บทที่ 7 อาจารย์ใหญ่เลอตกตะลึงของ
บทที่ 7 อาจารย์ใหญ่เลอตกตะลึงของ
ข้อกำหนดนี้มัน... จะเกินไปแล้ว
ในโลกใบนี้ แม้แต่เด็กอนุบาลก็ยังรู้ การกินเนื้อดิบจากสัตว์อสูรจะทำให้คนคลั่งได้
การกินในปริมาณมากอาจถึงแก่ชีวิตได้
การกินเนื้อสัตว์อสูรที่มีเลือด 30 จินทุกวัน...
คงไม่มีใครตั้งคำถามกับเรื่องนี้ คงจะมีเพียงคำถามว่าจะฝังศพที่ไหนมากกว่า
หากเป็นคนธรรมดาทั่วไปก็คงจะเริ่มวิจารณ์เย่เหรินในใจแล้ว
แต่หวังดาชุนแค่ตกใจอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น จากนั้นก็พูดกับเย่เหรินว่า
“ครูเย่ ผมจะไปเอาเนื้อมาเดี๋ยวนี้”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่ง มันดูราวกับว่าเขากำลังเตรียมอาหารกลางวันธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป
เย่เหรินมองหวังดาชุนอย่างเรียบเฉย เขาอดไม่ได้ที่จะถามกลับ
“ดาชุน นายไม่มีข้อสงสัยอะไรเลยงั้นเหรอ?? นี่มันเนื้อดิบจากสัตว์อสูรเลยนะ ถ้านายกินมันเข้าไป นายอาจจะเสียสติก็ได้”
หวังดาชุนพยักหน้าอย่างจริงจังเมื่อเผชิญหน้ากับคำถามของเย่เหริน
“ครูเย่ แน่นอนครับผมรู้ ตอนที่ผมยังเด็ก มีคนในหมู่บ้านของเราเผลอกินเนื้อดิบของสัตว์อสูร ตอนนี้หญ้าบนหลุมศพของเขาสูงเกินกว่าสองเมตรแล้วครับ”
“ถ้างั้นทำไมนายถึงตกลงล่ะ?” เย่เหรินถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น ปฏิกิริยาของหวังดาชุนดูสงบเกินไป
ความสงบนี้ทำให้เย่เหรินสงสัยว่าหมอนี่คิดจะทำตามแผนอย่างลับๆ อยู่แล้วรึเปล่า
หวังดาชุนมองไปที่เย่เหริน ดวงตาใสแจ๋วของเขาเผยให้เห็นถึงความใส่ซื่อ
เขาเกาหัวอย่างเขินอาย “หรือว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่ครูเย่สั่งผมหรอกเหรอครับ?”
เย่เหรินฟังคำตอบง่ายๆ ของหวังดาชุน
เย่เหรินถึงกับอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา
คราวนี้ฉันกลับไปตัดสินคนใสซื่อด้วยจิตใจที่ชั่วร้ายซะแล้ว
เย่เหรินมองหวังดาชุนผู้ซื่อสัตย์อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกอบอุ่นใจ
เย่เหรินเป็นมนุษย์มาแล้วสองชาติ และเย่เหรินก็เป็นผู้ใหญ่มานานมากแล้ว
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะได้รับความไว้วางใจที่บริสุทธิ์เช่นนี้
เย่เหรินตบไหล่หวังดาชุน “พยายามเข้าล่ะ ฉันเชื่อว่าภายในเวลาไม่ถึงเดือนนี้ นายจะต้องได้เกิดใหม่แน่”
หวังดาชุนฟังคำให้กำลังใจของเย่เหริน เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง
“ครับครูเย่ ผมจะนำไปปฏิบัติอย่างระมัดระวัง”
ยิ่งเย่เหรินมองหวังดาชุนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งพอใจมากขึ้นเท่านั้น
ครูคนไหนบ้างที่จะไม่ภาคภูมิใจที่มีลูกศิษย์เต็มใจ และไว้ใจเขามากขนาดนี้
เมื่อมีลูกศิษย์อย่างหวังดาชุน อย่างน้อยก็รับประกันผลงานส่วนตัวในการสอบปลายภาคได้แล้ว
เย่เหรินมองดูหวังดาชุนเดินจากไป
เย่เหรินก็เก็บข้าวของเตรียมกลับไปที่ห้องเรียน
เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจนกว่าจะถึงปลายภาค
การทำให้นักเรียนเพียงคนเดียวเก่งกาจได้มันยังไม่เพียงพอ ในการประเมินผลขั้นสุดท้าย นอกจากการต่อสู้แบบเดี่ยวแล้ว ยังมีการต่อสู้แบบกลุ่มอีกด้วย
เย่เหรินต้องทำงานหนัก เขายังต้องขยันกว่านี้ เขาจะต้องค้นหาอัจฉริยะอีกสักสองสามคนจากชั้นเรียน
แต่หวังดาชุนก็ทำให้เขาได้เห็นอะไรบางอย่าง
น่าจะมีคนหนุ่มสาวที่มีพรสวรรค์มากมายในชั้นเรียนที่เขาต้องออกค้นหา
ท้ายที่สุดแล้วในสถาบันเกาอู่แห่งมหานครเวทมนตร์แห่งนี้ก็เป็นหนึ่งในสิบมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศ ในเมื่อนักเรียนสอบเข้ามาได้ พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่จะต้องเก่งกาจและมีพรสวรรค์อยู่แน่
ส่วนสาเหตุที่พวกเขามาอยู่ที่ชั้นเรียนห่วยๆ แบบนี้ พวกเขาก็คงจะมีเหตุผลเป็นของตัวเอง
เมื่อคิดแบบนี้
เย่เหรินอดไม่ได้ที่จะลูบคาง ดวงตาของเขาแสดงความคาดหวังออกมา
ในขณะนั้น ที่สำนักงานวิชาการ
เลอวั่นอี้ กำลังตรวจเอกสารอยู่ที่โต๊ะทำงานของเธอ
วันนี้เธอรู้สึกไม่สบายใจ ทำให้ลายมือของเธอดูไม่งดงามเหมือนเคย
เธอนึกถึงตอนที่ตัวเองยืนอยู่บนแท่นบรรยายของชั้นปีที่ 1 ห้อง 2 ในวันนี้ เธอนึกถึงนักเรียนที่ไม่ตั้งใจเรียน เมื่อนึกถึงเรื่องนั้นก็ทำให้เธอรู้สึกโกรธอีกครั้ง
และเย่เหริน
ผลการเรียนของชั้นเรียนที่เขาดูแลนั้นแย่มาก
แต่เขากลับยังคงทำตัวเป็นกลาง ยังดูไม่แยแสเหมือนเคย
“ฮึ่ม ไอ้เย่เหริน ตาบ้านี่ นี่นายยังยิ้มออกอีกเหรอ!!”
เลอวั่นอี้นึกถึงเย่เหริน เธอรู้สึกไม่พอใจ แก้มที่ป่องเล็กน้อยทำให้ใบหน้าที่เย็นชานั้นดูน่ารักมากขึ้น
เลอวั่นอี้นึกถึงใบหน้าที่ไม่แยแสของเย่เหริน เธออดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
“นี่นายไม่รู้จริงๆ หรือไงว่าฉันมาที่นี่ทำไม...”
เลอวั่นอี้ พึมพำกับตัวเอง เธอมองไปที่ตุ๊กตาบนโต๊ะทำงาน
มันคือตุ๊กตาดินเผารูปเด็กผู้หญิง
นี่คือของขวัญที่เย่เหรินเคยมอบให้เธอ เลอวั่นอี้พกมันติดตัวตลอดเวลา
“ก๊อก ก๊อก ก๊อก!”
