บทที่ 6: ข้อห้าม
บทที่ 6: ข้อห้าม
ลู่หย่วนหมิงออกแรงเตะซากศพของปีศาจออกไปจากปากหลุม แล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาจากหลุมนั้น
รอบข้างนิ่งเงียบสงัด มีเพียงเสียงอึกทึกเล็ดลอดมาแต่ไกล ส่วนดาดฟ้าและชั้นล่าง ๆ ของตึกนี้ไม่มีแม้แต่ซึ่งเสียงใด ๆ
เห็นได้ชัดว่าสิบกว่าวันที่ผ่านมา ฝูงปีศาจได้จากไปไกลแล้ว
ส่วนปีศาจตนที่เขาสังหารก็เริ่มเน่าเปื่อย ร่างกายท่อนล่างเต็มไปด้วยรอยกัดแทะ เผยให้เห็นอวัยวะภายในและโครงกระดูกสีดำสนิท ทำให้ปีศาจทั้งตัวยิ่งดูน่าสะพรึงกลัว กลิ่นเหม็นเน่าโชยตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
ลู่หย่วนหมิงรีบออกจากห้องนั้นพลางสำรวจร่างกายตัวเองไปด้วย
ร่างกายที่เคยบาดเจ็บสาหัสกลับฟื้นฟูจนสมบูรณ์แล้ว แขนขาอยู่ครบถ้วน แม้แต่รอยแผลจากการถูกเหล็กเสียบก็หายสนิท
"เป็นเพราะกลับเข้าร่างหรือเปล่านะ? "
ลู่หย่วนหมิงพึมพำกับตัวเอง เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะการข้ามมิติทำให้ร่างกายฟื้นฟู หรือเป็นเพราะร่างกายรักษาตัวเองเมื่อวิญญาณกลับเข้าร่าง
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด นี่ก็เป็นโชคดีของเขา
จากนั้น ลู่หย่วนหมิงก็สำรวจชั้นนี้ด้วยความระมัดระวัง หลีกเลี่ยงกำแพงที่พังทลาย หน้าต่างที่เปิดอ้า เพื่อไม่ให้ใครมองเห็นเขาจากข้างนอก
ปีศาจพวกนั้นมีสายตาเฉียบคม พวกมันมองเห็นเขาและคนอื่น ๆ บนดาดฟ้าจากชั้นล่างสุด ลู่หย่วนหมิงไม่รู้ว่าในโลกหลังความตายนี้มีปีศาจมากแค่ไหน และพวกมันมองเห็นเขาจากระยะไกลได้หรือไม่ เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เขาจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยตัว
ตอนที่เขามายังโลกหลังความตายครั้งก่อน เขาถูกปีศาจไล่ล่าตั้งแต่บนดาดฟ้า จึงยังไม่ได้สำรวจชั้นต่าง ๆ ของตึกนี้เลย ครั้งนี้เมื่อได้สำรวจดูแล้วก็พบว่าชั้นนี้เดิมทีน่าจะเป็นสำนักงาน บนพื้นมีเศษกระดาษที่พอจะมองเห็นเป็นกราฟธุรกิจราง ๆ ซึ่งแทบจะไม่มีค่าอะไรเลย
นอกจากนี้ยังมีเศษเฟอร์นิเจอร์ ลู่หย่วนหมิงพบปากกา พาวเวอร์แบงค์ ที่ตัดเล็บ เครื่องสำอาง และข้าวของกระจุกกระจิกอื่น ๆ เต็มไปหมด ของพวกนี้ส่วนใหญ่เสียหาย ของที่เป็นเทคโนโลยียิ่งเสียหายหนัก เช่น พาวเวอร์แบงค์พังเสียหายจนใช้การไม่ได้ ในทางกลับกัน ของอย่างที่ตัดเล็บยังพอใช้การได้อยู่
เมื่อมองลอดหน้าต่างและกำแพงที่พังทลายออกไป ลู่หย่วนหมิงก็มองเห็นสถานที่สำคัญบางแห่งของนิวยอร์ก แต่สภาพก็พังทลายเสียหายอย่างหนัก ดูเหมือนเพิ่งผ่านสงครามมา อาคารบางแห่งพังทลาย บางแห่งก็เหลือเพียงซากปรักหักพัง แทบไม่มีอาคารใดที่ยังคงสภาพสมบูรณ์
ทำไมโลกหลังความตายถึงเป็นนิวยอร์กที่พังพินาศแบบนี้?
ใครเป็นคนสร้างเมืองนี้ในโลกหลังความตาย?
ทำไมถึงสร้างเลียนแบบโลกของคนเป็นทุกอย่าง?
แล้วทำไมถึงพังทลาย? หรือว่าเกิดสงครามขึ้นจริง ๆ งั้นเหรอ?
