บทที่ 9 มีคนขวางทาง
ในช่วงปีแรก ๆ ทะเบียนบ้านในเมืองมีค่ามาก หลายคนยอมทำทุกอย่างที่ทำได้ ขอแค่ให้มีทะเบียนบ้านอยู่ในเมือง หากมีทะเบียนบ้านอยู่ในเมือง ไม่เพียงไม่ต้องไปทำไร่ไถนาแล้ว แต่ยังได้รับบัตรอาหารอีกด้วย
แม้ว่านโยบายนี้จะถูกยกเลิกไปแล้ว แต่แนวคิดบางอย่างก็ยังมีอยู่ ตัวอย่างเช่น ชาวเมืองดูถูกคนในชนบท ในขณะที่คนในชนบทก็รู้สึกอิจฉาคนในเมือง
ที่จริงแล้วพ่อแม่ของจัวเซ่าก็อิจฉาคนในเมืองมาก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เงินหนึ่งหมื่นหยวนซื้อทะเบียนบ้านในเมืองให้กับจัวเซ่า เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการศึกษาและทำให้อนาคตของจัวเซ่าไม่ต้องทำไร่ไถนา
แต่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คนยากจนในบางเมืองจะอิจฉาคนในชนบทที่มีไร่นาและบ้านสวน แต่ในเวลานี้คนเมืองมักจะดูถูกคนชนบท ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ค่อยดีนัก ตอนนี้มีโรงงานไม่มาก คนในชนบทส่วนใหญ่ทำแต่เกษตรกรรม ไม่ได้หางานทำ และจะใช้เวลาอีกห้าหรือหกปีก่อนที่รัฐจะยกเลิกภาษีสินค้าเกษตรโดยสมบูรณ์
ผู้คนที่อยู่รอบ ๆ มักจะได้ยินชวีกุ้ยเซียงพูดถึงน้องชายของจัวหรงหมิง และมักคิดว่าเขาเป็นชาวนาที่ลำบาก แต่ตอนนี้…
“พ่อของผมมีรถบรรทุก สามารถหารายได้มากกว่าหนึ่งร้อยหยวนต่อวันจากการขนส่งสินค้า แม่ของผมก็มีงานทำ พวกเขาจะไม่มีเงินเก็บได้ยังไงกัน!” จัวเซ่าหลบไปด้านข้าง หลบการโจมตีที่ตามมาของชวีกุ้ยเซียงและกล่าวเสริมอีกครั้ง "สร้อยคอที่ป้าสวมอยู่ที่คอก็เป็นของแม่ผม!"
ชวีกุ้ยเซียงสวมสร้อยทองสวยงามอยู่ที่คอของเธอ อันที่จริงจัวเซ่าไม่รู้ว่าสร้อยคอเส้นนี้เป็นของแม่เขาหรือเปล่า เพราะถึงอย่างไรแม่ของเขาก็ไม่ชอบสวมเครื่องประดับ และเขาก็ไม่เคยสนใจมันมาก่อน
แต่เขารู้จักชวีกุ้ยเซียงดี
คนคนนี้ใจกว้างกับจัวเจียเป่าและจัวหรงหมิง แต่กับจัวเซ่า จัวถิง หรือแม้กระทั่งกับตัวเองกลับขี้งกมาก
ตัวอย่างเช่น หากเธอซื้อไก่ จัวเจียเป่าและจัวหรงหมิงจะได้กินขาไก่ ส่วนเธอกินเพียงหัวไก่และตีนไก่เสมอ และตั้งแต่จัวเซ่าและจัวถิงมาอยู่ที่นี่ พวกเขาจะได้กินเพียงน้ำซุปไก่เท่านั้น
คนแบบนี้ เธอทำใจซื้อสร้อยทองใส่เองไม่ลงแน่นอน
การแสดงออกของชวีกุ้ยเซียงผิดปกติเล็กน้อย
เธอพบสร้อยคอเส้นนี้ที่บ้านของจัวเซ่าจริง ๆ เธอชอบมันมาก และวางแผนจะใส่มันอีกสองสามปีหลังจากนี้ รอจนจัวเจียเป่าแต่งงาน จะให้เป็นทองหนึ่งในสามกับลูกสะใภ้ที่จะแต่งกับจัวเจียเป่า
“แก ไอ้เด็กสารเลว ฉันเลี้ยงแกมา แกยังกล้ามาพูดเรื่องไร้สาระอีกเหรอ!” ชวีกุ้ยเซียงแสดงอาการผิดปกติอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะด่าสาปแช่งด้วยความเกรี้ยวกราด และในขณะเดียวกันก็พยายามไล่ทำร้ายจัวเซ่า
จัวเซ่าสูงมาก เขาสูงกว่าหนึ่งเมตรเจ็ดสิบเซนติเมตรแล้ว และยังอยู่ในวัยกำลังโต แต่เพราะเขาขาดสารอาหารจึงผอมมาก กอปรกับใบหน้าของเด็กหนุ่ม…
บรรดาป้า ๆ ที่เคยช่วยชวีกุ้ยเซียงเอาเปรียบจัวเซ่าก่อนหน้านี้ก็เริ่มเห็นใจจัวเซ่าขึ้นมา
“กุ้ยเซียง เธอตีเด็กแบบนี้ได้ยังไง?”
