที่สมเหตุสมผลคืออาจมีผู้แข็งแกร่งคนอื่นมาช่วยเหลือเฉินอี้หรือความลับใหญ่ของเฉินอี้นั้นทรงพลังอย่างยิ่ง
สำหรับโอกาสระดับหกที่กล่าวถึงในเซียมซีน่าจะได้จากการที่เล่ยจวินต่อสู้เต็มที่ซึ่งหากเขาปล่อยโอกาสไปก็จะไม่ได้รับมัน
โอกาสนี้อาจไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
แต่เป็นสิ่งที่เล่ยจวินอาจได้จากการต่อสู้กับเฉินอี้
เมื่อดูจากระดับของโอกาสนี้น่าจะไม่ใช่ความลับที่ใหญ่ที่สุดของเฉินอี้
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเล่ยจวินก็เลือกเส้นทางของเซียมซีระดับสูงปานกลางไปยังเขตต้องห้ามสุสานบรรพชน
ทั้งสองฝ่ายจึงพลาดกันไป
แม้ว่าสำนักเทียนซือจะออกคำสั่งให้ล่าตัวเฉินอี้และกำจัดเขาเหมือนกับเหล่าผู้ทรยศจากลัทธิอสูรเหลืองฟ้า แต่จะมีโอกาสให้เล่ยจวินพบกับเขาอีกหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
“เฉินอี้เป็นสายลับของลัทธิสายน้ำเลือดจริงหรือ?หรือว่าเขาจะหันไปเข้ากับลัทธิเหลืองฟ้า?”มีคนถามขึ้น
ทุกคนต่างหันมองหน้ากันไม่มีใครรู้คำตอบ
เหตุการณ์ที่ปากน้ำจินเชวี่ยซีครั้งนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะทำให้ศิษย์สำนักเทียนซือหลายคนบาดเจ็บล้มตาย
แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้นมันกลับดูเล็กน้อย
เหตุผลแรกเพราะลัทธิอสูรเหลืองฟ้าเคยก่อเรื่องทรยศเช่นนี้มาก่อนศิษย์ในสำนักต่างคุ้นเคยกับการที่มีสายลับอยู่แล้ว
เหตุผลที่สองการต่อสู้ครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตมากมายและสิ่งที่ทุกคนให้ความสนใจมากกว่าคือเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับตราประทับเทียนซือ
ตอนนี้ข่าวเริ่มแพร่กระจายไปถึงศิษย์รุ่นเยาว์ในสำนักแล้ว
หนึ่งในสามสมบัติล้ำค่าของสำนักเทียนซืออย่างตราประทับเทียนซือทำให้ทุกคนตื่นตัว
ข่าวล่าสุดที่ส่งกลับมาแจ้งว่าบริเวณยอดเขาชิงเทียนและภูเขาใกล้เคียงเกือบถูกทำลายจนราบเรียบ
มีข่าวลือว่าหลี่เจิ้งเสวียนและหลี่จื่อหยางเริ่มได้เปรียบในการต่อสู้กับหลงเจียผู้อาวุโสใหญ่แห่งวัดจินกัง
มีความหวังว่าหลี่เจิ้งเสวียนอาจสามารถนำตราประทับเทียนซือกลับมาได้
แต่ขณะเดียวกันหลี่ซงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเทียนซือ ก็กำลังต่อสู้กับอวี้ชิงหลิ่งผู้อาวุโสของลัทธิเหลืองฟ้าที่กำลังเคลื่อนไหวเข้าใกล้ยอดเขาชิงเทียน
แม้ว่าทั้งสองจะมีพลังที่ทัดเทียมกัน แต่อวี้ชิงหลิ่งมีแนวทางเชิงรุกส่วนหลี่ซงทำหน้าที่ป้องกันจึงทำให้หลี่ซงตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากเล็กน้อย
และด้วยการแทรกแซงของอวี้ชิงหลิ่งทำให้หลี่เจิ้งเสวียนพลาดโอกาสที่จะคว้าตราประทับเทียนซือที่แทบจะได้อยู่ในมือไป
เมื่อผู้คนจำนวนมากมายต่างเข้าร่วมการต่อสู้สถานการณ์ก็ยิ่งยุ่งเหยิง
ตอนนี้ยอดเขาชิงเทียนกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่อาจให้ใครเข้าใกล้ได้
ข่าวคราวจากบริเวณนั้นแทบจะขาดหายไปแล้ว
แต่ศิษย์สำนักเทียนซือที่ยังอยู่บนภูเขาหลงหูต่างกังวลอย่างมาก
ทว่าศิษย์พี่น้องของเล่ยจวินกลับเป็นข้อยกเว้นที่หาได้ยาก
“การต่อสู้ครั้งนี้อันตรายไม่รู้ว่าจะมีใครต้องจบชีวิตเพราะมันไหม”หวังกุยหยวนกล่าวด้วยความรู้สึก
เล่ยจวินยังคงสงบอยู่แต่หวังกุยหยวนดูสงบยิ่งกว่าและเขากล่าวเพิ่มเติมด้วยความรู้สึกว่า
“การบำเพ็ญตนเป็นเรื่องที่ยากอยู่แล้วการต่อสู้แย่งชิงกันยิ่งทำให้เสี่ยงภัยเข้าไปอีก”
เล่ยจวินตอบ
“ตราประทับเทียนซือเป็นเรื่องใหญ่จะโทษศิษย์พี่พวกนั้นที่ให้ความสำคัญกับมันก็ไม่ได้”
หวังกุยหยวนพยักหน้าก่อนจะส่ายหน้า
“ก็จริงอยู่แต่หลายครั้งคนเราก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อสิ่งสำคัญขนาดนั้น แต่ยังจะสู้จนถึงตายเพื่อแย่งชิงชัยชนะอย่างไร้ความหมายทำไมต้องทำเช่นนั้น?”
