บทที่ 5 รากวิญญาณชั้นสูง สั่นสะท้านไปทั่วตระกูล
“ครั้งก่อนเรื่องนั้นเป็นฝีมือของฉีเฟิงรึ” ฉินฉางชิงเบิกตากว้าง ย้อนกลับไปประมาณครึ่งปีที่ผ่านมา เจี่ยเฉียงเคยโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ยืนหน้าประตูเรือนด้วยเนื้อตัวที่เปื้อนไปด้วยสิ่งสกปรก ทำให้ใครต่อใครต่างหัวเราะขบขันเขาเป็นเวลานาน เจี่ยเฉียงรู้สึกเสียหน้าไปมาก จึงแค้นใจไม่หาย แต่กลับไม่อาจสืบหาตัวคนร้ายได้เลย
“ไอ้เจ้าตัวแสบ! เดี๋ยวกลับไปข้าจะจัดการเจ้านั่นแน่!” ฉินฉางชิงรู้ดีว่าฉีเฟิง ลูกชายคนรองนั้นซุกซนเพียงใด แต่ไม่คิดว่าจะกล้าได้ถึงเพียงนี้ “ยันต์ระเบิดวิญญาณ” เป็นยันต์พื้นฐานที่ไม่จำเป็นต้องใช้พลังปราณก็สามารถจุดระเบิดได้ด้วยหินวิญญาณ แม้พลังจะไม่มาก แต่ระเบิดสิ่งสกปรกให้กระจายไปทั่วได้อย่างแน่นอน
ฉินเมิ่งโหรวพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่แค่พี่ชายรองนะเจ้าคะ ยังมีพี่ชายสาม พี่ชายหก น้องชายฉีเผิง แล้วก็พี่ชายฉีหู่จากตระกูลสวีด้วย…” เด็กน้อยนับนิ้วบอกชื่อเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดทีละคน จนทำเอาฉินฉางชิงขบกรามแน่น
“พวกเจ้าช่างทำให้ข้าปวดหัวเสียจริง! คราวหน้าอย่าทำเรื่องเช่นนี้อีกแล้วนะ! เดี๋ยวข้าจะทำหัวกระต่ายเผ็ดๆ ให้กินกัน!”
“กระต่ายออกจะน่ารัก ทำไมต้องกินหัวมันด้วยล่ะ”
“งั้นไม่กินแล้วนะ?”
“ข้าจะกินขากระต่าย!”
“...ก็ได้”
——สามปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว
บัดนี้เรือนของฉินฉางชิงกลายเป็นเรือนที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาบุตรเขยด้วยกัน เพราะจำนวนบุตรของเขาเพิ่มขึ้นเป็นสี่สิบเก้าคน หากเรือนเล็กกว่านี้ก็คงจะไม่พอ ซึ่งตระกูลฉินก็อนุญาตเป็นกรณีพิเศษ ใครใช้ให้เขามีลูกมากมายเช่นนี้กันเล่า!
“ท่านพี่ ท่านว่าเจ้าฉีหมิงจะมีรากวิญญาณหรือไม่” ฉินเว่ยเว่ยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงกังวลขณะที่ช่วยแต่งกายให้ฉินฉางชิง เวลาผ่านไปถึงหกปี แต่ใบหน้าของฉินฉางชิงกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย ทั้งนี้เพราะมีระบบคอยช่วยเหลือ และหินวิญญาณที่ช่วยยืดอายุขัย รูปลักษณ์ของเขาจึงคงอยู่ในช่วงที่หล่อเหลาที่สุดตลอดเวลา
“วางใจเถิด บุตรของเราต้องไม่ธรรมดาแน่!” ฉินฉางชิงยิ้มตอบ
“ท่านแน่ใจได้อย่างไร” ฉินเว่ยเว่ยกลอกตามองเขา นึกในใจว่า ‘ข้าปลูกต้นกล้าอันทรงพลังด้วยตนเอง จะไม่แน่ใจได้อย่างไร’ แต่ฉินฉางชิงเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ
ที่ลานใหญ่ของตระกูลฉินในขณะนี้มีผู้คนมารวมตัวกันมากมาย ทั้งสมาชิกหลักของตระกูลฉินและบุตรเขยที่พาบุตรหลานมาด้วย
“ไม่รู้ว่าวันนี้จะมีผู้ที่มีรากวิญญาณหรือไม่ ปีที่แล้วไม่มีเลยสักคน”
“ใครจะรู้ล่ะ ต้องอาศัยโชคดีล้วนๆ บางทีปีนี้อาจมีผู้มีรากวิญญาณมาก็ได้!”
“ข้าคิดว่าคงยาก หากมีรากวิญญาณชั้นต่ำมาเพียงคนเดียวก็ถือว่าขอบคุณสวรรค์แล้ว!”
เมื่อเห็นว่าทุกคนมาพร้อมหน้าแล้ว ฉินเหวินป๋อก็เดินออกมายังกลางลานพร้อมเรียกชื่อขึ้นว่า “ฉินเจียง!”
ท่ามกลางฝูงชน เด็กชายอายุหกเจ็ดขวบเดินออกมาด้วยท่าทีตื่นเต้น ฉินฉางชิงแม้จะเป็นบุตรเขยที่มีบุตรคนแรก แต่ตระกูลฉินยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมีบุตรเขยแค่เขาคนเดียว และในตระกูลหลักเองก็มีบุตรหลานส่งมาเข้ารับการตรวจสอบรากวิญญาณเช่นกัน
ฉินเหวินป๋อพยักหน้าและกล่าวว่า “วางมือไว้บนหินตรวจวิญญาณแล้วปล่อยจิตใจให้ว่างเปล่า” ฉินฉีหลิงทำตามคำแนะนำ รออยู่ราวสิบลมหายใจ แต่หินตรวจวิญญาณกลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทำให้ฝูงชนถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
ฉินเหวินป๋อมองเด็กน้อยด้วยสายตาผิดหวัง ก่อนโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไม่มีรากวิญญาณ คนต่อไป!”
ฉินฉีหลิงก้มหน้ากลับไปหาพ่อแม่ของเขาด้วยความผิดหวังและร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา เขาเองก็รู้ดีว่าการไม่มีรากวิญญาณหมายความว่าชีวิตนี้จะต้องอยู่ในฐานะคนธรรมดาเท่านั้น พ่อแม่ของเขาเองก็ผิดหวังเช่นกัน แต่ก็ปลอบประโลมลูกด้วยความรัก
“ฉินอวี่ ไม่มีรากวิญญาณ คนต่อไป!”
…
“ฉินซาน ไม่มีรากวิญญาณ คนต่อไป!”
เสียงเรียกของฉินเหวินป๋อดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ฝูงชนเองก็รู้สึกตื่นเต้นแล้วต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ฉินเสี่ยวเยว่ รากวิญญาณชั้นต่ำ!” เสียงตื่นเต้นของฉินเหวินป๋อดังขึ้นทันใด ทำให้บรรยากาศรอบๆ คึกคักขึ้น ผู้คนต่างจับจ้องไปยังเด็กหญิงที่ยืนอยู่ข้างหินตรวจวิญญาณ
“ยินดีด้วยพี่โจว ได้บุตรสาวชั้นดีเชียวนะ!” ผู้คนพากันแสดงความยินดีต่อชายร่างสูงที่ยืนอยู่ เขาเองก็ยิ้มตอบด้วยความดีใจที่กลั้นไม่อยู่
“เยี่ยมมาก!” ฉินเหวินป๋อเองก็ยิ้มพร้อมลูบหัวเด็กหญิงฉินเสี่ยวเยว่ด้วยความเอ็นดู “กลับไปหาพ่อเจ้าก่อนได้เลยนะ”
นี่คือการให้เกียรติที่สมควรต่อผู้ที่มีรากวิญญาณ
“คนต่อไป ฉินฉีหมิง!”
เสียงเรียกของฉินเหวินป๋อทำให้ฉินฉีหมิงตื่นเต้นขึ้นมาทันใด เขาเงยหน้ามองฉินฉางชิงที่ยืนอยู่ ฉินฉางชิงยิ้มพร้อมตบไหล่ให้กำลังใจว่า “ไปเถอะ เจ้าเก่งที่สุดแน่นอน!”
ฉินฉีหมิงเดินมายังลานกลาง ฉินเหวินป๋อรู้จักเด็กคนนี้ดีทีเดียว เพราะเขาเป็นบุตรชายของยอดบุตรเขยแห่งตระกูลฉิน ผู้มีลูกมากที่สุดในตระกูล
เมื่อตอนที่ฉินฉีหมิงเกิดมา ฉินเหวินป๋อเองก็เคยไปเยี่ยมชม
เมื่อฉินเหวินป๋อแนะนำ ฉินฉีหมิงก็วางมือลงบนหินตรวจวิญญาณทันที
ฮูม! ในทันใดนั้น หินตรวจวิญญาณก็ปล่อยแสงสว่างจ้าขึ้นมา แสงนั้นมากกว่าของฉินเมิ่งเยว่ที่เพิ่งผ่านมา ทำให้ทั่วทั้งลานเงียบสงัดไปชั่วครู่ ก่อนที่เสียงร้องอุทานด้วยความตกตะลึงจะดังกระหึ่มขึ้นมา
“ตายจริง ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม รากวิญญาณชั้นสูง?”
“ตระกูลฉินไม่ได้มีผู้ที่มีรากวิญญาณชั้นสูงเกิดขึ้นมาเป็นสิบๆ ปีแล้วใช่หรือไม่?”
“นี่เป็นบุตรของใครกัน ข้าละอิจฉาเสียจริง!”
แม้แต่ฉินเหวินป๋อเองก็ยังเต็มไปด้วยความตกใจและยินดี เดิมทีเขาไม่ได้คาดหวังในตัวฉินฉีหมิงมากนัก เพราะบุตรชายของฉินฉางชิงมีมากเหลือเกิน ตามความคิดทั่วไป เมื่อมีจำนวนบุตรสูงขึ้น คุณภาพย่อมต้องลดลง แต่ครั้งนี้กลับสร้างความประหลาดใจให้เขายิ่งนัก
ณ ขณะนี้ แสงสว่างของฉินเมิ่งเยว่ที่เคยดูโดดเด่นกลับถูกกลบด้วยแสงของฉินฉีหมิงไปเสียแล้ว
“ดี ดี ดี! ลูกเอ๋ย เจ้าช่างเป็นเด็กที่ดี!” ฉินเหวินป๋อหัวเราะเสียงดังอย่างไม่อาจกลั้น หันกลับไปยิ้มให้ฉินฉางชิงพร้อมอุ้มฉินฉีหมิงขึ้นและกล่าวว่า “พี่ฉางชิง ช่างมีบุตรที่ดีเหลือเกิน!”
ฉินฉางชิงยิ้มตอบและโค้งคำนับด้วยท่าทีสุภาพ แต่ในใจกลับรู้สึกสงบอย่างยิ่ง ‘แค่นี้น่ะเหรอ เพียงรากวิญญาณชั้นสูงก็ทำให้ทุกคนตกตะลึงได้ขนาดนี้? ถ้าพวกเจ้ารู้ว่าบุตรข้าทุกคนมีแต่รากวิญญาณชั้นสูงกันหมด ตาพวกเจ้าคงต้องถลนออกจากเบ้าแน่… อืม จริงสิ ยังมีรากวิญญาณระดับยอดเยี่ยมด้วย เพียงแต่ข้าไม่อาจเปิดเผยเรื่องนั้น’
เจี่ยเฉียงที่อยู่ในกลุ่มผู้ชมก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง เขามาร่วมงานในครั้งนี้ด้วยใจคาดหวังจะเห็นเรื่องน่าขบขันอยู่ลึกๆ เพราะฉินฉางชิงมีลูกมากเกินไป เพียงเจ็ดปีมีบุตรเกือบห้าสิบคน เทียบแล้วราวกับว่าเขาคือวัวควาย! แต่เจี่ยเฉียงเองกลับมีบุตรเพียงคนเดียวคือฉีเผิง หลังอยู่ร่วมกับลูกมาหกปีก็ทำให้เขารู้สึกเวทนาตนเองอยู่ลึกๆ จิตใจจึงเริ่มปั่นป่วนเมื่อเห็นผลงานของฉินฉางชิงทั้งในด้านปริมาณและคุณภาพ ทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปหมด
ท่ามกลางสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของผู้คน ฉินฉางชิงก็เผยรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก และรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่งในใจ นี่คือลูกของเขา!
“ท่านฉางชิง นี่คือรางวัลที่ตระกูลมอบให้ท่าน หินวิญญาณสองร้อยก้อน!” ภายในเรือนของฉินฉางชิง ฉินเหวินป๋อพร้อมด้วยผู้อาวุโสของตระกูลอีกสองคนได้มาร่วมแสดงความยินดีด้วยตนเอง ทั้งฉินฉางชิงและฉินเว่ยเว่ยรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงท่าทีที่เปลี่ยนไปของตระกูล หากก่อนหน้านี้พวกเขาเรียกเขาด้วยชื่อเฉยๆ บัดนี้กลับเรียกเขาว่า “ท่านฉางชิง” นี่แหละคงเป็นประโยชน์ลับๆ ที่ได้จากระบบ