บทที่ 7 เหลียงเฉินผู้ร่ำรวย
ห้องที่จัวเซ่าและจัวถิงอาศัยอยู่เคยเป็นของจัวเจียเป่ามาก่อน ห้องไม่ใหญ่มากนัก ภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าหนึ่งหลังและเตียงขนาดเมตรห้าสิบหนึ่งเตียง นอกจากนี้ยังมีโต๊ะกินข้าวที่ทำจากไม้อีกหนึ่งตัว
โต๊ะตัวนี้ถูกย้ายมาจากบ้านของจัวเซ่า โดยปกติจัวเซ่าและจัวถิงก็จะนั่งทำการบ้านที่โต๊ะตัวนี้
จัวเซ่าเหลือบมองจัวถิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะแล้วนึกถึงเรื่องราวเมื่อชีวิตก่อน ตอนที่เขายังอาศัยอยู่ที่บ้านของลุง เขาและจัวถิงมักจะนอนเตียงเดียวกันเสมอ
ในตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากมาย แต่ตอนนี้เขาที่อยู่ร่างนี้เป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ย่อมคิดมากเป็นธรรมดา
จัวถิงอายุสิบปี เขาอายุสิบห้าปี เห็นได้ชัดว่าไม่เหมาะที่พวกเขาจะยังนอนด้วยกันอีก
ต้องย้ายออกโดยเร็วที่สุด
เมื่อจัวเซ่าทำการบ้านเสร็จแล้ว เขากับจัวถิงก็ไปอาบน้ำ
บ้านของจัวหรงหมิงไม่มีเครื่องทำน้ำอุ่น ทำได้เพียงเทน้ำร้อนลงไปในอ่างล้างหน้าเท่านั้น จากนั้นเติมน้ำเย็นลงไปเพื่อปรับอุณหภูมิให้พอเหมาะแล้วนำมาเทอาบ ต้องอาบแบบนี้เท่านั้น
จัวถิงชินแล้ว อาบเร็วมาก จัวเซ่ารู้สึกว่านี่ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร
“ถิงถิง น้องนอนก่อนได้เลย พี่จะอ่านหนังสือสักหน่อยน่ะ” เมื่ออาบน้ำเสร็จ จัวเซ่าก็เอ่ยบอกถิงถิงในขณะที่ตนกำลังเช็ดหัวให้แห้งอยู่
จัวถิงไม่ได้สระผมจึงไม่ต้องรอให้ผมแห้ง เธอพยักหน้ารับ จากนั้นก็ขึ้นไปนอนบนเตียง
จัวเซ่ายิ้ม แขวนผ้าเช็ดตัวไว้บนเชือกที่ถูกคลึงเอาไว้ภายในห้องนอน จากนั้นก็หยิบหนังสือเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของชั้นปีหนึ่งและสองของโรงเรียนมัธยมต้นขึ้นมาอ่าน
ตอนจัวเซ่าย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ เขาได้นำของบางอย่างมาจากบ้านของเขาด้วย รวมถึงนาฬิกาปลุกที่เขาต้องใช้มือไขในทุก ๆ วัน เมื่อเห็นว่าเป็นเวลาสี่ทุ่มแล้ว จัวเซ่าก็วางหนังสือลงและขึ้นไปนอนที่อีกฝั่งของเตียง
วันรุ่งขึ้นนาฬิกาปลุกดังขึ้นในเวลาตีห้าครึ่ง จัวเซ่าลุกจากเตียง หยิบเอายาสีฟัน แปรงสีฟัน และแก้วน้ำเพื่อไปล้างหน้าในครัว
ห้องน้ำมีขนาดเล็กมาก มีเพียงโถชักโครก ฝักบัว ก๊อกน้ำ ไม่มีอ่างล้างหน้า ดังนั้นจึงแปรงฟันได้แค่ที่อ่างล้างจานในครัว
“ไอ้เลว ฉันจะรอดูว่าแกจะอวดดีไปได้ถึงเมื่อไร” จัวหรงหมิงเพิ่งลุกจากเตียงได้ไม่นานในตอนที่จัวเซ่าออกมาล้างหน้า เขาจ้องมาที่จัวเซ่าก่อนจะเดินออกจากห้องไป
จัวหรงหมิงไม่ได้เล่นไพ่หรือไพ่นกกระจอก เขาแค่ดื่มและออกไปดื่มตั้งแต่เช้าตรู่
ในอำเภอฟูหยางมีผู้สูงอายุจำนวนมาก สิ่งที่เพลิดเพลินที่สุดคือการได้ออกไปกินบะหมี่ที่ร้านบะหมี่ในยามเช้า
คนที่นี่นิยมกินข้าวเป็นอาหารหลัก ด้วยเหตุนี้ทำให้บะหมี่ถูกปรุงขึ้นมาอย่างพิถีพิถัน มีหลากหลายแบบ ทั้งบะหมี่เนื้อปลา บะหมี่ปลานึ่ง บะหมี่ปลาทอด บะหมี่ปลาไหล บะหมี่ไส้หมู บะหมี่ไตหมู บะหมี่เนื้อยักษ์ บะหมี่ซุปไก่ บะหมี่เป็ด ล้วนมีหมด
บะหมี่ทุกแบบล้วนทำทีละชาม เช่น บะหมี่เนื้อปลา เมื่อมีคนสั่งพ่อครัวก็จะเริ่มหั่นปลาสด ๆ ออกเป็นชิ้น ๆ ก่อนจะนำไปทอด จากนั้นนำปลามาทำปลาเปรี้ยวหวาน ใส่ผักดอง หน่อไม้หั่นฝอย และหน่อไม้น้ำลงไปเพื่อทำน้ำซุป แล้วก็นำเส้นบะหมี่ใส่ลงไปในน้ำซุป ปรุงรสอีกเล็กน้อย บะหมี่หนึ่งชามก็เสร็จเรียบร้อย
และสำหรับจัวหรงหมิงที่รักการดื่ม เขาสามารถขอให้เจ้าของร้านทำเครื่องเคียงมาเสิร์ฟให้ก่อนโดยไม่ต้องใส่เส้นบะหมี่ลงไป หลังจากดื่มไปได้สองชาม ค่อยให้ร้านเสิร์ฟบะหมี่ผัดมันหมู
อำเภอฟูหยางมีเหล้ารสเลิศ ทั้งผู้คนยังมีเงินเหลือใช้ หลัก ๆ แล้วพวกเขาก็จะมาชุมนุมกันที่ร้านบะหมี่ตั้งแต่เช้าตรู่ จากนั้นก็จะดื่มไปด้วยนั่งคุยกันไปด้วยไม่ว่าฝนจะตกหรือแดดจะออกก็ตาม
จัวหรงหมิงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเงินจากงานรับจ้างชั่วคราวของเขา ทั้งดื่ม กิน สูบบุหรี่อยู่ทุกวัน โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่มีเงินเหลือเลย
เมื่อจัวหรงหมิงพูดจบก็เดินออกไป ไม่นานชวีกุ้ยเซียงก็ออกไป ก่อนจะไป ยังเหลือบมองมาที่จัวเซ่า “วันนี้ฉันจะไปซื้อซาลาเปามากิน ไม่ได้ทำอาหารเช้า แกก็ไปซื้อกินเองแล้วกัน”
ในตอนที่พ่อแม่ของจัวเซ่าเพิ่งจะเสียใหม่ ๆ เขายังพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ทั้งค่ากระดาษ ปากกา และยาสีฟัน ล้วนเป็นเขาที่ซื้อเองหมด ตอนนี้ไม่มีเหลือแล้ว ชวีกุ้ยเซียงบอกให้เขาซื้ออาหารกินเอง ที่จริงก็คืออยากจะปล่อยให้เขาหิว
หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงจะยืนอยู่ที่นี่ คงไม่มีทางทำอะไรได้เลยนอกจากปล่อยให้ท้องหิว ชวีกุ้ยเซียงเก็บข้าวเอาไว้ในตู้และล็อคตู้เอาไว้
แต่ตอนนี้…
จัวเซ่าใช้เข็มมาปลดล็อคตู้ในครัวอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสี่ซองออกมาจากตู้
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพวกนี้เป็นของที่ราคาถูกที่สุด ในซองมีแค่เครื่องปรุงเท่านั้น จัวเซ่าก็ไม่ได้รังเกียจอะไร นำทั้งสี่ซองลงไปต้มในหม้อเดียวกัน ใส่ชามใบใหญ่ให้จัวถิงหนึ่งชาม จากนั้นตนก็กินส่วนที่เหลือ
ในตอนแรกเขาตั้งในจะทน ๆ ชวีกุ้ยเซียงไปก่อน เพราะตั้งใจจะใช้ชวีกุ้ยเซียงเพื่อทำให้ตนนั้นน่าสงสาร ตอนนี้อาจารย์ที่โรงเรียนต่างก็รู้แล้วว่าเขานั้นน่าสงสาร และแน่นอน นั่นหมายความว่าเขาไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไปแล้ว
หลังจากทานจนอิ่มดื่มจนพอแล้ว จัวเซ่าก็ไปส่งจัวถิงที่โรงเรียนก่อน จากนั้นถึงไปโรงเรียน
แม้ว่าจัวเซ่าจะตื่นเช้ามาก แต่ทั้งทำอาหารเช้า ทานข้าว ไปส่งจัวถิง ก็ใช้เวลาไปชั่วโมงกว่าแล้ว กว่าจะได้ไปโรงเรียนก็เกือบเจ็ดโมง
เวลาศึกษาด้วยตนเองที่ถูกกำหนดโดยอาจารย์หยางจะเริ่มตอนเวลาเจ็ดนาฬิกา เมื่อจัวเซ่ามาถึงห้องเรียน เพื่อนคนอื่น ๆ ก็มาถึงกันหมดแล้ว บางคนก็กำลังลอกการบ้าน บางคนก็กำลังกินซาลาเปาเป็นอาหารเช้าอยู่
จัวเซ่าลืมชื่อและหน้าตาของเพื่อนส่วนใหญ่ในห้องเรียนไปแล้ว แม้ว่าเมื่อวานจะเรียนไปแล้วหนึ่งวัน แต่เขาก็จำหน้าได้แค่ไม่กี่คน คนเดียวที่เขารู้สึกคุ้นเคยมีเพียงเจ้าอ้วนตัวน้อยเหลียงเฉินเท่านั้น สายตาของเขาจ้องไปทางเจ้าอ้วนตัวน้อยโดยธรรมชาติ
เหลียงเฉินมองมาทางจัวเซ่า ดวงตาของทั้งสองสบเข้าหากันพอดี เขาก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาทันที
จัวเซ่าเดินไปหาเหลียงเฉินพร้อมกับกระเป๋านักเรียนของตน เหลียงเฉินเห็นเช่นนั้นก็หยิบนมออกมาจากกระเป๋าทันที “จะ...จัวเซ่า นายเอาไหม?”
ในตอนที่จัวเซ่าเพิ่งมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง เขารู้สึกว่าตราบใดที่เขาดูแลเจ้าอ้วนตัวน้อยต่อไปอีกสักหน่อย ก็อาจป้องกันไม่ให้เจ้าอ้วนถูกลักพาตัวไปได้ แม้ว่าจะต้องใช้เงินล่วงหน้านิดหน่อยก็ไม่เห็นเป็นอะไร
แต่เจ้าเด็กคนนี้จะกระตือรือร้นเกินไปแล้ว
จัวเซ่ารู้สึกเขินขึ้นมาทันที
ตั้งแต่ที่เขาเริ่มรับเจ้าอ้วนตัวน้อยเป็นน้องชาย เจ้าอ้วนก็ทั้งเชื่อฟังทั้งกตัญญูมาก...จัวเซ่ารับนมกล่องนั้นมา
เหลียงเฉินพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็เปิดกระเป๋านักเรียนออก “นาย...นายยังอยากกินอีกไหม?”
ในกระเป๋าเต็มไปด้วยขนม ยัดเอาไว้จนกระเป๋าตุง
จัวเซ่าถึงกับพูดไม่ออก “...”
เมื่อวานหลังจากจัวเซ่ากินขนมของเหลียงเฉินเข้าไป วันนี้เหลียงเฉินตั้งใจเอาขนมมาโรงเรียนมากกว่าเดิม หวังว่าจะได้รับความรักจากจัวเซ่า แต่ครั้งนี้จัวเซ่ากลับไม่ต้องการอะไรเลย
เหลียงเฉินรู้สึกสับสนเล็กน้อย
จัวเซ่าเป็นคนที่ดูดีที่สุดที่เขาเคยเจอมา ผลการเรียนก็ดี…ในตอนที่เหลียงเฉินเรียนอยู่ชั้นประถมก็ชอบจัวเซ่ามาก หลังจากขึ้นชั้นมัธยมต้นปีที่ 1 ทั้งสองได้อยู่ห้องเดียวกัน เหลียงเฉินก็ยิ่งชอบจัวเซ่ามากกว่าเดิม แต่ทั้งสองคนแตกต่างกันมากเกินไป ไม่มีทางที่จะมาคลุกคลีกันได้เลย
เขาหน้าตาไม่ดี พูดติดอ่าง แม้ว่าผลการเรียนของเขาจะไม่ต่ำ แต่อันดับของเขาก็อยู่ที่ยี่สิบของห้อง แม้ว่าเขาจะเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะกับจัวเซ่ามาสองปีแล้ว แต่ก็ไม่กล้าพูดคุยจัวเซ่า พวกเขาไม่เคยคุยกันเลยสักประโยค
แต่เมื่อวานจัวเซ่าขอของกินจากเขาและเอาของที่เขาให้ไป
ในที่สุดเหลียงเฉินก็พบวิธีที่จะสามารถเข้าใกล้จัวเซ่ามากขึ้นแล้ว เหลียงเฉินแทบอดใจรอไม่ไหว อยากจะเอาของให้จัวเซ่าตลอดเวลา อยากจะให้ร้อยแปดสิบครั้งต่อวันไปเลย
แต่วันนี้จัวเซ่ากลับไม่รับของที่เขาให้…
“เดือนหนึ่งนายได้เงินค่าขนมเท่าไรกัน?” จัวเซ่าไม่ได้ต้องการขนมพวกนั้น แต่ก็อดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้
นี่เป็นช่วงต้นปีสองพัน อยู่ในเมืองใหญ่พวกเด็กบ้านรวยมักจะไปกินเคเอฟซีกันในวันหยุด แต่ในอำเภอฟูหยางไม่มีเคเอฟซีสักแห่ง
ในเวลานี้เงินเดือนของคนส่วนใหญ่อยู่ที่หนึ่งถึงสองพันหยวน เด็กได้ค่าขนมเดือนละห้าสิบหยวน ไม่นับรวมอาหารต่าง ๆ ก็ถือว่าดีมากแล้ว
ในตอนที่พ่อแม่ของจัวเซ่ายังมีชีวิตอยู่ หนึ่งเดือนจะให้ค่าขนมเขาห้าสิบหยวน ในบางครั้งที่แม่ของเขาไม่มีเวลาทำอาหารเช้า ก็จะให้เงินเขานิดหน่อยเพื่อให้เขาและจัวถิงไปหาซื้ออาหารข้างนอกกิน…ในเวลานั้นเขาเป็นหนึ่งในคนที่ร่ำรวยที่สุดของห้อง
“หนึ่งเดือนเหรอ? สามพันน่ะ…” เหลียงเฉินเอ่ยตอบ
จัวเซ่าถึงกับพูดไม่ออก “…”
ในชีวิตก่อนไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะเกลียดคนรวย
ไม่แปลกใจเลยที่ทำไมในชีวิตก่อน เขาถึงไถ่เงินเหลียงเฉินวันละสิบหยวนได้โดยไม่มีปัญหาอะไร เจ้าอ้วนตัวน้อยนี่จะเปิดเผยเกินไปแล้ว…เงินค่าขนมต่อเดือนของเจ้าอ้วนตัวน้อยเทียบเท่ารายรับต่อเดือนของบางครอบครัวเสียด้วยซ้ำ
พ่อแม่ของเหลียงเฉินให้เงินค่าขนมเขาแต่ละเดือนเยอะขนาดนี้ วางใจกันได้อย่างไร? ในใจจัวเซ่ามีอีกสองสามคำถามอยากจะถาม ทันใดนั้นก็จำได้ว่าตนเป็นคนเลือกเหลียงเฉินมาเป็นเพื่อนร่วมโต๊ะก็เพราะว่าแม่ของเจ้าอ้วนตัวน้อยเสียไปแล้ว และว่ากันว่าพ่อของเขาก็ไม่ต้องการเขาแล้ว…
ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้สังเกต แต่เห็นได้ชัดว่าพ่อของเขาไม่ได้สนใจเขาเลย จัวเซ่าเหลือบมองเสื้อผ้าที่ไม่เข้ากันของเหลียงเฉิน ก็พบว่าเขาสวมกางเกงลายดอกที่คนแก่มักจะใส่กัน ก็ไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดี
เมื่อไปอยู่กับเหลียงซินในชีวิตก่อน เขาก็ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวตลอดทั้งสิบปีนั่นแหละ
“พ่อให้เงินฉันเดือนละสามพันหยวน วันเกิดหรือตรุษจีนก็ให้เพิ่มอีกนิดหน่อย” เหลียงเฉินเห็นจัวเซ่าไม่พูดอะไรเลยเอ่ยเพิ่มอีกประโยค
จัวเซ่ามองเหลียงเฉินด้วยสายตาที่ซับซ้อนกว่าเดิม
ที่แท้เพื่อนร่วมโต๊ะของตนก็เป็นเศรษฐี…จัวเซ่าตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะดึงสติของตนกลับมา
เขาเคยผ่านโลกมาก่อน ก่อนที่เขาจะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บริษัทของเขามีกำไรสุทธิอยู่ที่ล้านหรือสองล้านหยวน บางครั้งเขาก็ได้รับคำสั่งซื้อจำนวนมาก สามพัน…ยังไม่อะไรเลยสักนิด
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น พูดถึงแค่เหลียงซิน ตอนนี้เขาต้องรวยกว่านี้แน่ พ่อของเหลียงซินเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงของมณฑล ในเวลานี้เขาก็ได้เริ่มซื้อที่ดินและสร้างบ้านเพื่อทำเงินจำนวนมากแล้ว
เมื่อคิดถึงเหลียงซิน จัวเซ่ามองเหลียงเฉินที่มีนามสกุลเดียวกับเหลียงซินก็รู้สึกถูกชะตาขึ้นมานิดหน่อย