เล่ยจวิน
“...ใช่ศิษย์พี่พูดถูก”
ไม่ว่าภายนอกจะต่อสู้กันดุเดือดเพียงใดก็ไม่ได้ส่งผลต่อความสงบสุขในเขตสุสานบรรพชนภูเขาหลัง
แต่คนที่ทำลายความสงบนั้นกลับเป็นผู้อาวุโสซินผู้รับผิดชอบที่นี่
“สถานการณ์ซับซ้อนมากพวกเราที่เฝ้าอยู่ในเขตสุสานต้องระวังให้ดี”ผู้อาวุโสซินกล่าว
“ข้าจะตั้งแท่นพิธีเสริมการป้องกันของเขตต้องห้ามให้แข็งแกร่งขึ้นพวกเจ้าทั้งแปดคนแบ่งกันไปเฝ้าประตูทั้งแปดจุด จุดธูปและตั้งตะเกียง”
ศิษย์ทั้งหลายต่างรับคำสั่งและนำอุปกรณ์ไปตามจุดที่กำหนดโดยแบ่งไปตามประตู ตู จิ่ง ซือ จิง ข่ายซิ่ว เซิง และซาง
เล่ยจวินไปยังประตูตูและทำตามคำแนะนำของผู้อาวุโสซินโดยการจัดวางดาบวิเศษตะเกียงธูปและยันต์
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้วเขาก็มองไปยังทิศทางของยอดเขาชิงเทียนอีกครั้ง
เซียมซีระดับสูงปานกลางบอกให้รอคอยโอกาส
ตอนนี้เขาได้รับโอกาสในการอยู่คนเดียวแล้วโอกาสนั้นกำลังจะมาถึงหรือยังนะ...เล่ยจวินคิดในใจ
เขาหันกลับมาและเห็นแสงเรืองรองจากหุบเขาภูเขาหลังที่อยู่ไกลออกไป
แสงนั้นเคลื่อนตัวไปราวกับดาวที่ส่องสว่างในท้องฟ้าแม้ในยามกลางวันเปล่งประกายเจิดจ้าดุจดวงดาวราวกับมหาสมุทรแห่งดวงดาวที่สวยงามล้ำลึก
ท่ามกลาง“ดวงดาว”เหล่านั้นปรากฏร่างของผู้บำเพ็ญในชุดสีแดงเข้มกำลังเดินลอยอยู่บนอากาศแสงดาวเคลื่อนตามไปตามพลังของเขา
นั่นคือวิชาลับแท้ของสำนักเทียนซือชื่อว่าเหยียบดาวเหยียบฟ้า
คล้ายกับที่เหล่าศิษย์ระดับล่างในสำนักเทียนซือเลือกใช้ยันต์วิชาประจำตัว เช่นยันต์ทองคำ ยันต์สายฟ้า ยันต์ขี่ลมและยันต์ปัดเป่า
ในระดับกลางผู้บำเพ็ญในสำนักเทียนซือต่างเลือกใช้วิชาประจำตัวที่นิยมกันหนึ่งในนั้นก็คือเหยียบดาวเหยียบฟ้า
ตอนนี้ผู้อาวุโสซินมีแสงดาวรายล้อมอยู่เหนือศีรษะและยังมียันต์วิญญาณเคลื่อนไหวไปมาสร้างแท่นพิธีสามชั้น
จากนั้นยันต์จำนวนมากก็เริ่มกระจายออกไปเรื่อยๆจนสร้างสนามพิธีที่สมบูรณ์
นี่ไม่ใช่สนามพิธีที่เกิดจากการสร้างพลังในร่างกายแต่เป็นสนามพิธีที่เกิดจากยันต์จริงๆในโลกแห่งความจริง
นี่คือพลังล้ำลึกของผู้บำเพ็ญสายยันต์ที่บรรลุระดับห้าชั้นฟ้า
เรียกว่า“ค่ายกลสนามพิธี”
ไม่จำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งของเพิ่มเติมผู้บำเพ็ญในระดับนี้สามารถสร้างสนามพิธีได้จากที่ที่พวกเขายืนอยู่
ผู้อาวุโสซินให้เล่ยจวินและหวังกุยหยวนจัดวางอุปกรณ์เสริมต่างๆเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับสนามพิธีด้วยความรอบคอบ
