ตอนที่แล้วบทที่ 7 เหลียงเฉินผู้ร่ำรวย
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 9 มีคนขวางทาง

บทที่ 8 เงินช่วยเหลือนักเรียนยากจน


วันนี้ที่โรงเรียน จัวเซ่ายังคงใช้เวลาว่างทั้งหมดของเขาไปกับการอ่านหนังสือ

เขาห่างหายจากการเรียนหนังสือมานานมากแล้ว ที่จริงเขาไม่ชินกับการที่ต้องมานั่งตัวตรง ๆ แล้วฟังอาจารย์บรรยายเนื้อหาเลยสักนิด ไม่ชอบเรียนแบบนี้เลย แต่ถึงจะไม่ชอบ ก็ยังมีหลายเรื่องให้ต้องทำ

ในช่วงกายบริหาร อาจารย์ประจำชั้นของเขา หยางเจี้ยนหวา ก็เรียกตัวจัวเซ่าออกไป “เมื่อคืนป้าสะใภ้ของเธอได้ตีเธอไหม?”

“ไม่ได้ตีครับอาจารย์หยาง” จัวเซ่าก้มศีรษะลงและเอ่ยว่า “ผมไม่เป็นไรครับ”

แม้จัวเซ่าจะพูดว่าตนไม่เป็นอะไร แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน แล้วไหนจะเสื้อผ้าเก่า ๆ ที่จัวเซ่าใส่อยู่อีก…หยางเจี้ยนหวาถอนหายใจออกมา “จัวเซ่า ครูสมัครทุนช่วยเหลือนักเรียนยากจนให้กับเธอ…อย่าปฏิเสธเลยนะ ไหนจะน้องสาวเธออีก เธอไปที่โรงเรียนของน้องแล้วสมัครขอทุนก็ได้นะ”

การพัฒนาเศรษฐกิจของอำเภอฟูหยางนั้นนับว่าไม่เลว นักเรียนยากจนในโรงเรียนก็มีน้อยมาก เงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนยากจนนั้นมีค่อนข้างเยอะ…เงินช่วยเหลือเหล่านี้ไม่ใช่แค่เงินจากรัฐบาลเท่านั้น ยังมีเงินช่วยเหลือจากภาคเอกชนด้วย หยางเจี้ยนหวาคิดดูแล้ว สถานการณ์ของจัวเซ่านอกจากจะได้รับการยกเว้นค่าเล่าเรียนในหนึ่งภาคการศึกษา ก็ควรจะได้รับเงินเพิ่มอีกพันกว่าหยวน

เงินจำนวนนี้แม้ไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับจัวเซ่า เงินจำนวนนี้สามารถทำให้คุณภาพชีวิตของเขาดีขึ้นแน่นอน ตอนนี้หยางเจี้ยนหวากลัวว่าจัวเซ่าจะกลัวเสียหน้ามากกว่า

มีนักเรียนยากจนอยู่ในห้องเรียน ในเทอมที่แล้วนอกจากทุนการศึกษา ยังมีกระเป๋าและอุปกรณ์การเรียนให้กับนักเรียนที่ยากจนด้วย แน่นอนว่าจัวเซ่ารู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ แต่เขากลับเงียบ ไม่เอ่ยอะไร…

คงเพราะจัวเซ่าอยากรักษาหน้าของตนเอาไว้

ในตอนที่จัวเซ่ายังเด็ก ทุก ๆ วันเขาต้องทนหิว แต่จะไม่ยอมให้ใครรู้ว่าตนนั้นหิว เพียงแต่เขาในตอนนี้เคยผ่านประสบการณ์ต่าง ๆ มากมาย ถูกฉีกหน้าอยู่หลายครั้ง ตอนนี้จัวเซ่าจึงไม่ได้สนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว

“อาจารย์หยาง ขอบคุณครับ” จัวเซ่ากล่าวขอบคุณด้วยความซาบซึ้ง ทัศนคติของจัวเซ่าทำให้หยางเจี้ยนหวาประหลาดใจมาก ที่จริงเขาเตรียมพร้อมรับคำปฏิเสธจากจัวเซ่า…แต่จัวเซ่ากลับเต็มใจที่จะรับเงิน นี่เป็นเรื่องที่ดีจริง ๆ

“จัวเซ่า หลังจากที่เธอได้รับเงินแล้วก็ตั้งใจเรียนดี ๆ ถ้าเธอสามารถสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลายในอำเภอได้ด้วยคะแนนดี ๆ ก็จะสามารถของดเว้นค่าเล่าเรียนได้ด้วย”