เสียงเคาะประตูอย่างรวดเร็วดึงสติเลอวั่นอี้กลับมา
เลอวั่นอี้กลับไปสู่บุคลิกของหญิงสาวผู้เย็นชาและแข็งแกร่งในทันที “เข้ามาได้”
คนที่เดินเข้ามาคือ หวังเสี่ยวหม่าน ผู้ช่วยของเลอวั่นอี้
ข้างหลังของเธอคือ ชายร่างท้วม ซูโหย่วไฉ่ หัวหน้าแผนกจัดหาวัสดุ
“อาจารย์ใหญ่เลอ อาจารย์ซูมีเรื่องเร่งด่วนจะรายงานค่ะ”
“อาจารย์ซู? เป็นแขกที่ไม่ได้พบกันง่ายๆ เลยนะ ปกตินายก็มักจะหลีกเลี่ยงแผนกจัดหาของเรามาโดยตลอด ทำไมวันนี้นายถึงมาที่นี่พร้อมกันได้ล่ะ?”
ฝ่ายวิชาการและการเงินของสถาบันเกาอู่แห่งมหานครเวทมนตร์นั้นแยกจากกัน โดยปกติทั้งสองฝ่ายจะตรวจสอบและถ่วงดุลกัน เพื่อให้แน่ใจว่าสถานศึกษาจะดำเนินไปอย่างราบรื่น
เลอวั่นอี้ผายมือให้หวังเสี่ยวหม่านไปรินน้ำ ก่อนจะมองไปที่ซูโหย่วไฉ่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซูโหย่วไฉ่ยื่นท้องอันใหญ่ของเขาออกมา ก่อนจะพูดด้วยสำเนียงทางใต้อันเป็นเอกลักษณ์ของเขา “อาจารย์ใหญ่เลอพูดเกินไปแล้ว พวกเราก็อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน ไม่แปลกที่พวกเราจะได้เจอกัน”
เลอวั่นอี้เป่าชาในถ้วยเบาๆ “ฉันกลัวว่าไก่ตัวใหญ่อย่างนายจะมาตัดเสบียงของนักศึกษาปีหนึ่งของเราน่ะสิ”
“อาจารย์ใหญ่เลอ ผมไม่ใช่ไก่อะไรนั่นหรอกนะ นี่คุณกำลังพูดถึงอะไร? ผมซูโหย่วไฉ่ ทุ่มเททั้งชีวิตและเลือดเนื้อให้กับนักศึกษาใหม่ ผมอุทิศเลือดเนื้อของผมให้กับอาจารย์และนักเรียน อาจารย์ใหญ่เลอ คุณกำลังทำให้หัวใจของผู้จงรักภักต้องด้านชานะ”
ก็พูดเอาใจไปงั้นแหละ...
เลอวั่นอี้หรี่ตาลงก่อนจะมองไปที่ซูโหย่วไฉ่ “นายต้องใช้เวลาอยู่กับสำนักงานวิชาการของเรานานมากแค่ไหนกันนะ นายคิดว่าฉันจะเชื่องั้นเหรอ? บอกมาเถอะ วันนี้นายมาทำอะไรกันแน่?”
ซูโหย่วไฉ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เขาหัวเราะอย่างเคอะเขิน
“อาจารย์ใหญ่เลอ ถ้าคุณพูดแบบนั้นแล้ว วันนี้ผมก็มีเรื่องเล็กน้อยที่อยากจะขอความช่วยเหลือ...”
“อาจารย์ซูนี่พูดอะไรอยู่? เห็นไหมว่าหน้าต่างในสำนักงานวิชาการของเรามันเก่าแค่ไหน มันผุพังจนฉันแทบจะไม่ได้ยินสิ่งที่นายพูดเลย”
ก่อนที่ซูโหย่วไฉ่จะพูดจบ เลอวั่นอี้ก็ขัดจังหวะเขาซะก่อน
ซูโหย่วไฉ่มองเลอวั่นอี้เงียบๆ
หน้าต่างของสำนักงานวิชาการเป็นแบบโลหะผสม แถมมันยังมีรูอีก!!
ซูโหย่วไฉ่เห็นท่าทางของเลอวั่นอี้ หัวใจของเขาก็จมดิ่งลงเล็กน้อย
จบกัน จบกัน วันนี้ดูเหมือนจะต้องเสียเลือดเนื้อเสียเนื้อกันบ้างแล้ว...
ซูโหย่วไฉ่ดูอายๆ ก่อนจะพูดด้วยความเจ็บปวด
“เมื่อครั้งที่แล้ว ผมไม่ได้อนุมัติเงินทุนในการบำรุงรักษาสำนักงานวิชาการ อาจารย์ใหญ่เลอ ได้โปรดช่วยด้วยครับ”
เลอวั่นอี้ยิ้มให้กับซูโหย่วไฉ่ที่กำลังเจ็บปวด แต่เธอก็ยังคงนิ่งเฉย
ซูโหย่วไฉ่สูดหายใจเข้าลึกๆ
เขาเอามืออ้วนๆ ปิดหน้าอก ก่อนจะทำหน้าเศร้า ท้ายที่สุดแล้วเขาก็โกรธจนกัดฟัน ก่อนจะยื่นนิ้วออกไปหนึ่งนิ้ว “อาจารย์ใหญ่เลอ ครั้งที่แล้วที่คุณขอให้ผมอนุมัติเลือดเนื้อมังกรหมึกสามพันชุด ผมก็อนุมัติไปแล้วนะ นี่มันคือเส้นตายสุดท้ายแล้วจริงๆ!!”
หลังจากได้ยินคำตอบที่น่าพอใจ เลอวั่นอี้จึงพูดต่อ “ก็ว่ามาสิ มีเรื่องอะไร?”
ซูโหย่วไฉ่มองเลอวั่นอี้ด้วยความไม่พอใจ “อาจารย์ใหญ่เลอ ผมไม่เข้าใจเลยนะ ผู้หญิงโสดอย่างคุณจะประหยัดเงินไปทำไม? ใครแต่งงานกับคุณก็คงจะมีบุญไปแปดชาติแน่”
“นายยังอยากจะให้ช่วยอีกรึเปล่า?”
“ช่วยครับ! ช่วยแน่นอน! เรื่องนั้นมันใกล้จะถึงบทสรุปแล้ว”
ซูโหย่วไฉ่หยิบเอาแท็บเล็ตออกมาอย่างรีบร้อน ก่อนจะส่งให้เลอวั่นอี้ราวกับว่ากลัวเลอวั่นอี้จะเปลี่ยนใจ
เลอวั่นอี้รับแท็บเล็ตมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เธอเริ่มอ่านสิ่งที่อยู่ภายใน
ซูโหย่วไฉ่ที่ยืนอยู่ด้านข้างทำหน้าบูดบึ้ง เขาอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา
“ใครจะไปรู้ วันนี้มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งทำลายหุ่นยนต์โลหะผสมลายเวทย์มนตร์ไป! รู้รึเปล่าว่ามันแพงแค่ไหน? ราคามันสูงกว่างบทั้งหมดของที่แผนกวัสดุของเราในหนึ่งปีรวมกันอีก!”
“อาจารย์ใหญ่เลอ คุณต้องเซ็นให้เรานะ แผนกวัสดุของเราไม่ได้ลดต้นทุนในการผลิตโลหะผสมลายเวทย์มนตร์ตัวนี้แน่!”
ซูโหย่วไฉ่ยืนอยู่ด้านข้างพลางบ่นพึมพำราวกับหญิงสาวผู้ขุ่นเคือง เขากลัวว่าเลอวั่นอี้จะไม่เซ็นใบรับรองให้เขา
แต่เลอวั่นอี้จ้องไปที่ภาพบนแท็บเล็ต เธอไม่สนใจในสิ่งที่ซูโหย่วไฉ่กำลังพูด
ทำลายหุ่นยนต์โลหะผสมลายเวทย์มนตร์งั้นเหรอ?
ค่าพลัง 1012 ?
และยังอยู่ในห้องฝึกฝนสำหรับนักศึกษาใหม่โดยเฉพาะ?
ผู้สอนที่มีประสบการณ์รู้ดีว่าเงื่อนไขทั้งสามข้อนี้มันหมายถึงอะไร...
ดวงตาของเลอวั่นอี้เป็นประกาย
เธอวางแท็บเล็ตลง เธอจ้องไปที่ซูโหย่วไฉ่ ก่อนจะพูดทีละคำ
“บอกมาสิ ว่าคนคนนั้นอยู่ที่ไหน???”