หลังจากทุกอย่างถูกจัดเตรียมเรียบร้อยแล้วซินผู้อาวุโสก็นั่งสมาธิบนแท่นพิธีที่สร้างจากยันต์สามชั้นและเข้าสู่การทำสมาธิ
เล่ยจวินและคนอื่นๆก็ทำเช่นเดียวกัน
แต่หลังจากที่นั่งได้สักพักเล่ยจวินก็สังเกตเห็นว่ารอยตราตราประทับเทียนซือทั้งสองของเขากำลังเกิดการเคลื่อนไหวบางอย่าง
เขามองไปยังทิศทางของซินผู้อาวุโส
แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเลย
เล่ยจวินรอดูสักพักและเห็นว่าซินผู้อาวุโสและคนอื่นๆก็ยังคงสงบอยู่
ด้วยลางสังหรณ์ที่ดีเล่ยจวินมองไปรอบๆเขตสุสานบรรพชนและคาดว่าสภาพแวดล้อมที่นี่อาจช่วยให้เขาปกปิดไม่ให้คนอื่นรับรู้ได้
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลองอีกครั้ง
รอยตราประทับเทียนซือทั้งสองของเขาเปิดทางไปยังถ้ำสวรรค์แท่นบูชาแท้จริง
ผู้อาวุโสซินและคนอื่นๆยังไม่รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เล่ยจวินจึงวางใจและปล่อยจิตวิญญาณของตนออกจากร่างเข้าสู่ถ้ำสวรรค์แท่นบูชาแท้จริง
แต่ครั้งนี้เมื่อเขาเข้ามายังถ้ำสวรรค์ก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง
มีใครบางคนกำลังพยายามเปิดประตูอีกทางหนึ่งเข้ามา
และครั้งนี้ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำสำเร็จ!
เล่ยจวินมองขึ้นไปก็เห็นแสงสว่างจ้าเกิดขึ้นเหนือถ้ำสวรรค์
ท่ามกลางแสงนั้นปรากฏกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง
ตรงกลางกระดาษมีรอยตราปรากฏอยู่
เป็นรอยตราตราประทับเทียนซือ
รอยตรานั้นคล้ายกับประตูที่เชื่อมถ้ำสวรรค์แท่นบูชาแท้จริงกับโลกภายนอกและประตูกำลังจะถูกเปิดออก
มีความรู้สึกบางอย่างคล้ายกับปรัชญาขงจื๊ออาจเป็นฝีมือของชู่หยูและตระกูลชู่?
ในหัวของเล่ยจวินมีสองทางเลือกผุดขึ้นมาระหว่างจะถอนจิตวิญญาณออกจากถ้ำสวรรค์หรือจะพยายามปิดประตูนั้น
แต่ก่อนที่เขาจะทำอะไรได้กระดาษขาวที่มีรอยตรานั้นก็สั่นไหวเล็กน้อย
จากนั้นแสงสว่างบนกระดาษก็ค่อยๆจางหายไปและกระดาษก็ร่วงลงมาอย่างไร้เรี่ยวแรง
กระดาษแผ่นนั้นไม่สามารถกลายเป็นประตูได้
ช่องทางที่พยายามเปิดด้วยกระดาษขาวก็หายไปเช่นกัน
ตอนนี้ในถ้ำสวรรค์แท่นบูชาแท้จริงเหลือเพียงเล่ยจวินคนเดียว
“นี่มันอะไรกัน?”
เล่ยจวินงุนงงมองดูแผ่นกระดาษที่ค่อยๆร่วงลงมาหาเขา
(จบบท)
อาจจะมีแปลแปลกๆก็ขออภัยนะคะ ไม่ค่อยสบาย อาจจะมีผิดพลาด