คำถามเหล่านี้ทำให้ผมไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ในขณะที่กำลังสำรวจอยู่นั้น ผมก็ได้ยืนยันแล้ว ยืนยันอีกว่า ผมแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ
จากพละกำลังที่ระเบิดออกมาจากสองมือ ความเร็วในการวิ่ง และอื่น ๆ ผมแข็งแรงขึ้น มีพลังมากขึ้น เร็วขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นจนถึงขั้นเวอร์วังอลังการ แต่พลังและความเร็วของผมก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในเวลาเพียงสิบกว่าวัน ผมก็เปลี่ยนจากคนติดยาขี้ยา กลายเป็นชายร่างกำยำที่ออกกำลังกายเป็นประจำแล้ว
หลังจากทดสอบหลายครั้ง ผมก็มั่นใจมากว่า การที่วิญญาณแข็งแกร่งขึ้นไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน
นั่นหมายความว่า อนุภาคแสงสีขาวที่ได้จากการฆ่าสัตว์ประหลาด สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับวิญญาณของผมได้จริง ๆ !
แต่นั่นก็หมายความว่าผมต้องไปโจมตีสัตว์ประหลาด ฆ่ามัน ถึงจะได้อนุภาคแสงสีขาวมาอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็เท่ากับเอาชีวิตไปเสี่ยง
เวลาผ่านไป สิบกว่าชั่วโมงต่อมา ผมก็สำรวจมาถึงชั้นกลางของตึกนี้แล้ว เพราะผมกลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดซ่อนอยู่ในตึกนี้ ผมจึงสำรวจแต่ละชั้นอย่างระมัดระวัง ความเร็วในการสำรวจจึงช้ามาก และแล้วผมก็พบซากศพของไอ้โง่ขาวดำและไอ้ตำรวจผิวขาวที่ชั้นกลางนี้
ซากศพทั้งสองนั้นดูไม่ออกแล้วว่าเป็นคน ไม่ว่าจะเป็นเนื้อหนังเครื่องในหรือกระดูก สัตว์ประหลาดกินจนแทบไม่เหลือ มีเพียงรอยเลือดและเศษกระดูกเล็กน้อยที่เป็นหลักฐานว่าสิ่งเหล่านี้เคยเป็นมนุษย์มาก่อน
ตอนที่ผมเห็นซากศพของไอ้โง่ดำ ผมไม่ได้รู้สึกสะใจที่แก้แค้นได้เลย กลับมีแต่ความกลัว ตัวสั่น และอยากจะอาเจียน
ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง ผมถึงจะเอาชนะความขยะแขยงและความกลัวในใจนี้ได้ แล้วก็ค่อย ๆ สำรวจชั้นนี้ โดยเฉพาะบริเวณรอบ ๆ ซากศพทั้งสอง และแน่นอน ผมก็เจอปืนพกของตำรวจคนนั้น!
ตอนที่เจอปืนกระบอกนี้ หัวใจผมเต้นแรงจนแทบจะเป็นลม ผมกำปืนไว้แน่น สักพักก็คิดอะไรขึ้นได้ จึงค่อย ๆ หันปากกระบอกปืนไปข้างหน้า แล้วเริ่มสำรวจแม็กกาซีน
นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมได้จับปืน ไม่นับตอนฝึกทหาร เพราะตอนฝึกทหารก็คงไม่มีใครให้ผมเล่นปืนหรอก แค่เอาปืนวางไว้บนพื้นให้ผมคลานไปยิงเท่านั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะใส่กระสุนหรือใส่แม็กกาซีนเข้าไปยังไง
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้จับปืนจริง ๆ ผมทำตามความทรงจำ เลียนแบบท่าทางการใส่แม็กกาซีนของตำรวจผิวขาวที่เคยเห็น ตรวจสอบที่ด้ามจับด้านหลังของปืน แล้วก็ถอดแม็กกาซีนออกมาได้
"ขอร้องล่ะ ขอให้เหลือสักหนึ่งหรือสองนัดก็ยังดี แค่หนึ่งหรือสองนัด..."
ในขณะที่ผมพึมพำเบา ๆ สายตาก็เหลือบไปเห็นแม็กกาซีน พอเห็นก็ถึงกับอึ้งไปเลย
ในแม็กกาซีนเหลือกระสุนตั้งเจ็ดนัด!
เป็นไปได้ยังไง!?
ผมจมอยู่ในห้วงความคิด
นี่เป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ
ตอนนี้ผมลืมความกลัวตอนที่เห็นซากศพของทั้งสองไปแล้ว ผมเริ่มสำรวจสถานการณ์บนชั้นนี้อีกครั้ง
ซากศพของไอ้โง่ขาวดำทั้งสองถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ แต่จากตำแหน่งที่กระจายอยู่ ก็พอจะเดาได้ว่าทั้งสองคนถูกฆ่าตรงไหน ซึ่งก็คือโถงกลางชั้นนี้ กว้างขวาง มองเห็นได้ชัดเจน จึงไม่น่าจะถูกสัตว์ประหลาดจากด้านข้างจู่โจมได้
ตามที่ผมจำได้ ความเร็วในการวิ่งของสัตว์ประหลาดพวกนี้ ถ้าตำรวจผิวขาวเห็นสัตว์ประหลาด เขาก็น่าจะยิงกระสุนในปืนจนหมดภายในเวลาอันสั้น ในช่วงเวลานั้น ความเร็วของสัตว์ประหลาดยังไม่น่าจะเข้าใกล้ตำรวจผิวขาวได้
แล้วทำไมถึงใช้กระสุนไปแค่สามนัดล่ะ?