“แค่กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เธอตีเขาทำไมกัน?”
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
……
สะใภ้สาวที่กำลังตั้งครรภ์คนหนึ่งที่เคยถูกชวีกุ้ยเซียงจ้องก่อนหน้านี้ คราวนี้หลังจากเดินไปที่ปลอดภัยข้าง ๆ เธอก็พูดขึ้นมาด้วยความดูถูก “ทั้งวันพูดแต่เรื่องบ้านตัวเองดีอย่างโน้นดีอย่างนี้ หาคู่ให้กับลูกชาย สุดท้ายก็ไม่ใช่เงินตัวเองสักบาท แค่เด็กกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปก็ตะโกนด่าเป็นวัน ๆ …ดีจริง ๆ ที่ไม่ได้แนะนำน้องสาวให้ลูกชายเธอ”
มีเสียงดังเอะอะมากมายเกิดขึ้นที่นี่ จากนั้นไม่นาน แม้แต่คนของคณะกรรมการที่อยู่อาศัยก็เข้ามา
ชวีกุ้ยเซียงจึงหยุดในที่สุด
“คุณลุง คุณป้าทั้งหลาย ผมจะไปโรงเรียนสายแล้ว...” จัวเซ่าเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้มหน้าลง ชวีกุ้ยเซียงไม่ใช่คนฉลาด เธอเป็นเพียงคนคิดน้อย การจัดการกับเธอไม่ใช่เรื่องยากเลยจริง ๆ
“เสี่ยวเซ่า เธอไปเรียนหนังสือก่อนเถอะ” มีคนพูดขึ้นมาทันที
“ใช่แล้ว รีบไปเถอะ” อีกคนเอ่ยเห็นด้วย
“เด็กคนนี้ถูกจับ ทุบตี และดุด่าทันทีที่เขากลับมา ยังไม่ได้ทานอาหารกลางวันเลยไม่ใช่เหรอ?” หญิงสาวที่กำลังตั้งครรภ์คนก่อนออกมาจากมุมหนึ่งและพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา
ทุกคนมองไปที่จัวเซ่าด้วยความเห็นใจทันที
“ไม่เป็นไรครับ ผมชินแล้ว” จัวเซ่าเอ่ย
คนเหล่านั้นก็เห็นใจเขามากขึ้นกว่าเดิม หญิงชราที่อาศัยอยู่ชั้นล่างเอ่ยขึ้น “ไปสายสักวันไม่เป็นไรหรอก เธอไปกินข้าวที่ห้องป้าก่อนเถอะ แล้วค่อยไปเรียน!”
จัวเซ่าถูกพาไปที่บ้านของคนคนนั้นอย่างกระตือรือร้น และในขณะเดียวกันทางด้านชวีกุ้ยเซียง บางคนที่ไม่ชอบเธอหรือคนที่เห็นใจจัวเซ่าต่างก็พูดถึงเรื่องราวของบ้านจัว
“ครั้งล่าสุดที่ฉันไปเยี่ยมบ้านของชวีกุ้ยเซียง ฉันเห็นว่าเธอให้เด็กผู้หญิงที่อายุไม่ถึงสิบขวบซักผ้า เธอยังมีหน้ามาบอกว่าตัวเองใจดีกับเด็กสองคนนี้อีก!”
“จัวเซ่าเคยเรียนโรงเรียนประถมที่เดียวกับหลานของฉัน เขาเป็นที่หนึ่งของชั้นเรียนเสมอ ในทุก ๆ ครั้งอาจารย์ก็จะกล่าวชื่นชมเขา แล้วเขาจะเป็นแบบที่ชวีกุ้ยเซียงพูดได้ยังไงกัน?
“คิดไม่ถึงว่าชวีกุ้ยเซียงจะเอาเงินของคนตายไปซื้อบ้านให้ลูกตัวเองแบบนี้ จิ๊ ๆ”
……
จัวเซ่าทานอาหารที่บ้านของป้าที่แสนอบอุ่นคนนั้น
แม้ว่าเขาจะกินขนมปังไปแล้วชิ้นหนึ่ง แต่วัยรุ่นอายุสิบสี่ สิบห้าปีนั้นสามารถกินได้เยอะมาก อาหารของบ้านหลังนี้มีทั้งหมดสามอย่าง ได้แก่ ไข่คน ผัดฟักทอง และเต้าหู้แห้งตุ๋นน้ำแดง เขากินข้าวสามชามในคราวเดียวและชื่นชมกับอาหารเหล่านั้น
ในตอนแรกเธอรู้สึกว่าที่บ้านของตนมีอาหารน้อยเกินไปและรู้สึกอายเล็กน้อยที่จะเรียกจัวเซ่าให้มากินอาหารที่บ้านของเธอ แต่กลับถูกจัวเซ่าเอ่ยยกย่องเช่นนี้ จึงยิ่งรู้สึกสงสารจัวเซ่ามากขึ้นกว่าเดิมและยิ่งรังเกียจชวีกุ้ยเซียงมากขึ้นเรื่อย ๆ
จัวเซ่าพอใจกับสถานการณ์ในตอนนี้มากอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาต้องการจะหลุดพ้นจากครอบครัวของป้าสะใภ้ แต่เขายังเด็กเกินไป การทำเช่นนั้นเป็นเรื่องยาก และยากยิ่งกว่าที่ต้องจัดการความยุ่งเหยิงต่าง ๆ ด้วยมีดสั้น
โชคดีที่ตอนนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดี
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว จัวเซ่าก็รีบกลับไปที่โรงเรียน แต่เมื่อมาถึงคาบการศึกษาด้วยตนเองในช่วงบ่ายก็เริ่มขึ้นแล้ว
วันนี้อาจารย์ไม่อยู่ และคนที่นั่งอยู่บนโพเดียม คอยดูแลการเรียนของนักเรียนในห้อง ยังคงเป็นเด็กผู้หญิงมัดผมหางม้า
นักเรียนหญิงคนนี้ชื่อถังตงเยี่ยน เส้นผมของเธอไม่ค่อยจะดีนัก จึงมักจะมัดผมหางม้าไว้ข้างหลัง บริเวณหน้าผากมีผมหน้าม้าสั้น ๆ ดูน่ารัก บนใบหน้าของเธอมีไขมันเล็กน้อย
แม้ว่าจัวเซ่าจะลืมคนส่วนใหญ่ในห้องเรียนไปแล้ว แต่เขาประทับใจเธอเล็กน้อย ท้ายที่สุดจึงยังคงจำเธอได้ เธอเรียนได้เกรดดีมาโดยตลอดและกระตือรือร้นในการทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย
“จัวเซ่า นายมาสายอีกแล้ว ฉันจะจดชื่อเอาไว้” ถังตงเยี่ยนเหลือบมองไปยังจัวเซ่าและจดชื่อเขาลงในสมุดบันทึก
จัวเซ่าเคยรู้สึกอายเสมอเมื่อต้องถูกจดชื่อเช่นนี้ แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้สนใจแล้ว เขานั่งลงที่ที่นั่งด้านหลัง เปิดหนังสือพลิกไปมา และยืมการบ้านจากเพื่อนร่วมโต๊ะของตนมาเพื่อใช้ ‘อ้างอิง’
ตัวหนังสือของเจ้าอ้วนตัวน้อยดีกว่าครั้งก่อนมาก…จัวเซ่ามองและลอกการบ้านเหล่านั้น
ตอนนี้ที่โรงเรียนเพิ่งจะเปิดเทอม ยังไม่มีการสอบอะไร ในขณะนี้จัวเซ่าไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกเปิดเผยเรื่องที่ตนไม่สามารถแก้โจทย์เลขได้ แน่นอนว่ายังต้องเรียนรู้เรื่องนี้เพิ่มเติม และเขาต้องการเพิ่มเกรดของตนเองให้ได้ก่อนการสอบประจำเดือน