“อาจารย์หยาง ผมจะตั้งใจเรียนแน่นอนครับ” สายตาที่จัวเซ่ามองไปยังหยางเจี้ยนหวาเต็มไปด้วยความแน่วแน่ เขาตั้งใจว่าจะรอจนจัดการเรื่องครอบครัวของลุงให้คลี่คลายเสียก่อน แล้วจะย้ายออกจากบ้านของลุง คิดวิธีหาเงิน จากนั้นก็ให้น้องสาวได้เรียนที่ดี ๆ และเมื่อเขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในเมือง เขาก็จะสามารถไปตามหาเหลียงซินได้

หยางเจี้ยนหวาพยักหน้าด้วยความโล่งอก

หยางเจี้ยนหวาไม่ได้พูดเรื่องเงินช่วยเหลือสำหรับนักเรียนยากจนในห้องเรียน อาจารย์ที่มาสอบแทนก็แสดงออกแบบเดียวกัน ไม่มีนักเรียนในห้องสักคนที่รู้เรื่องนี้ จัวเซ่าในสายตาของพวกเขาเป็นชายหนุ่มพูดน้อย แต่ผลการเรียนดีเยี่ยม

นั่นเป็นเหตุผลที่เหลียงเฉินเอ่ยถาม “จะ…จัวเซ่า อาจารย์หยางเรียกนายไปทำอะไรเหรอ?”

“อาจารย์ช่วยสมัครทุนช่วยเหลือสำหรับนักเรียนยากจนให้ฉันน่ะ” จัวเซ่าไม่ได้ปิดบังเขา

“เอ๊ะ?” ใบหน้าของเหลียงเฉินเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เหลียงเฉินรู้สึกมาเสมอว่าจัวเซ่าดีไปหมดเสียทุกอย่าง แต่…บ้านจัวเซ่าไม่มีเงิน เป็นนักเรียนยากจนอย่างนั้นเหรอ?

เขาอยากจะถามจัวเซ่าว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็ไม่กล้าถาม เขาอยากจะปลอบจัวเซ่า แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะปลอบอย่างไร ใบหน้าของเหลียงเฉินเต็มไปด้วยความสับสน

“ฉันไม่มีเงินกินข้าว นายได้เงินค่าขนมแต่ละเดือนเยอะมาก ฉันอิจฉานายจัง” จัวเซ่าเอ่ยยิ้ม ๆ

“เอ๊ะ?” เหลียงเฉินรู้สึกแย่มากขึ้นเรื่อย ๆ

“ล้อนายเล่นน่ะ” จัวเซ่ายิ้ม “ขอบใจสำหรับน่องไก่นะ”

“งั้น…งั้นนายอยากได้อีกไหม?” เหลียงเฉินมองไปยังจัวเซ่าด้วยความหวัง และเปิดกระเป๋าของตนอีกครั้ง

จัวเซ่าคิดแล้วคิดอีก และขอขนมปังสองชิ้นกับไข่พะโล้สองฟอง

เพียงพริบตาเดียวก็เที่ยงแล้ว

จัวเซ่ารู้ว่าชวีกุ้ยเซียงจะไม่ยอมหยุดแน่หากพบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปภายในตู้น้อยลง เมื่อเช้าเขาได้กำชับจัวถิงเอาไว้แล้วว่าเมื่อเลิกเรียนให้เธออยู่ที่โรงเรียนก่อน อย่าเพิ่งกลับบ้าน ให้รอจัวเซ่าอยู่ในห้องเรียนไปก่อน

เมื่อกริ่งเลิกเรียนของคาบเรียนที่สี่ในช่วงเช้าของโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินดังขึ้น จัวเซ่าก็ไปหาจัวถิงพร้อมขนมปังและไข่พะโล้ที่ได้รับมาจากเหลียงเฉินทันที

จัวถิงนั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องเรียน นักเรียนส่วนใหญ่รับประทานอาหารกลางวันกันที่โรงเรียน เนื่องจากโรงเรียนไม่มีโรงอาหาร จึงยังคงแจกจ่ายอาหารให้กับเด็กนักเรียนภายในห้อง

นักเรียนคนอื่น ๆ กินอาหารในชามสแตนเลส จัวถิงรู้สึกอาย ไม่อยากจะนั่งดูเพื่อน ๆ รอบตัวกินอาหาร แทนที่เธอจะฟังคำพูดของจัวเซ่าที่บอกให้รอในห้องเรียน เธอกลับไปยืนรอที่ประตูโรงเรียนแทน