ผมครุ่นคิดอย่างหนัก พยายามทำความเข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ถึงขั้นลองเลียนแบบท่าทางของตำรวจผิวขาวคนนั้นกลางโถงทางเดิน
เห็นปีศาจ ชักปืน ยิงปัง! นัดแรก ปัง! นัดที่สอง ปัง! นัดที่สาม...
ไม่ถูกต้อง!
ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ถ้าเป็นแบบที่ผมลองทำเมื่อกี้ ตำรวจคนนั้นต้องยิงจนกระสุนหมดแม็กแน่ ๆ ตอนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ถึงทำให้เขายิงไปแค่สามนัด หรือว่าไอ้คนจรจัดผิวดำนั่นมันแทงข้างหลังเขาอีกรอบ?
ก็ไม่น่าจะใช่อีก จากที่ผมรู้มา ความขัดแย้งระหว่างคนขาวกับคนดำในอเมริกามันรุนแรงมาก ถึงขั้นแบ่งแยกสังคมอเมริกันเลยทีเดียว พอ ๆ กับปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเพศเลยล่ะ แต่ในเมื่อตำรวจผิวขาวโดนคนจรจัดผิวดำแทงข้างหลังไปแล้ว มันไม่มีทางที่เขาจะไม่ระวังตัวหรอก ดูจากตำแหน่งของศพทั้งสองก็รู้แล้ว คนจรจัดนอนตายห่างจากตำรวจอย่างน้อยตั้งห้าเมตร
ผมเลยเดาว่าตอนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ทำให้ตำรวจยิงไปแค่สามนัด แล้วก็เลิกยิง...
"ปืนใช้ไม่ได้!? "
ผมสรุปออกมาแบบนั้น
จากสถานการณ์ที่ผมลองสมมติขึ้นมา มีแค่ตอนยิงปืนแล้วกระสุนไม่ออก หรือไม่ก็ยิงแล้วไม่มีความรุนแรงเลย นั่นแหละถึงจะทำให้ตำรวจตกใจ เขาเลยลองยิงนัดที่สอง แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิม เขาเลยยิงนัดที่สาม ซึ่งก็ยังเป็นเหมือนเดิม พอเป็นแบบนี้ ปฏิกิริยาของคนทั่วไปก็ต้องวิ่งหนีสิ ไม่ใช่ยืนยิงต่ออยู่แบบนั้น ใครจะไปลองยิงนัดที่สี่ในสถานการณ์แบบนั้นล่ะ ถ้าสามนัดแรกมันออกมายังไง นัดที่สี่มันก็ต้องเหมือนเดิมอยู่แล้ว
พอคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา ผมก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว
ปืนคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมนุษย์ในยุคนี้ ถ้าไม่นับพวกพาหนะหรืออาวุธสงคราม ปืนก็คืออาวุธประจำกายที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด มันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเหนือกว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกของมนุษย์
ถ้าปืนใช้ไม่ได้ ไม่ว่าจะยิงไม่ออก หรือยิงแล้วไม่มีอานุภาพทำลายล้าง กำลังรบของมนุษย์ก็จะถอยหลังไปเป็นร้อย ๆ ปี จากยุคอาวุธสมัยใหม่ กลับไปสู่ยุคอาวุธโบราณ ซึ่งสำหรับคนที่ต้องเผชิญหน้ากับฝูงปีศาจในโลกหลังความตายแบบนี้ มันคือข่าวที่เลวร้ายสุด ๆ
ผมไม่รอช้า รีบควักกระสุนออกมาจากแม็กกาซีน แล้วก็ลองทำตามที่เคยเห็นในหนังหรือละคร นั่นคือเอาเศษหินมาค่อย ๆ งัดตรงร่องปลอกกระสุนออก แล้วก็ออกแรงกดตรงฐานกระสุนจนเปิดออก จนเห็นดินปืนข้างใน
แล้วผมก็ถึงกับตะลึง
พอเปิดกระสุนออกมา ดินปืนที่ไหลออกมา กลับกลายเป็นทรายต่อหน้าต่อตาผม ใช่แล้ว ทรายแบบที่อยู่บนพื้นนั่นแหละ ผมกล้าสาบานเลยว่ามันเปลี่ยนไปจริง ๆ ตอนแรกที่เทออกมามันยังเป็นดินปืนอยู่เลย แต่พอมองดูไปเรื่อย ๆ ดินปืนมันก็กลับกลายเป็นทราย
กระสุนใช้การไม่ได้แล้ว!
อาวุธสมัยใหม่ถูกปิดตาย!
ในที่สุดโลกหลังความตายก็เผยให้เห็นด้านที่แปลกประหลาดต่อหน้าผม
ความแปลกประหลาดและความไร้เหตุผลที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์!