ตลอดช่วงบ่ายจัวเซ่าตั้งใจเรียนอย่างจริงจัง และเพียงชั่วพริบตาก็ได้เวลาเลิกเรียน
ทันทีที่โรงเรียนเลิก จัวเซ่าหยิบกระเป๋านักเรียนของเขาและเดินออกไป
จัวถิงยังคงรออยู่ที่โรงเรียนประถมของเธอ จัวเซ่าเองก็รีบไปหาเธอ แต่ไม่คิดว่าเมื่อเขาเดินออกจากโรงเรียนมาได้ไม่ถึงสองร้อยเมตรก็พบเข้ากับจัวเจียเป่า
จัวเซ่าไม่ได้พบจัวเจียเป่ามานานหลายปีแล้ว หลังจากที่เขาได้รับการปล่อยตัวจากคุก เขาเคยติดตามสถานการณ์ของจัวเจียเป่า รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ทำการทำงานและยังติดการพนัน หลังจากพบว่าเขาพึ่งพาเพียงเงินจากการรับจ้างชั่วคราวของชวีกุ้ยเซียงเท่านั้น จัวเซ่าก็ไม่ได้สนใจคนคนนี้อีก และตอนนี้เขาก็ได้พบเข้ากับจัวเจียเป่าที่อายุยังน้อย
จัวเจียเป่าอ้วนมาก คงเป็นเพราะช่วงนี้ไม่ได้ทำงานและอยู่บ้านเฉย ๆ จึงขี้เกียจที่จะสนใจดูแลตัวเอง เสื้อผ้าเลอะเทอะเล็กน้อย ผมยุ่งเหยิงและมันแผล็บ เขามองไปยังจัวเซ่าและพูดขึ้น “ตามฉันมา”
ดวงตาของจัวเซ่าเปล่งประกายและเดินตามจัวเจียเป่าเข้าไปในตรอก
เป็นเวลากว่ายี่สิบปีแล้วที่โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินก่อตั้งขึ้น ในตอนที่ก่อตั้งโรงเรียน ที่แห่งนี้อาจจะเป็นย่านชานเมือง แต่ปัจจุบัน…โรงเรียนตั้งอยู่ใจกลางเมือง เมื่อเดินออกไปก็จะเป็นถนน และถนนเส้นนี้ยังเป็นถนนที่พลุกพล่านที่สุดในอำเภอ มีผู้คนผ่านไปมาไม่ขาดสาย
แต่เมื่อจัวเซ่าเดินตามจัวเจียเป่าเข้าไปในตรอก หลังจากเดินไปได้สักพักที่นี่ก็ไร้ซึ่งผู้คน หลังจากนั้นอีกสองสามก้าว พวกเขาก็มาถึงบ้านหลังหนึ่งที่มีคำว่า ‘รื้อถอน’ เขียนไว้บนผนังด้วยสีพ่นสีแดง
บ้านหลังนี้เก่ามากแล้ว คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ก็ย้ายออกไปแล้ว
จัวเจียเป่าหันกลับมามองจัวเซ่า รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏขึ้นบนใบหน้า
จัวเซ่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรกับรอยยิ้มเช่นนี้ ในตอนที่เขายังเด็กมักจะถูกจัวเจียเป่าทุบตีและแย่งของไปอยู่บ่อยครั้ง ในเวลาที่จัวเจียเป่าทำอะไรเหล่านี้ก็มักจะเผยรอยยิ้มเช่นนี้ ในเวลานั้นเพราะจัวเซ่าถูกรังแก พ่อแม่ของจัวเซ่าจึงเคยทะเลาะกันใหญ่โตกับจัวหรงหมิงและชวีกุ้ยเซียง
ในตอนที่พ่อแม่ของเขายังอยู่ จัวเจียเป่ายังไม่กล้าล้ำเส้นมากเกิน แต่เมื่อพ่อแม่ของเขาเสียไป จัวเจียเป่าก็กำเริบเสิบสานขึ้นมา โชคยังดีที่คนคนนี้ไม่ได้อาศัยอยู่กับพวกเขา ทั้งสองพบหน้ากันไม่บ่อยนัก
“จัวเซ่า มึงกล้าดียังไงมารังแกแม่กู…” จัวเจียเป่ากำหมัดแน่นและมองจัวเซ่าด้วยความเย้ยหยัน แต่ก่อนที่จัวเจียเป่าจะได้พูดจนจบก็ถูกจัวเซ่าเตะเข้าที่ท้องเสียก่อน