โรงเรียนประถมจะเลิกเรียนเร็วกว่า เมื่อจัวเซ่ามาถึง จัวถิงก็รอเขาอยู่กว่าสามสิบนาทีแล้ว ใบหน้าของเธอแดงก่ำจากการตากแดด

“ถิงถิง” เมื่อจัวเซ่าเห็นเธอก็ยิ้มออกมา

“พี่!” จัวถิงเองก็มีความสุขมากเช่นกัน แต่หลังจากนั้นไม่นานเธอก็รู้สึกกังวลขึ้นมาอีกครั้ง “พี่ เราจะกลับบ้านกันตอนนี้เลยไหม?” จัวถิงไม่อยากจะกลับบ้านเลยแม้แต่น้อย เมื่อเช้าเธอและพี่ชายขโมยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปกิน หากกลับไปตอนนี้ ป้าสะใภ้ต้องทุบตีพวกเธอแน่ ๆ

“พวกเราไม่ได้จะกลับบ้าน” จัวเซ่าหยิบขนมปังหนึ่งชิ้นและไข่พะโล้หนึ่งฟองออกมาให้จัวถิง “ถิงถิง เอานี่ไปกินแล้วกลับเข้าห้องเรียนได้แล้ว หลังเลิกเรียนช่วงบ่ายเดี๋ยวพี่จะมารับนะ”

“ค่ะ” จัวถิงพยักหน้ารับ จากนั้นเธอก็มองขนมปังในมือด้วยความประหลาดใจ

เธอไม่ได้กินขนมปังมาเป็นปีแล้ว

“จริงสิถิงถิง ตอนนี้น้องเรียนอยู่ชั้นไหนแล้ว?” จัวเซ่าเอ่ยถาม รู้สึกเขินอายเล็กน้อย

เขาลืมไปแล้วว่าจัวถิงเรียนอยู่ชั้นไหน....พูดถึงเรื่องนี้ หากไม่ใช่เพราะจัวถิงรอเขาอยู่ที่ประตูโรงเรียน เขาคงต้องใช้เวลาทั้งวันในการตามหาเธอ

ขนมปังหนึ่งชิ้นราคาหนึ่งหยวน และไข่พะโล้สุญญากาศหนึ่งฟองราคาห้าสิบเหมา ในเวลานี้อาหารเหล่านี้ถือเป็นอาหารว่างที่ไม่เลว จัวถิงรู้สึกมีความสุขเป็นพิเศษที่ได้กินของเหล่านี้เป็นอาหารกลางวัน จัวเซ่าเองเมื่อกินเข้าไปก็รู้สึกว่าไม่เลวเช่นกัน

เขากินขนมปังและไข่พะโล้เข้าไปได้สองสามคำ จากนั้นก็เดินไปทางบ้านครอบครัวจัว

เมื่อเช้าเขากินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารเช้า แต่ไม่ได้ล้างหม้อและชาม ในตอนนี้ชวีกุ้ยเซียงน่าจะพบแล้วว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีจำนวนลดลง เมื่อเขากลับไปต้องเจอเข้ากับชวีกุ้ยเซียงที่โกรธจัดแน่ ๆ

จัวเซ่าคิดว่านี่ก็ไม่เลว ในเวลานี้ชวีกุ้ยเซียงคงพบแล้วว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่บ้านหายไปสี่ซอง

ชวีกุ้ยเซียงเป็นคนที่ขี้เหนียวมาก ปกติเวลาที่เธอต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้จัวหรงหมิง เธอมักจะใส่บะหมี่เพียงครึ่งเดียว และเมื่อแช่น้ำแล้วเธอจะเทน้ำออกครึ่งหนึ่งเพื่อจะได้ใส่เครื่องปรุงน้อยลง จะได้ประหยัดเครื่องปรุงและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอีกครึ่งเอาไว้

ตอนนี้เธอพบว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหายไปสี่ซอง ใคร ๆ ก็คิดได้ว่าเธอจะโกรธมากขนาดไหน

“ไอ้เด็กสารเลวสองตัวนั้นช่างเหลือเชื่อจริง ๆ วันนี้พวกมันขโมยของที่ฉันล็อคเอาไว้ในตู้ไป!” ชวีกุ้ยเซียงที่ยืนอยู่ชั้นล่าง ณ อาคารห้าชั้นที่เธออาศัยอยู่ตะโกนออกมาด้วยความเกรี้ยวโกรธ

ชวีกุ้ยเซียงถูกรายล้อมไปด้วยผู้คนมากมาย พวกเขามักจะได้ยินชวีกุ้ยเซียงบ่นเกี่ยวกับจัวเซ่าและจัวถิงอยู่เสมอ หลังจากที่พ่อแม่ของเด็กทั้งสองเสียชีวิตก็มาอาศัยอยู่กับครอบครัวของชวีกุ้ยเซียง ความประทับใจของพวกเขาต่อจัวเซ่าและจัวถิงไม่ดีนัก “อะไรนะ? อายุแค่นี้ก็ขโมยของแล้ว? กุ้ยเซียง เธอต้องสั่งสอนพวกเขาดี ๆ นะ”

“ยังเรียนหนังสืออยู่ก็ขโมยของแล้ว ต่อไปไม่ใช่ว่าจะไปปล้นอะไรหรอกนะ? คนแบบนี้ต้องถูกทุบตีซะให้เข็ด” คนคนหนึ่งพูดขึ้นมา

ผู้คนโต้เถียงกันไปมา เอ่ยโจมตีจัวเซ่าและจัวถิง ในขณะนั้นเองสะใภ้สาวเพื่อนบ้านก็พูดบางอย่างที่ให้ความเป็นธรรมกับสองพี่น้อง “ไม่จริงน่า? จัวเซ่ากับจัวถิงออกจะดูเป็นเด็กดี...”

“เด็กดีอะไรกัน? เมื่อวานฉันทำอาหารรสชาติไม่ถูกใจเขา พวกเขาถึงกับคว่ำชามทิ้ง วันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ถึงขั้นขโมยของไปหมดเลย!” ชวีกุ้ยเซียงจ้องไปยังสะใภ้สาวเพื่อนบ้านแล้วพูดเสียงดังขึ้นอีก “พ่อแม่ของเขาตายไปแล้ว ฉันเลี้ยงพวกเขาอย่างดี ไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่รู้อะไรดีอะไรชั่ว แล้วยังขโมยของฉันอีก...”

ชวีกุ้ยเซียงสาปแช่งและพูดเรื่องไม่ดีต่าง ๆ นานาเกี่ยวกับจัวเซ่าและจัวถิง แม้ว่าในตอนแรกจะมีบางคนที่เข้าข้างจัวเซ่าและจัวถิง แต่เมื่อฟังไปเรื่อย ๆ ความเห็นอกเห็นใจที่เคยมีก็ค่อย ๆ หายไป

พวกเขาเริ่มรู้สึกว่าเด็กสองคนนี้อาจจะไม่ใช่เด็กดีจริง ๆ อย่างที่พวกเขาคิด

ขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีใครบางคนเดินเข้ามาจากทางนอกซอย

เป็นเด็กหนุ่มอายุราวสิบสี่สิบห้าปี เขาผอมมาก สวมเสื้อยืดสีน้ำเงินที่ซักจนซีดจนแทบจะกลายเป็นสีขาว ผมยาว ยุ่งเหยิงเล็กน้อย ในตอนแรกเขาก้มศีรษะเดินเข้ามา แต่เมื่อเห็นว่ามีคนยืนอยู่เบื้องหน้าของตนจึงเงยหน้าขึ้นมามอง เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูดีเป็นพิเศษ

ผิวของเด็กชายขาวมาก ดวงตากลมโต เรียวคิ้วคมเข้ม แต่กลับไม่เลอะเทอะ ใบหน้าของเขาสะอาดสะอ้าน... เมื่อเห็นเขา ผู้คนรอบ ๆ ชวีกุ้ยเซียงก็อดลอบถอนใจไม่ได้

แม้ว่าเด็กทั้งสองจะเป็นภาระและนำความวุ่นวายมาสู่ชวีกุ้ยเซียง แต่พวกเขาก็ดูดีมากจริง ๆ โดยเฉพาะคนพี่ ในชุมชนของพวกเขา ไม่มีผู้ชายคนไหนที่หล่อเหลาไปมากกว่าเขาแล้ว

แม้พวกเขาจะได้ยินว่าคนคนนี้ขโมยของ พวกเขาก็เกลียดไม่ลงจริง ๆ

แค่ทำไมพวกเขาถึงไม่เคยค้นพบสิ่งนี้มาก่อนกันนะ?

จัวเซ่าสังเกตเห็นท่าทางของคนเหล่านั้น

เขาดูดีไม่น้อย หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ เขาคงไม่ถูกใบหน้าของเหลียงซินดึงดูดและย้ายไปอยู่ข้างกายเหลียงซิน

จัวเซ่าอายุสิบห้าปี ที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะใช้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ แต่เนื่องจากเขามีใบหน้าที่มักจะอมทุกข์อยู่เสมอ และผมของเขาก็ยาวปกคลุมมาจนถึงดวงตา เพื่อไม่ให้ใครจ้องมองใบหน้าของตน แต่ตอนนี้จัวเซ่ารู้ดี...ว่ามุมไหนที่ตนจะดูดีที่สุด

“ป้าสะใภ้...” จัวเซ่าเอ่ยเรียกชวีกุ้ยเซียง จากนั้นก็หยุดเดิน แสดงท่าทีไม่สบายใจเล็กน้อย

“ไอ้สารเลว แกยังกล้ากลับมาอีกเหรอ! อย่าคิดว่าฉันจะปล่อยไป วันนี้แกกับฉันได้เห็นดีกันแน่ !” ชวีกุ้ยเซียงหยิบไม้กวาดขึ้นมาหมายจะเข้ามาตีจัวเซ่า

เธอไม่ได้ใส่ใจกับคำขู่ของจัวเซ่าเมื่อวาน ถ้าเธอจะตีและตีไปแล้ว ไอ้เด็กนี่มันจะทำอะไรได้?

ในอดีตจัวเซ่าเป็นพวกชอบเอาชนะ บ่อยครั้งที่เขาจะถูกเฆี่ยนตีสองสามครั้งโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ตอนนี้...

“ป้าสะใภ้?” จัวเซ่าก้าวถอยหลังและมองไปยังชวีกุ้ยเซียงด้วยความดื้อรั้น “ทำไมวันนี้ป้าจะตีผมล่ะ?”

“แกยังจะมีหน้ามาถามอีก แกขโมยของฉัน แกอยากจะให้ฉันสั่งสอนแกนักใช่ไหม?” ชวีกุ้ยเซียงเอ่ย

“ผมไปขโมยของตอนไหน ผมไม่เคยขโมยของ!” จัวเซ่าเอ่ยตอบ

“บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ฉันใส่เอาไว้ในตู้หายไป ถ้าแกไม่ได้เอาไป แล้วหมาที่ไหนมันจะขโมยไป?” ชวีกุ้ยเซียงโกรธจัด แต่เธอกลับไม่รู้ว่าทันทีที่เธอพูดคำเหล่านั้นออกไป การแสดงออกของผู้คนรอบ ๆ ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้เขาฟังที่ชวีกุ้ยเซียงพูดก็คิดว่าจัวเซ่าขโมยเงินหรือของมีค่าอะไรพวกนั้น แต่ที่ไหนได้...เป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเนี่ยนะ?

“ป้าสะใภ้ หลังจากที่พ่อแม่ของผมเสีย ป้าก็เอาเงินที่ผู้ก่อเหตุจ่ายชดเชยไป แล้วยังเอาเงินเก็บของพ่อแม่ผมไปอีก ไหนจะทีวี เครื่องซักผ้า และตู้เย็นของที่บ้านผม ป้าก็เอามาใช้หมด ตอนนี้แค่ผมจะกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสักห่อ ป้ายังหาว่าผมขโมยอีกเหรอ?” จัวเซ่าเอ่ยถามชวีกุ้ยเซียงด้วยความโกรธเคือง

ร่องรอยความหวาดผวาปรากฏขึ้นในดวงตาของชวีกุ้ยเซียง จากนั้นเธอก็พูดออกมา “พ่อแม่แกเป็นหนี้เยอะแยะ จะไปมีเงินได้ยังไง แกไม่พอใจที่ฉันเลี้ยงแกใช่ไหม?”

“ถ้าพ่อแม่ของผมไม่มีเงินแล้วยังมีหนี้จริง ๆ ... ป้าสะใภ้กับลุงที่ไม่ได้ทำการทำงานอะไรทั้งคู่จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อบ้านใหม่ให้ลูกพี่ลูกน้องผมกันล่ะ?” จัวเซ่ากำมัดแน่นและเอ่ยถามชวีกุ้ยเซียงออกไป

ใบหน้าของเด็กหนุ่มแดงก่ำด้วยโทสะ และในขณะเดียวกัน เขาก็พูดสิ่งที่ไม่น่าเชื่อออกมา

การแสดงออกของคนรอบข้างที่มองชวีกุ้ยเซียงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

พวกเขาก็รู้ว่าจัวหรงหมิงและชวีกุ้ยเซียงไม่มีงานทำทั้งคู่ แล้วทำไมพวกเขาถึงซื้อบ้านให้ลูกชายได้กันล่ะ นอกจากว่า...

ชวีกุ้ยเซียง คน ๆ นี้ไร้ยางอายจริง ๆ เอาเงินของคนอื่นไปแล้วยังพูดไปทั่วว่าน้องชายของจัวหรงหมิงเป็นเพียงชาวนาที่ยากจนอีก!

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด