บทที่ 4: กลับคืนร่างเดิม
บทที่ 4: กลับคืนร่างเดิม
ตายแน่ ๆ!
ลู่หย่วนหมิงรู้ตัวดี ถ้าขาที่หักนี้ไม่สามารถหดเข้าไปในโพรงได้ เขาจะต้องถูกพวกอสุรกายลากออกไป แล้วก็ถูกฉีกเป็นชิ้น ๆ กลืนกินอย่างเอร็ดอร่อยแน่นอน
ในขณะเดียวกัน ลู่หย่วนหมิงก็ได้ยินเสียงจากข้างนอก พวกอสุรกายลงมาจากดาดฟ้าแล้ว เขาไม่มีทางซ่อนตัวได้เลย ทำได้แค่หลบอยู่ในโพรงนี้ไปก่อน คราวนี้เขาจนตรอกแล้วจริง ๆ เพียงหวังแค่ว่าเศษซากปรักหักพังพวกนี้จะมีน้ำหนักและความหนามากพอที่จะต้านทานพวกอสุรกายได้
และพวกมันจะต้องไม่มีพลังวิเศษอะไรด้วย
เสียงอสุรกายคลานเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ลู่หย่วนหมิงสั่นเทาไปทั้งตัว เขามองขาซ้ายที่หักของตัวเอง มือควานไปรอบ ๆ อย่างไร้สติ ทันใดนั้น เขาก็คลำเจอก้อนหินที่แตกออกมาจากผนัง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวของลู่หย่วนหมิง ในช่วงเวลาคับขันนี้ ลู่หย่วนหมิงรวบรวมความกล้าครั้งสุดท้าย คว้าก้อนหินขึ้นมาทุบขาซ้ายที่หักงอของตัวเอง
ปั๊ก! ลู่หย่วนหมิงครางออกมา ความเจ็บปวดแล่นเข้ามาจนทำให้เขาตัวสั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง หรือตอนนี้เขาเป็นวิญญาณ เขาไม่ได้หมดสติไป แค่รับรู้ถึงความเจ็บปวดอย่างที่สุด ในเวลาเดียวกัน เสียงคลานจากข้างนอกก็ดังขึ้นและเร็วขึ้น มีเสียงดังปั๊ก ๆ ป๊ะ ๆ ลู่หย่วนหมิงกัดฟันแน่น ก้อนหินในมือทุบลงไปที่ขาซ้ายอย่างบ้าคลั่ง
ขาซ้ายของเขาเต็มไปด้วยเลือด ก่อนหน้านี้ตอนที่ถูกชายผิวดำไร้บ้านทุบไปที่เข่าขาซ้าย มันก็หักงอตั้งแต่หัวเข่าแต่ตอนนี้ ลู่หย่วนหมิงทุบอย่างเอาเป็นเอาตาย กระดูกตรงข้อต่อหัวเข่าโผล่ออกมาจนข้อต่อหัวเข่าแทบจะขาด
ทันใดนั้น เงาดำหลายเงาพวยพุ่งเข้ามาจากประตูห้อง พวกมันเบียดเสียดกันทั้งโจมตีและคำรามใส่กัน แล้วต่างก็พุ่งเข้ามาหาโพรงที่ลู่หย่วนหมิงอยู่ ฝุ่นตลบไปหมด ลู่หย่วนหมิงรู้สึกกลัวจนถึงขีดสุด ก้อนหินในมือยังคงทุบขาซ้ายอย่างแรง
ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกถึงแรงดึงมหาศาลจากขาซ้าย แรงนี้เกือบจะดึงเขาออกจากโพรง โชคดีที่มีเหล็กเส้นโผล่ออกมาในโพรงเกี่ยวแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ เขาจึงไม่ถูกดึงออกไป
ด้านข้างนอกโพรง อสุรกายตัวหนึ่งพุ่งมาถึงปากโพรง มันใช้กรงเล็บหน้า เอ่อ…ร่างกายส่วนบนเป็นมนุษย์ ดังนั้นมันจึงใช้มือจับขาที่หักของลู่หย่วนหมิง กำลังจะดึงออกไปแต่ในขณะเดียวกัน อสุรกายอีกสองตัวก็พุ่งเข้ามาทำให้การดึงของมันถูกขัดจังหวะ ลู่หย่วนหมิงจึงยังไม่ถูกดึงออกจากโพรง
นี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายระหว่างความเป็นและความตาย ลู่หย่วนหมิงใจร้อนรนจนสมองว่างเปล่า ก้อนหินในมือทุบขาซ้ายอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นอสุรกายข้างนอกก็ใช้มือดึงขาซ้ายของเขาออกไปอย่างแรง เสียงฉีกขาดดังขึ้นขาซ้ายที่ถูกทุบจนเกือบขาด เหลือเพียงเนื้อหนังบาง ๆ เท่านั้นเชื่อมต่ออยู่ ขาของเขาถูกดึงขาดจากหัวเข่า ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงทำให้ลู่หย่วนหมิงทนไม่ไหว ร้องออกมาอย่างน่าอนาถ
แต่นั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออสุรกายทั้งสามตัวที่อยู่นอกโพรง พวกมันเริ่มแย่งขาเล็ก ๆ ที่ถูกดึงขาดของลู่หย่วนหมิง เมื่ออสุรกายตัวใดตัวหนึ่งแย่งขาได้ มันก็จะกัดกินขาถึงแม้จะเป็นใบหน้าของมนุษย์ แต่ก็ดูดุร้ายเหมือนปีศาจอสุรกาย
อสุรกายมีทั้งหมดสิบกว่าตัว สามตัวนี้กำลังแย่งขา ส่วนอสุรกายตัวอื่น ๆ แม้จะได้กลิ่นเลือดในห้อง แต่ห้องมีขนาดเล็ก กลิ่นเลือดไม่แรง ดังนั้นในขณะที่สามตัวนั้นกำลังแย่งกันกัด อสุรกายตัวอื่น ๆ ก็ไล่ตามลงไปตามทางเดิน
ตอนนี้ลู่หย่วนหมิงเจ็บจนแทบจะหมดสติ แต่ก็ไม่สามารถหมดสติไปได้และในยามคับขันเช่นนี้ เขาก็ไม่กล้าหมดสติด้วยซ้ำ หลังจากทุบขาซ้ายจนขาดเขารีบม้วนขาส่วนที่เหลือขึ้น ทำให้ความเจ็บปวดจากขาที่ขาดเพิ่มขึ้น เลือดของเขาพวยพุ่งกระฉูด กระดูกและเนื้อเสียดสีกับเหล็กเส้นที่ยื่นออกมา ทำให้ลู่หย่วนหมิงร้องออกมาดังขึ้นเพราะความเจ็บปวดอย่างสาหัส
ภายในเวลาไม่ถึงสามวินาที ขาของลู่หย่วนหมิงก็ถูกสัตว์ประหลาดสามตัวกัดกินจนเกือบหมด จากนั้นหนึ่งในนั้นก็เอื้อมมือเข้ามาในโพรงเพื่อหาร่างของเขาด้วยความหิวโหย กรงเล็บของมันตะกุยไปมารอบตัวลู่หย่วนหมิงที่ขดตัวอยู่ข้างใน
กรงเล็บนั้นผอมแห้งและดำสนิท แต่ใหญ่กว่าฝ่ามือของมนุษย์ปกติถึงครึ่งหนึ่ง แถมยังมีเล็บสีดำยาวเฟื้อย เมื่อตะกุยไปมา เล็บของมันกระทบกับเหล็กเส้นจนเกิดประกายไฟ แขนของสัตว์ประหลาดก็ยาวกว่าแขนของคนทั่วไปเล็กน้อย ยาวประมาณแปดสิบกว่าเซนติเมตร ด้วยความยาวขนาดนี้ เล็บของมันจึงคว้าขาที่ขดอยู่ของลู่หย่วนหมิงได้
ถึงแม้จะจับไม่ถนัด ดึงลู่หย่วนหมิงออกมาจากโพรงไม่ได้ แต่มันก็ฉีกเนื้อจากขาของเขาออกมาได้เยอะทีเดียว
ลู่หย่วนหมิงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด เสียงร้องโหยหวนและกลิ่นคาวเลือดทำให้สัตว์ประหลาดอีกสามตัวที่อยู่นอกโพรงคลุ้มคลั่ง พวกมันคำรามใส่กัน กัดกัน และพยายามแย่งชิงปากโพรง สัตว์ประหลาดทั้งสามตัวต้องการฉีกกระชาก ลู่หย่วนหมิงและกินเนื้อของเขาแต่เพียงผู้เดียว
ลู่หย่วนหมิงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง เขาทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากพยายามขยับตัวเข้าไปในโพรงให้ลึกที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ และขดขาของเขาแน่นที่สุด เขาไม่สนใจความเจ็บปวดใด ๆ ทั้งสิ้น ในตอนนี้ สิ่งที่เขาทำได้คือการดิ้นรนเอาชีวิตรอดหรือพูดอีกอย่างก็คือ การเดิมพัน เขาเดิมพันว่าเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ในโพรงนี้ได้จนกว่าจะเกิดการเดินทางข้ามเวลาไป อีกครั้ง
สัตว์ประหลาดทั้งสามยังคงต่อสู้กันอย่างต่อเนื่อง มีบางตัวพยายามที่จะพังกำแพง แต่กำแพงนี้เป็นกำแพงรับน้ำหนักของอาคารที่เกิดจากการพังทลายของเสาและคาน แม้แต่สัตว์ประหลาดก็ไม่สามารถทำลายมันได้ง่าย ๆ ดังนั้นพวกมันจึงยังคงแย่งชิงกันอยู่ที่ปากโพรง นาน ๆ ครั้งก็จะมีสัตว์ประหลาดตัวใดตัวหนึ่งเอื้อมมือเข้ามาตะกุย ถึงแม้จะดึงลู่หย่วนหมิง ออกมาไม่ได้ แต่มันก็ทำให้ขาของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียเลือดมากเกินไปหรือเปล่า... ใครจะไปรู้ว่าทำไมวิญญาณหลังความตายถึงมีเลือดได้ สติของ ลู่หย่วนหมิงเริ่มเลือนราง ถึงแม้จะจดจ่ออย่างมาก แต่เขาก็รู้สึกเหมือนภาพตัดไปมา ทำให้เขาตกใจและหวาดกลัว เขาได้แต่จ้องมองไปที่ปากโพรง มองดูสัตว์ประหลาดที่เอื้อมมือเข้ามาเป็นระยะ
นานเข้า การเอื้อมมือเข้ามาดูเหมือนจะไม่เพียงพอสำหรับสัตว์ประหลาดพวกนี้ พวกมันเริ่มดุร้ายมากขึ้น ถึงขั้นทำร้ายกันเองจริง ๆ ใช้ทั้งกรงเล็บและฟัน สัตว์ประหลาดทั้งสามตัวต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลู่หย่วนหมิงรู้สึกโล่งใจ แต่ความโล่งใจนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน สัตว์ประหลาดพวกนี้คงมีกฎเกณฑ์ของพวกมัน หลังจากต่อสู้กันไปสักพัก ก็มีสองตัวถอยกลับออกไปจากห้อง
สัตว์ประหลาดที่เหลืออยู่ต้องเป็นตัวที่แข็งแกร่งที่สุดในสามตัวแน่ ๆ
ลู่หย่วนหมิงคิด จากนั้นเขาก็เห็นสัตว์ประหลาดตัวนั้นยื่นหน้าเข้ามาที่ปากโพรง แล้วสิ่งที่เขาไม่อยากจะเชื่อก็เกิดขึ้น หัวของสัตว์ประหลาดยืดออกมายาวเหมือนงู ใบหน้าของมันบิดเบี้ยว มีเพียงปากที่อ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับกลายเป็นงูที่มีใบหน้าเป็นคน
ลู่หย่วนหมิงพยายามขยับตัวเข้าไปข้างใน แต่เขาขยับไปจนสุดแล้ว หัวของสัตว์ประหลาดก็ยังยืดออกมาอย่างน้อยแปดสิบเซนติเมตร ห่างจากขาที่ขดอยู่ของเขาเพียงไม่ถึงสิบเซนติเมตร ลู่หย่วนหมิงร้องตะโกนออกมาอย่างสุดเสียง แต่สัตว์ประหลาดไม่สนใจ มันอ้าปากกว้าง แล้วกัดเข้าที่ขาขาดของเขา
ในปากของสัตว์ประหลาดเต็มไปด้วยเขี้ยวแหลมคม มันกัดลงไปครั้งเดียวก็ฉีกเนื้อออกมาเป็นชิ้นใหญ่ สัตว์ประหลาดกลืนกินเนื้อนั้นลงไป แล้วกัดขาของลู่หย่วนหมิงต่อไป
ลู่หย่วนหมิงทำได้เพียงแค่ถูกกัดกินเหมือนลูกแกะรอวันถูกเชือด ทุกครั้งที่ถูกกัด ลู่หย่วนหมิงก็กรีดร้องโหยหวน แต่เสียงร้องของเขาไม่มีความหมายใด ๆ สำหรับสัตว์ประหลาด เพียงไม่กี่ครั้ง เนื้อที่ขาของลู่หย่วนหมิงก็แทบจะถูกกัดกินจนหมด สัตว์ประหลาดส่งเสียงขู่ฟ่อ แล้วกัดลงไปที่กระดูกขาของเขา มันพยายามฉีกกระชากและดึงลู่หยว่นหมิงออกมาจากโพรง
ตาย ตาย ตาย ตาย...
ทันใดนั้นเอง ลู่หย่วนหมิงก็คลุ้มคลั่ง ราวกับคนเสียสติ เขาร้องคำรามออกมาอย่างบ้าคลั่ง ความหวาดกลัวสุดขีดทำให้โทสะในใจพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
เขาหยุดขดตัว แล้วใช้ก้อนหินในมือฟาดเข้าใส่หัวของเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างแรง โดยบังเอิญหรือไม่นั้นก็ไม่อาจทราบได้ ปลายแหลมของก้อนหินพุ่งเข้าไปที่ลูกตาของมันพอดี ความรู้สึกแรกที่ลู่หย่วนหมิงสัมผัสได้คือ เหมือนเขาฟาดโดนอะไรบางอย่างที่คล้ายกับยาง แต่ลูกตาของเจ้าสัตว์ประหลาดก็ไม่ใช่ยาง การโจมตีครั้งนี้กลับทำให้ลูกตาของมันแตกได้จริง ๆ
ทันใดนั้น เจ้าสัตว์ประหลาดก็พยายามที่จะถอยหนี แต่มันยังคงกัดกระดูกขาของลู่หย่วนหมิงแน่น ไม่ยอมปล่อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ในขณะที่แขนข้างหนึ่งของเขาบังเอิญไปติดกับเหล็กเส้น ถึงแม้ว่าพละกำลังของเจ้าสัตว์ประหลาดจะมากกว่าลู่หย่วนหมิงมาก แต่ท่าทางการหดคอแบบนี้ทำให้มันไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่ ผลก็คือหัวของมันไม่สามารถหดกลับเข้าไปได้หมด ส่วนลู่หย่วนหมิงก็ใช้มือข้างหนึ่งจับเหล็กเส้นไว้แน่น ส่วนมืออีกข้างก็หยิบก้อนหินขึ้นมาฟาดไปที่หัวและลูกตาของเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างบ้าคลั่ง
หนึ่งครั้ง สองครั้ง สิบครั้ง ร้อยครั้ง...
ลู่หย่วนหมิงจำไม่ได้ว่าเขาฟาดไปกี่ครั้งแล้ว ร่างกายส่วนล่างของเขาชาไปหมด แขนที่ใช้ฟาดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดก็เหมือนจะหลุด นิ้วทั้งห้าบวมเป่งเหมือนหัวไชเท้า แต่เขาก็ยังไม่หยุด ยังคงฟาดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างบ้าคลั่ง ในที่สุด ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เจ้าสัตว์ประหลาดก็อ้าปากออก พยายามที่จะหดหัวกลับเข้าไป เสียงร้องยังคงดังออกมาจากปากของมัน
ตอนนี้ ลู่หย่วนหมิงไม่รู้ว่าตัวเองสติแตกหรือเป็นอะไรไป เขาเอื้อมมือออกไปเล็กน้อย จิ้มนิ้วเข้าไปในลูกตาที่แตกของเจ้าสัตว์ประหลาด แล้วใช้แรงทั้งหมดที่มีขุดคุ้ยและดึง พร้อมกันนั้น เขายังยันตัวขึ้น กัดเข้าที่ลูกตาอีกข้างของเจ้าสัตว์ประหลาดอย่างบ้าระห่ำอีกด้วย
การกระทำนี้ทำให้เสียงคำรามของเจ้าสัตว์ประหลาดดังขึ้น แต่ความเร็วในการหดหัวกลับช้าลง ทีละน้อย เจ้าสัตว์ประหลาดหยุดนิ่ง ติดอยู่ตรงปากทางเข้าของโพรง ส่วนลู่หย่วนหมิงกลับกลายเป็นเหมือนสัตว์ประหลาดเสียเอง ทั้งคำรามทั้งตะโกน กัดหัวเจ้าสัตว์ประหลาดไม่หยุด ยังคงใช้นิ้วจิ้มเข้าไปในลูกตาของมันอย่างบ้าคลั่ง……
ในระหว่างนั้น ลู่หย่วนหมิงเห็นแสงสีขาวเป็นเม็ดเล็ก ๆ ลอยออกมาจากตัวของเจ้าสัตว์ประหลาด แสงส่วนใหญ่สลายไปในอากาศ ส่วนที่เหลือเล็กน้อยตกลงบนผิวหนังและในปากของเขา
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เสียงของลู่หย่วนหมิงแหบพร่าแห้งจนพูดไม่ออก การเคลื่อนไหวของเขาก็แข็งทื่อและ อ่อนแรง ในตอนนี้ ลู่หย่วนหมิงรู้สึกถึงโอกาสในการข้ามมิติอีกครั้ง มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ คือในใจเขารู้ว่าเขาสามารถข้ามมิติได้อีกครั้ง เขาไม่รอช้ารีบเริ่มต้นการข้ามมิติทันที
วินาทีต่อมา ลู่หย่วนหมิงกลับมาอยู่ในสภาพเจ้าชายนิทราอีกครั้ง ร่างกายที่ไร้ความรู้สึก ไม่สามารถขยับหรือแสดงออกได้ มีเพียงความมืดมิดและเสียงเลือนรางรอบข้างเท่านั้น ความเจ็บปวดจากร่างกายที่พิการในตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยล้าและอ่อนแออย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่ถึงเสี้ยววินาที ในที่สุดลู่หย่วนหมิงก็หมดสติไปอย่างอ่อนล้า