ตอนที่แล้วบทที่ 84: สร้างความยุ่งยาก
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 86: การสมรู้ร่วมคิด

บทที่ 85: ขโมย


นี่เป็นครั้งแรกที่มู่ไป๋ไป่ได้ยินซูหว่านโต้เถียงกับใครสักคน เธอจึงรู้สึกมีความสุขมาก แล้วเธอก็เอามือเท้าเอวเพื่อแสดงท่าทีเกลียดชังต่ออีกฝ่ายเต็มที่ “ใช่ ถ้าหรงเฟยไม่พอใจไป๋ไป่ ท่านก็ควรไปรายงานท่านพ่อ แล้วให้ท่านพ่อเป็นคนจัดการไป๋ไป่เอง”

แน่นอนว่าเรื่องเพียงแค่นี้หรงเฟยจะกล้าไปรายงานมู่เทียนฉงได้อย่างไร

ปัจจุบันทั่วทั้งวังหลวงต่างก็รู้ว่าฝ่าบาทนั้นทรงรักมู่ไป๋ไป่มากเพียงใด ถ้านางไปรายงานกับเขา มันก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลยสักนิด

ทางด้านหรงเฟยที่โกรธมากจนทำอะไรไม่ได้ก็ทำได้เพียงแค่แค่นเสียงเย็นชาในลำคอ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกไปพร้อมกับนางกำนัลข้างกาย

“ท่านแม่ ท่านไปพักสักหน่อยดีหรือไม่เพคะ?” มู่ไป๋ไป่เห็นว่าทุกคนออกไปแล้วจึงเสนอขึ้นมา “เรากลับไปจิบชาที่เรือนกันเถอะ แล้วค่อยกลับมาอีกครั้ง”

แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอได้งีบหลับไปบ้างแล้ว แต่เธอก็ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตลอดเวลา

เธอจึงรู้สึกเจ็บหัวเข่ามาสักพักแล้ว

“เจ้าไปเถอะ” ซูหว่านตอบพลางลูบหัวลูกสาวเบา ๆ “แม่จะนั่งรออยู่ตรงนี้”

มู่ไป๋ไป่เหลือบตาไปซ้ายทีขวาทีอย่างลังเลก่อนจะกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปหาผลไม้มาให้ท่านดับกระหาย ท่านอยากกินอะไรเป็นพิเศษหรือไม่เพคะ?”

ผู้เป็นแม่ตอบรับง่าย ๆ จากนั้นคนตัวเล็กก็จากไปพร้อมกับหลัวเซียวเซียว

ในวัดฮู่กั๋วนั้นมีผลไม้มากมาย ปัจจุบันถึงฤดูออกผลแล้ว ในตอนที่มู่ไป๋ไป่เดินผ่านเมื่อวานนี้ เธอก็เห็นผลไม้สีแดงลูกใหญ่ห้อยอยู่บนต้นไม้ซึ่งมันน่าดึงดูดมาก

“เอาล่ะ เซียวเซียวไปเก็บผลไม้ที่สวนหลังเรือนกันเถอะ” ทันทีที่เด็กหญิงเดินออกจากวิหาร เธอก็ดึงสหายตัวน้อยไปทางป่าด้านหลัง

“เก็บผลไม้หรือเพคะ?” หลัวเซียวเซียวทำหน้าสับสน “แต่องค์หญิงหก หม่อมฉันปีนต้นไม้ไม่เป็น”

“ในหัวของเจ้าคิดอะไรอยู่นะ” มู่ไป๋ไป่รู้สึกขบขันและดีดหน้าผากสหายของตนเบา ๆ ไปทีหนึ่ง “ข้าไม่ได้จะให้เจ้าปีนเองสักหน่อย”

“อะไรนะเพคะ?” หลัวเซียวเซียวลูบหน้าผากของตัวเองในขณะที่ดวงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ “องค์หญิงหก ท่านจะปีนขึ้นไปเก็บเองหรือเพคะ นั่นมันแย่กว่าเดิมอีก! องค์หญิง พระวรกายของท่านเป็นดั่งหยกดั่งทอง การปีนต้นไม้นั้นอันตรายมาก ถ้าพระองค์ตกต้นไม้จะทำเช่นไรเพคะ?”

“ไม่มีทางหรอก” เด็กน้อยพูดขึ้นอย่างมั่นใจ โดยไม่ได้เอ่ยถึงว่าเมื่อคืนตนนั้นปีนขึ้นไปบนต้นไม้เพื่อลากเจ้าส้มลงมา

และเธอก็รู้ด้วยว่าต้นไม้ต้นนั้นสูงกว่าต้นผลไม้เหล่านี้มากเพียงใด

ถัดมา มู่ไป๋ไป่พับแขนเสื้อขึ้น ถอดรองเท้า และกระโดดขึ้นไปเกาะลำต้น ก่อนจะปีนขึ้นไปอย่างชำนาญ ทางด้านหลัวเซียวเซียวที่อยู่ใต้ต้นไม้ได้แต่มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง

หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน คนตัวเล็กก็เก็บผลไม้มาได้ถุงใหญ่

“นี่ เจ้าลองชิมดูสิว่าผลไม้ที่ข้าเลือกมาเองนั้นหวานหรือไม่?” เด็กหญิงเอ่ยพลางยื่นผลไม้ให้หลัวเซียวเซียวชิม

จากนั้นก็แบ่งส่วนที่เหลือออกเป็น 3 ส่วน โดยเก็บไว้กินเอง 1 ส่วน มอบให้ซูหว่าน 1 ส่วน และอีกส่วนมอบให้ไทเฮา

ขณะที่เด็กน้อยทั้ง 2 คนเดินกลับไปยังวิหารด้านหน้า พวกเธอก็เดินกินผลไม้ที่เก็บมาสด ๆ ไปด้วย เมื่อทั้งคู่เดินผ่านสวนหลังเรือน พวกเธอก็ต้องหยุดเพราะได้ยินเสียงร้องไห้ดังลั่น

เสียงร้องไห้นั้นฟังดูเจ็บปวดมากจนมู่ไป๋ไป่ต้องขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “เราไปดูหน่อยเถอะว่าเกิดอะไรขึ้น”

หลัวเซียวเซียวรีบเก็บผลไม้ในมือลงและติดตามไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเด็กหญิงทั้ง 2 ก็เดินไปตามทางก่อนจะเห็นขันทีหนุ่ม 2-3 คนกำลังกลั่นแกล้งคนคนหนึ่งอยู่ในสวนหลังเรือนที่ไร้ผู้คน บุคคลนั้นสวมเสื้อผ้าสกปรก ผมเผ้ายุ่งเหยิงจนไม่สามารถมองออกว่าคนผู้นั้นหน้าตาเป็นเช่นไร

แต่เสียงร้องที่น่าสงสารยังคงดังออกมาจากปากเขาไม่หยุด

“หยุดนะ!” หลัวเซียวเซียวที่ถูกรังแกมาตั้งแต่เด็กเมื่อพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะเข้าไปขวางโดยไม่ทันได้คิด “พวกเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ!”

“เจ้าเป็นใคร! อย่ามายุ่งเรื่องของคนอื่น— องค์หญิงหก ข้าน้อยถวายบังคมองค์หญิงหก”

ขันทีหันกลับมามองมู่ไป๋ไป่ด้วยสีหน้าหวาดกลัว และคุกเข่าลงเพื่อทำความเคารพอีกฝ่าย

ชายที่ถูกทุบตีได้รับการช่วยเหลือแล้ว เขาจึงรีบคว้าถุงผ้าบนพื้น แล้ววิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว คล้ายกับว่าคนที่ถูกทำร้ายเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขาเลย

“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่มองดูสถานการณ์อย่างประหลาดใจ “คนผู้นั้นเป็นใคร?”

“ตอบองค์หญิง 6 ชายคนนั้นเป็นขโมยพ่ะย่ะค่ะ” ขันทีคนหนึ่งตอบด้วยท่าทางนอบน้อม “ที่เรือนของข้าน้อยมีอาหารถูกขโมยไปเป็นเวลา 2 วันติดต่อกัน วันนี้พวกข้าน้อยจึงแอบซุ่มจับโจรพ่ะย่ะค่ะ”

“แล้วคนบ้าคนนั้นก็แอบย่องเข้ามา”

“พวกข้าน้อยจึงต้องลงโทษเขาให้หนัก”

“ขโมยหรือ?” เด็กหญิงเลิกคิ้วขึ้น “เขาแค่ขโมยอาหารหรือไม่?”

ขันทีที่มีท่าทีโกรธเคืองนั้นดูเหมือนจะตระหนักได้ว่าตนกำลังเอ็ดตะโรเกินกว่าเหตุจนเป็นการก่อความวุ่นวาย เขาจึงรู้สึกอับอายขึ้นมา

“นอกจากอาหารแล้ว เขาก็ไม่ได้แตะต้องอย่างอื่นเลย ทำไมต้องทำกันถึงขั้นนี้ด้วย” มู่ไป๋ไป่หรี่ตามองกลุ่มขันที เมื่อกี้เธอสังเกตเห็นว่าในถุงผ้าที่ชายเสื้อผ้าสกปรกคนนั้นคว้าไปเต็มไปด้วยหมั่นโถว

ขันทีเหล่านี้กินเก่งจริง ๆ

ชายคนนั้นไม่ได้ขโมยของอย่างอื่นเลย ดังนั้นเขาจึงไม่ใช่คนไม่ดี

แต่ขันทีตัวเล็ก ๆ พวกนี้กลับทำร้ายอีกฝ่ายอย่างทารุณ ซึ่งมันถือว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุไปมาก

“องค์หญิงหกสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว” ขันทีน้อยไม่กล้าโต้กลับเด็กหญิง พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความผิดเอาไว้

“ถ้ารู้ว่าตัวเองผิด ครั้งหน้าก็อย่าได้ทำอีก” มู่ไป๋ไป่นึกถึงตอนที่เธอเข้ามาสิงอยู่ในร่างกายที่ผอมแห้งที่บ่งบอกว่าเจ้าของร่างเดิมได้กินไม่อิ่ม หัวใจของเธอจึงเต้นแรงขึ้นแล้วเอ่ยปากสั่งออกไปว่า “ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจะต้องเตรียมอาหารเอาไว้ในเรือนหลังนี้เพื่อให้บุคคลนั้นมารับไป”

คำสั่งอย่างกะทันหันทำให้ขันทีผู้น้อยต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก และสงสัยว่าเหตุใดองค์หญิงหกจึงออกคำสั่งเช่นนี้

“อะไร! พวกเจ้าจะขัดขืนคำสั่งขององค์หญิงหรือ?” มู่ไป๋ไป่พูดข่มขู่ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ข้าน้อยมิกล้า ข้าน้อยมิกล้า” เหล่าขันทีตกใจและคุกเข่าโขกหัวซ้ำ ๆ “ข้าน้อยจะไปสั่งในครัวเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ”

จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็พาหลัวเซียวเซียวกลับไปที่วิหารอย่างพึงพอใจ แต่เธอไม่ได้สังเกตเห็นว่าด้านหลังพุ่มไม้พุ่มหนึ่งมีชายที่เนื้อตัวสกปรกกำลังแอบซุ่มมองดูเธออยู่

ภายใต้ร่มผ้าที่สกปรกของชายคนนั้น มีดวงตาคู่หนึ่งที่ชัดเจนมาก

“ท่านแม่ ดูสิว่าข้านำอะไรมาให้ท่านบ้าง” มู่ไป๋ไป่เข้าไปขอรับความดีความชอบและหยิบผลไม้ที่ตนล้างมาเรียบร้อยแล้วให้ผู้เป็นแม่ดู “ผลไม้พวกนี้เพิ่งจะเก็บมาจากต้นสด ๆ มันหวานฉ่ำมาก”

“โอ้โห ที่นี่มีผลไม้พวกนี้ด้วยหรือ?” ดวงตาของซูหว่านเป็นประกายเมื่อนางมองดูผลไม้ในถุงผ้า นางเคยกินผลไม้เหล่านี้ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นเด็ก ซึ่งมันมีรสหวานมาก

หลังจากถูกส่งตัวเข้ามาในวังหลวง นางก็ไม่เคยได้กินมันอีกเลย

พอตอนนี้หญิงสาวได้เห็นมันอีกครั้ง นางก็รู้สึกเหมือนกับว่าตนได้ย้อนกลับไปในวันวาน

“ที่สวนหลังเรือนยังมีอีกเยอะเลยเพคะ” มู่ไป๋ไป่หยิบผลไม้ไปป้อนแม่ของเธอ “ท่านแม่ ถ้าท่านแม่ชอบข้าจะไปเก็บให้ท่านทุกวันเลย”

ซูหว่านยิ้ม ก่อนจะนึกอะไรออกและมองลูกสาวด้วยสายตาประหลาดใจ “เจ้าบอกว่าเจ้าเป็นคนเก็บผลไม้นี้อย่างนั้นหรือ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเจ้าตัวเล็กแข็งค้างไปทันที

แล้วเธอก็ขยิบตาให้สหายตัวน้อยที่ยืนอยู่ด้านข้าง

หลัวเซียวเซียวลอบถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องก้าวออกไปพูดว่า “หว่านผิน เซียวเซียวเป็นคนปีนไปเก็บผลไม้นี้มาเองเพคะ”

“แต่เป็นองค์หญิงหกที่พบต้นผลไม้นี้”

ซูหว่านถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ในขณะเดียวกันนางก็พยักหน้า ก่อนจะดีดหน้าผากเล็ก ๆ ของเจ้าเด็กน้อยและสั่งสอนนางว่า “เซียวเซียวก็ตัวพอ ๆ กับเจ้า เจ้าปล่อยให้นางปีนต้นไม้สูงขนาดนั้นได้อย่างไรกัน จะเกิดอะไรขึ้นหากนางตกลงมาแล้วได้รับบาดเจ็บ?”

“หลังจากนี้เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเก็บผลไม้อีก เข้าใจหรือไม่?”

มู่ไป๋ไป่แลบลิ้นออกมา แล้วตอบรับแบบไม่เต็มใจนัก

พอถึงเวลาที่ไทเฮาเสด็จกลับมาหลังจากพักผ่อน คนตัวเล็กก็ได้มอบผลไม้อีกถุงให้กับอีกฝ่าย ซึ่งผู้เป็นย่าก็ได้เอ่ยปากชื่นชมว่ามันอร่อยมาก หลังจากได้รู้ว่าหลัวเซียวเซียวเป็นคนปีนขึ้นไปเก็บผลไม้นี้มาเอง พระนางก็ได้เอ่ยปากเตือนคล้ายกับซูหว่านอย่างอ่อนโยน

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด