บทที่ 20
ข้อเท้าที่ประคบน้ำแข็ง มือและเข่าที่ได้ทายาไปแล้วทำให้ความเจ็บปวดบรรเทาลงไม่น้อย ด้วยเหตุนี้อารมณ์ของซังจื้อจึงดีขึ้นบ้าง
เธอตั้งแต่เล็กจนโตก็ถูกเลี้ยงดูมาเช่นนี้ นอกจากเรื่องที่เขาเข้ามาใกล้เธอมากเกินไปก็ไม่มีอะไรที่คิดว่าผิดปกติ
ซังจื้อมองเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะพึมพำ “ก็ไม่ได้ให้ทำอะไรสักหน่อย”
ก็แค่ทายาเช็ดหน้า
ไม่ได้ให้ไปทำอะไรที่มันยากลำบากเสียหน่อย
ปรนนิบัติรับใช้บรรพบุรุษอะไรกัน
“อยู่ดีๆก็มีน้องสาว ส่วนพี่ชายเธอหายหัวไปไหนแล้วไม่รู้” ต้วนเจียสวี่เงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้น “นี่ตัวเล็ก ลองคิดดูให้ดีๆสิ พี่ช่วยเธอมาตั้งเท่าไหร่แล้ว”
ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น “เวลาพี่มีเรื่องอะไรหนูก็ช่วยได้นะ”
ดูเหมือนคำพูดของเธอจะน่าสนใจ ต้วนเจียสวี่นั่งลงข้างๆก่อนจะหันมายิ้ม “อืม จะช่วอะไรพี่หรอ”
“ก็” พูดออกมาได้คำหนึ่งเธอก็นิ่งไปเพราะคิดไม่ออกว่าเธอจะช่วยอะไรเขาได้ เธอเกาหัวแกรกๆ เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ เธอก็เปลี่ยนเรื่องเอาเสียดื้อๆ “พี่หนูหายไปไหนแล้วเนี่ย”
ต้วนเจียสวี่ตอบด้วยน้ำเสียงอันขี้เกียจ “ไม่เอาเธอแล้วมั้ง”
ซังจื้อถอนหายใจ “หนูก็เกลียดเขาเหมือนกัน”
พูดจบ เธอก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่แล้วก็รู้สึกเศร้า “พี่หนูจะคิดว่ามันแปลกๆไหมที่หนูเรียกเขาว่าพ่อ แล้วยังได้ยินอาจารย์เรียกพี่ว่าพี่ชายซังจื้ออีก”
“อืม” ต้วนเจียสวี่พูด “คงจะเดาได้แล้วแหละว่าพี่สวมรอยเป็นเขาไปพบอาจารย์”
“……”
หนังศีรษะของซังจื้อชาวาบ “แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
“ทำไงได้ล่ะ” ต้วนเจียสวี่ถอนหายใจ “เราสองคนเสร็จแน่”
“……” เมื่อเขาพูดดังนั้น ซังจื้อก็เริ่มใจคอไม่ดี “ไม่สิ เดี๋ยวลองไปพูดกับเขาดูก็ได้ รายนั้นน่ะไม่บอกพ่อกับแม่หรอก”
ต้วนเจียสวี่ “เธอจะไม่ยุ่งกับหมอนั่นแล้วไม่ใช่หรือไง?”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่อยากจะยุ่ง แต่เขาชอบว่าหนู” พูดถึงตรงนี้ ซังจื้อก็เริ่มจะหงอย “ปกติก็ปล่อยผ่นอยู่หรอก แต่วันนี้หนูล้มเขาก็ยังมาว่านหนู”
“แล้วเธอคิดว่าหมอนั่นไม่เป็นห่วงเธอเลยหรอ”
ซังจื้อเม้มปาก นิ่งไม่ตอบ
“ที่เธอพูดกับอาจารย์ไปเมื่อกี้นี้” ต้วนเจียสวี่พูด “ทั้งที่เขาได้ยินไปแบบนั้น แกลับไม่ถามอะไรมาก ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นห่วงเอหรอกหรอ”
ซังจื้อพูดอย่างอัดอั้น “แล้วอ่อนโยนกว่านี้หน่อยไม่ได้หรอ”
ต้วนเจียสวี่นึกแล้วก็ขำ “ให้พี่เธออ่อนโยนเนี่ยนะ จะไม่ฝืนกันไปหน่อยหรอ”
“……”
ดูเหมือนจะมีเหตุผล
ซังจื้อไม่ร้จะพูดอย่างไร เธอมองเขาทีหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าหลบสายตา
ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบนี้ หมอนั่นบอกว่าจะไปรินน้ำมาให้ จากนั้นซังเหยียนที่หายตัวไปก็กลับมา ในมือถือน้ำสองขวด ก่อนจะส่งขวดที่ไม่เย็นให้กับซังจื้อ “ดื่มเสร็จแล้วก็ไปโรงพยาบาล”
ซังจื้อนิ่ง
ซังเหยียนโน้มตัวลงมาตรงหน้าเธอแล้วโบกมือไปมาที่หน้าเธอ “จะดื่มไม่ดื่ม”
ซังจื้อรับขวดมาอย่างช้าๆ
จากนั้นซังเหยียนก็หันหน้าไปทางต้วนเจียสวี่ แล้วเอ่ยถาม “ทำแผลเสร็จแล้วใช่ไหม”
ต้วนเจียสวี่ “อืม”
ซังเหยียนโยนน้ำอีกขวดหนึ่งให้กับเขา “ขอบใจมาก”
ต้วนเจียสวี่นั่งพิงเก้าอี้ แล้วยิ้มออกมา ครู่หนึ่ง ซังเหยียนก็หันหลังให้ตรงหน้าของซังจื้อ “ขึ้นมา”
ซังจื้อยังคงทำสงครามเย็นอยู่ จึงทำเป็นไม่ได้ยิน
ซังเหยียนหันหน้ากลับไปมองเธอ ก่อนจะพูดขึ้น “พี่ชายแท้ๆของเธอคนนั้นน่ะตอนบ่ายมีเรียน ไม่มีปัญญาจะไปส่งเธอที่โรงพยาบาลได้ ก็เลยให้พ่อแท้ๆของเธอคนนี้น่ะไปส่ง”
“……”
“เร็วๆ”
ได้ยินดังนั้น ซังจื้อจึงหันมองต้วนเจียสวี่
ต้วนเจียสวี่ยืนขึ้น ก่อนจะหยิบมือถือออกมาดูนาฬิกา ก่อนจะพูดขึ้นว่า “นายก็มีเรียนไม่ใช่หรือไง”
ที่พูดแบบนี้นั้นเขาไม่ได้หมายความว่าจะไป
“นายจำผิดแล้ว” ซังเหยียนยังไม่ได้มองขึ้นมาหากแต่พูดกับซังจื้ออีกครั้ง “ขึ้นมาเร็วๆ”
น้ำเสียงของเขามักจะแฝงไปด้วยความใจร้อน
ไม่มีต้วนเจียสวี่ให้พึ่งอีกแล้ว ซังจื้อไม่กล้าจะดื้อนานเพราะกลัวว่าซังเหยียนจะทอดทิ้งเธอ จึงได้แต่เลื้อตัวขึ้นไปบนหลังของเขา
ต้วนเจียสวี่หยิบหมวกบนหัวมาสวมให้เธอ
“เชื่อฟังพี่ล่ะ”
ซังเหยียนแบกเธอเดินไปทางประตูทางออกของสนาม
ทั้งสองต่างนิ่งเงียบ
เดินไปได้ไม่ไกลนัก ซังจื้อก็หันหลังกลับไปมองที่เต็นท์
ณ จุดที่ไม่ไกลจากเต็นท์นัก มีนักเรียนชายคนหนึ่งขาพลิกในระหว่างที่วิ่ง ซังจื้อเห็นต้วนเจียสวี่รีบวิ่งเข้ามาหาแล้วช่วยพยุงเขาคนนั้นขึ้นมา
เธอออกมาไกลพอสมควรแล้ว แดดก็ร้อนจัด
ทำให้เธอเห็นสีหน้าของเขาไม่ชัดเจนนัก
เห็นแต่เพียงเขาที่โน้มตัวลงมาปัดฝุ่นบนกางเกงของเด็กชายอย่างอ่อนโยน ดูไปแล้วเขานั้นเหมือนกับเป็นคนที่อ่อนโยนออกมาจากข้างในคึนนึงเลยทีเดียว
จู่ๆซังจื้อก็นึกขัดใจ
เดิมทีเธอมีสิ่งที่อยากจะพูดกับเขา
เธออยากจะถามว่า เลิกเรียกเธอว่า “ตัวเล็ก” สักทีได้ไหม เพราะอย่างน้อยๆ ตอนนี้เธอก็ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่จำเป็นแล้ว
เพราะเธอเองก็ไม่ได้มีโอกาสที่จะเจอเขาบ่อยขนาดนั้น
อีกทั้งเขาก็ไม่ได้เป็นดีกับเธอคนเดียว
กับทุกคนเขาก็เป็นอย่างนี้
อ่อนโยนแต่ก็กลับเหินห่าง
ซังเหยียนแบกเธอออกมาจากสนามแล้วเดินตรงไปที่หน้าประตูของมหาวิทยาลัย
เป็นเพราะเมื่อครู่พึ่งจะทะเลาะกันมา อารมณ์ของซังจื้อในตอนนี้นั้นเรียกได้ว่ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เธอรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เธอทำ แต่ก็ไม่อยากที่จะคืนดีกับเขา
เวลานี้ซังจื้อเอาแต่เงียบ แล้วก็ไม่ได้อยากจะพูดอะไร
ซังจื้อกอดคอพี่ชายของเธอด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกมือหนึ่งถือขวดน้ำเอาไว้แล้วในหัวพลางคิดอะไรใจลอยไปเรื่อย แล้วเธอก็พลันนึกถึงตอนที่ยังเป็นเด็ก เขาก็แบกเธอขึ้นหลังเดินกลับบ้านเช่นนี้
ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้ว
แล้วซังจื้อก็นึกถึงเหตุการณืที่พึ่งโกรธเขาไปเมื่อครู่นี้ เธอกำลังจะเอ่ยปากพูดกับเขา
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากซังเหยียนก็พูดโพล่งขึ้นมาเสียก่อน “ฉันจะยังไม่บอกพ่อกับแม่นะ ตอนนี้คงกำลังทำงานกันอยู่ ต้องเทียวไปเทียวมาลำบากเปล่าๆ”
ซังจื้อ “อื้ม”
ซังเหยียนเอ่ยเสียงเรียบ “แล้วเดี๋ยวค่อยให้แม่โทรไปลากับอาจารย์”
ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบรับอีกครั้ง “อื้ม”
เมื่อออกมาจากประตูแล้ว ซังเหยียนก็เรียกแท็กซี่แล้วประคองเธอเข้าไปในรถ เขาพูดกับคนขับ “ไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดครับ” ก่อนจะหันหลังมาบอกกับซังจื้อ “คาดเข็มขัดด้วย”
พลันเหลือบตาไปเห็นมือที่บาดเจ็บของเธอ เขาจึงขยับตัวเข้าไปคาดให้
ซังจื้อเอ่ยปากถาม “ทำไมนายไม่คาดล่ะ”
ซังเหยียนเบะปาก “ไม่ชอบคาดอะไรแน่นๆน่ะ ฉันกลัว”
ซังจื้อ “ฉันก็กลัวเหมือนกัน”
ซังเหยียนกลับไปยังตำแหน่งของตัวเองและเมินเฉยในสิ่งที่เธอพูด “ทนเอาแล้วกัน”
“……”
บรรยากาศในรถตกอยู่ในความเงียบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซังเหยียนโยนเยลลี่ห่อหนึ่งมาให้เธอ “กินสิ”
มันร่วงลงบนหน้าตักของเธอพอดี
ซังจื้อก้มลงมองเยลลี่ห่อนั้นก่อนจะหยิบมันขึ้นมา เธอชอบขนมแบบเดียวกันกับซังเหยียนนั่นก็คือชอบกินเยลลี่เป็นชีวิตจิตใจ
ในห่อนั้นมีเยลลี่ทั้งหมดเก้าอัน
ปกติแล้วเธอจะหยิบของตัวเองมาห้าอันและให้ซังเหยียนอีกสี่อัน
เธอมองซังเหยียน
แต่เขาไม่รู้ตัว พลางสายตาก็ทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ท่าทางดูอ่อนล้า ดูเหมือนลูกอมห่อนี้จะเป็นสิ่งที่แสดงถึงการขอโทษกลายๆ
สำหรับคนในครอบครัวแล้ว การพูดขอโทษบางทีก็เป็นเรื่องที่ยากจะเอ่ย
ครู่หนึ่ง ซังจื้อก็เอ่ยถาม “พี่พึ่งไปซื้อมาหรอ”
“คิดว่าไง” ซังเหยียนเอ่ยอย่างไม่สบตาเธอ พร้อมกับเปลือกตาที่ปรือจะปิด “หยิบติดมือมาน่ะ”
ซังจื้อไม่ตอบ พลางก้มหน้าลงฉีกห่อขนม เทเยลลี่ทั้งเก้าอันออกมา จากนั้นเธอก็หยิบสี่อันแล้วเขยิบตัวไปหาซังเหยียน
แล้วเอาเยลลี่ใส่มือขอเขา
ซังเหยียนขยับนิ้วเล็กน้อยแต่ก็ยังคงนิ่งคงมาดเดิม
ครู่หนึ่งซังจื้อก็หยิบเยลลี่ในส่วนของตัวเองขึ้นมาอีกสองอัน
เธอใช้เยลลี่สองอันนี้แทนคำพูด
อันหนึ่งเพื่อขอบคุณ
และอีกอันหนึ่งเพื่อขอโทษ
พี่น้องทะเลาะกันนั้นมาไวก็ไปไว
เมื่อซังจื้ออารมณ์เย็นลง เธอก็เลือกที่จะพูดสิ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจทั้งหมดทั้งมวลออกมา “ตอนแรกพี่ก็ทำไม่ถูกนะ เดี๋ยวก็มาบอกว่าหนูเตี้ย เดี๋ยวก็มาล้อเสื้อหนูแล้วยังม่าว่าหนูกระโดดไม่ดีอีก”
ซังเหยียนยิ้มเย็น “วันๆฉันโดนเธอด่าว่าหน้าตาขี้เหร่แล้วเห็นฉันพูดอะไรไหม”
“นั่นมันไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนตรงไหน”
“ก็ตรงที่หนูไม่ได้พูดเล่น”
“……”
ซังเหยียนหน่ายจะต่อล้อต่อเถียง
ซังจื้อเท้าหน้าต่างพลางทอดสายตาออกไปด้านนอก แล้วจู่ๆก็ร้องเรียกพี่ชายของเธอขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “พี่”
ซังเหยียนนิ่ง
ซังจื้อ “ทำไมวันนี้ถึงมาเป็นอาสาสมัครล่ะ”
“……”
“พี่อยากทำกิจกรรมเยอะๆ” ซังจื้อครุ่นคิดครู่หนึ่ง “แล้วก็จะได้มารู้จักสาวๆ เพิ่มโอกาสหาแฟนใช่ไหม”
ซังเหยียนขมวดคิ้ว
“งั้นพี่ อย่ามามัวเสียเวลาอยู่เลย”
“เงียบน่า”
“พี่ต้องตั้งใจเรียน จะได้หาเงินเยอะๆ”
ดูท่าเธอไม่มีทีท่าว่าจะหยุดพูด ซังเหยียนชักจะทนไม่ไหว เขาเอ่ย “ฉันแค่มาเป็นอาสาสมัคร ทำไมเธอถึงพูดมากจังฮะ”
ซังจื้อพึมพำ “ฉันก็แค่ถามเอง”
“ก็ปกติไม่เห็นเธอจะเป็นห่วงฉันขนาดนี้นี่”
“ก็เพราะว่าปกติไม่ค่อยได้เจอกันน่ะสิ” ซังจื้อพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ “นานๆไม่ได้เจอกัน ตอนนี้เจอกันแล้ว ก็เป็นห่วงไง”
ยัยดื้อนี่ถ้าเริ่มล่ะก็ จะพูดยังไงก็ไม่มีประโยชน์
ซังเหยียนพ่นลมหายใจ ก่อนจะเอ่ยตอบ “ขาดคนน่ะ เฉินจวิ้นเหวินเป็นประธานชนรมกีฬาน่ะ ก็เลยใส่ชื่อเรารูมเมทสามคนลงไป”
ได้ยินคำตอบดังนั้นแล้ว ซังจื้อจึงหยุดครู่หนึ่ง พลางคิดถึงเรื่องที่คิดจะถามต้วนเจียสวี่ แต่กังเลอยู่นาน ก็ยังไม่ได้ถามออกไป
ครู่หนึ่ง
ซังเหยียนก็พูดขึ้น “ลูกสาว”
ซังจื้อ “?”
ราวกับว่าเขาไม่ได้พูดอยู่กับเธอ เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับตาปรือๆ “ต้วนเจียสวี่พี่ชายของเธอน่ะ”
ซังจื้อมองไปยังพี่ชายของเธอด้วยความงง “นายทำอะไรอยู่น่ะ”
ซังเหยียนเอามือลูบคาง พลางพูดต่อแบบคำต่อคำ “ก็แจ่มดีนะ”
“……”
ถ้าจะบ้าไปแล้ว
_
หลังจากตรวจอาการที่โรงพยาบาลแล้ว ไม่พบว่ามีอะไรที่ร้ายแรง จากนั้นก็ทำแผลใหม่แล้วซังเหยียนก็ส่งซังจื้อกลับบ้าน
รอจนกระทั่งหลีผิงกลับมาแล้วเขาจึงค่อยกลับไปที่มหาวิทยาลัย
หลังจากงานกีฬาผ่านไป วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาถึง
ซังจื้อหยุดพักอยู่ย้านเป็นเวลาสองวัน การเดินเหินของเธอก็ยังไม่ค่อยจะสะดวกนัก แต่ด้วยซังหรงและหลีผิงต้องออกไปทำงาน พวกเขาจึงนึกถึงนักศึกษาปีสามที่แสนจะขี้เกียจอย่างซังเหยียน
โดยให้ซังเหยียนไปรับซังจื้อจนกว่าเธอจะเรียนจบม.3
ในทุกๆวันจะต้องมารับเธอกลับบ้านหลังเลิกเรียน
แรกๆซังจื้อก็ไม่พอใจนัก
หากแต่หลังๆ ดูเหมือนซังเหยียนจะไม่พอใจมากกว่าเธอเสียอีก ทุกครั้งที่มารับได้มองหน้าขี้เหร่ๆที่ไม่พอใจนั่นก็ทำให้ซังจื้อมีความสุขขึ้นมา
วันพฤหัสหลังเลิกเรียน
เป็นเพราะซังเหยียนที่จะว่างหลังห้าโมงเย็น ซังจื้อจึงอยู่ในห้องเรียนทำการบ้านไปพลาง ในห้องยังมีนักเรียนบางส่วนที่ยังไม่กลับและกำลังทำความสะอาดห้องเรียนในแบบที่เรียกว่ารีบทำรีบกลับ
ไม่นานนัก ก็มีคนตะโกนเรียกเธอ “ซังจื้อ มีคนมาหา”
ซังจื้อละสายตาจากการบ้านแล้วเงยหน้าขึ้น พลันเห็นคนที่ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่งแล้วอย่างยินเจินหรูยืนอยู่ที่หน้าประตู ซังจื้อกระพริบตาปริบๆ พลาวลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหา “เธอมาได้ยังไงเนี่ย”
ยินเจินหรูพึ่งสังเกตเห็นเท้าของซังจื้อ“เกิดอะไรขึ้นกับเท้าเธอ”
“ขาแพลงน่ะ”
“ทำไมไม่ระวังเลยล่ะ” ยินเจินหรูขมวดคิ้ว “เจ็บหรือเปล่า”
ซังจื้อส่ายหน้า “ไม่ค่อยเจ็บเท่าไหร่แล้ว”
เป็นเพราะทั้งสองคนไม่ได้คุยกันมาสักพักใหญ่ๆแล้ว ตอนนี้จึงรู้สึกห่างเหิน
ยินเจินหรูเกาหัวแกรก หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างลังเล “ซังจื้อ เธอไปที่ที่นึงเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
ซังจื้ออึ้งไป “ฮะ?”
“คือ ฉันมีเรื่องนิดหน่อยน่ะ” ยินเจินหรูจับมือเธอด้วยท่าทางเหมือนเอาแต่ใจเหมือนเคย “ไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยนะ ฉันไปคนเดียวมันไม่ดี”
“ไปไหน” ซังจื้อเอ่ย “ฉันกำลังรอพี่อยู่น่ะ”
“พี่เธอมาทำไม”
“มารับฉันกลับบ้าน” ซังจื้อบอกไปตามจริง “เพราะเท้าฉันยังเจ็บอยู่น่ะ”
ยินเจินหรู “แต่ดูเธอก็ยังเดินได้ดีนี่”
ซังจื้อไม่ตอบ
“ไปเหอะ” ยินเจินหรูจับมือเธอแกว่งไปมา “ไม่ได้จะไปที่ไหนหรอก ฉันรู้สึกเบื่อก็แค่นั้นเอง ไปหาอะไรกินแถวๆนี้กันนะ”
ซังจื้อมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างช้าๆ
“ฉันขอบอกพี่ก่อน”
ซังจื้อกลับมาที่โต๊ะ แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋า ในขณะที่กำลังจะโทรหาซังเหยียนนั้น เขาก็โทรหาเธอพอดี เธอรับสาย “พี่”
ซังเหยียน “ออกมาหรือยัง”
“ยัง”
“งั้นเดี๋ยวค่อยออกมาแล้วกัน” ซังเหยียนพูด “วันนี้มีเรื่องนิดหน่อย ให้ต้วนเจียสวี่ไปรับแล้ว หมอนั่นบอกว่าเลิกเรียนห้าโมงครึ่ง เธอรอหน่อยแล้วกัน”