บทที่ 19
ซังเหยียนถูกซังจื้อรัดคอจนหายใจไม่ออกและลำคอเริ่มจะแดง เมื่อได้ยินดังนั้นเขาถึงกับสำลักขึ้นมาทันที
“ฮะ?” เฉินหมิงซวี่ยืนอึ้งแล้วมองที่หน้าของซังเหยียนด้วยสีหน้าที่งงงวย “ซังจื้อ เธอบอกว่านี่พ่อเธอหรอ”
ซังจื้อรู้สึกกลัวอย่างมาก เธอกลัวว่าทุกคนจะมารุมว่าเธอ สำหรับเธอแล้วนี่มันเปรียบได้กับสิ้นโลก เธอที่กำลังกลัวได้แต่พยักหน้าไม่กล้าจะพูดอะไรออกไป
เมื่อต้วนเจียสวี่ที่อยู่ข้างๆเห็นการแสดงออกของซังจื้อ ก็พลันก้มหน้าหัวเราะ
ดวงตากลมโตของสาวน้อยที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาและแดงก่ำ พวงแก้มที่เปอระเปื้อนไปด้วยฝุ่น ดูแล้วน่าสงสาร
ด้วยสภาพของเธอที่เป็นเช่นนี้ทำให้เฉินหมิงซวี่ไม่อยากที่จะถามอะไรเพิ่มเติม
ผู้ที่ถูกซังจื้อเรียกว่า “พ่อ” กับ“พี่ชายซังจื้อ” เมื่อยืนอยู่ด้วยกันก็เห็นได้ชัดๆว่าทั้งสองอายุเท่ากัน มิหน่ำซ้ำยังใส่เครื่องแบบแบบเดียวกันอีก
แต่เมื่อซังจื้อพูดเช่นนี้แล้ว เขากับซังจื้อก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่
เฉินหมิงซวี่คิดในใจ
แม้จะไม่รู้ว่าเธอจะโกหกไปเพื่ออะไรแต่เฉินหมิงซวี่ก็ไม่ฝืนถามต่อไป เขาเอามือลูบหัวล้านๆขอเขา “ไปทำแผลก่อนไป”
ทางโรงเรียนได้ตั้งเต็นท์เอาไว้ที่สองมุมสนาม ในเต็นท์มีอาสากาชาดและคุณหมอประจำโรงเรียนนั่งคอยอยู่ เผื่อว่ามีนักเรียนได้รับบาดเจ็บ
ซังเหยียนสงบสติอารมณ์ของตนเองลง ก่อนจะพูดด้วยใบสีหน้าที่เรียบนิ่ง “โอเคครับ”
ก่อนจะพาซังจื้อที่อยู่บนหลังเดินไปทางเต็นท์
เฉินหมิงซวี่พูดกับต้วนเจียสวี่อีกสองสามประโยค เนื่องจากมีผู้ปกครองอยู่ เขาจึงวางใจ จากนั้นก็กลับไปดูนักเรียนคนอื่นๆต่อ
สองพี่น้องเดินนำหน้าไปก่อน
ไม่นานนนักต้วนเจียสวี่ก็ตามมา
ซังจื้อซบอยู่บนหลังของซังเหยียน แต่เธอก็อดไม่ไหวที่จะมองไปทางต้วนเจียสวี่ ราวกับกำลังขอความช่วยเหลือ
ครู่หนึ่ง ซังเหยียนก็เอ่ยขึ้นเสียงเย็น “เมื่อกี้เธอเรยกฉันว่าอะไรนะ”
ซังจื้อรีบหลบสายตากลับมาและไม่กล้าที่จะตอบพี่ชายของเธอ
“บอกว่าฉันเป็นพ่อเธอ?”
“.......”
ต้วนเจียสวี่เอียงคอ พร้อมพูดใส่ทำนอง “ทำไมฉันเหมือนกับกำลังรับใช้บรรพบุรุษเลย”
“ตอนเธอล้มนี่เอาขาหรือเอาหัวลงฮะ”
ตอนแรกเป็นเพราะบาดเจ็บจากการหกล้มทำให้เจ็บไปทั้งตัว ซังจื้อจึงไม่อยากจะพูดอะไรมาก เมื่อกี้พึ่งจะแก้เรื่องของอาจารย์เสร็จ พึ่งจะโล่งใจไปได้แท้ๆ ตอนนี้กลับต้องมารับมือกับซังเหยียนอีก
คอของเธอแห้งผาก ความรู้สึกผิดเข้าปกคลุม
“ทำไมพี่ชอบมาว่าฉันอยู่ได้ พี่ว่าฉันมาทั้งวันแล้วนะ” เวลานี้ซังจื้อรู้สึกว่าตนเองนั้นน่าสงสารเป็นที่สุด เธอขบริมฝีปากแน่น พยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้ แต่สุดท้ายก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่ “อยากบอกพ่อว่าให้พี่ย้ายไปไกลๆ หนูไม่อยากให้พี่มาแบกหนูแล้ว”
“......” ซังเหยียนเงียบลงทันที
ครู่หนึ่งเขาจึงเอ่ยขึ้น “ข้อเท้าเธอพลิก ถ้าฉันไม่แบกเธอจะเดินไปยังไง”
“หนูเดินเองได้” ซังจื้อเตะขาที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเพื่อจะลง “หนูเดินไปเองได้ ไม่ต้องมาแบก”
ซังเหยียนหันหน้ามาพูดอย่างเหลืออด “ฟังกันหน่อยจะได้ไหม”
“ไม่” น้ำตาของซังจื้อยังคงไหลพราก พลางมองไปที่พี่ชายของเธอ “ทำไมต้องฟังพี่ด้วย พี่ชอบว่าหนู วันนี้ก็ด่าหนูทั้งวันเลย”
ซังเหยียนใจเย็นลง “พี่ก็แค่แหย่เธอเล่น”
ดูเหมือนไม้อ่อนจะใช้ไม่ได้ผล
อารมณ์ของซังจื้อก็ประทุขึ้นมาอีก เธอพูดออกมาอย่างไม่ได้ยั้งคิด “พี่ก็ไม่ชอบหนูอยู่แล้วนี่ ตอนที่หนูยังไม่เกิดทำไมพี่ไม่ไปบอกแม่ให้เอาหนูออกไปเลยล่ะ”
“.......”
ซังเหยียนขมวดคิ้ว “เมื่อกี้ว่าไงนะ”
เขาลากเสียงขึ้นสูงเหมือนกับว่าไม่พอใจในสิ่งที่เธอพูดเอาเสียมากๆ
ด้วยน้ำเสียงนั่นทำให้ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง ราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อ ซังจื้อมองซังเหยียนอย่างอึ้งๆ เธอกระพริบตาปริบๆ จากนั้นเธอก็ร้องไห้โฮออกมา “เดี๋ยวก็ด่าหนูอีก”
ซังเหยียน “……”
ระยะห่างจากรงนี้ไปถึงเต็นท์ก็ยังห่างอีกพอสมควร
ซังจื้อก็เหมือนกับขนน้ำตาทั้งชีวิตมาเทในวันนี้
ต้วนเจียสวี่ที่ได้ยินทั้งสองคุยกัน บวกกับเสียงร้องไห้แบบนั้นของซังจื้อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาเกาเปลือกตา ก่อนจะตะโกนเรียก “นี่ ซังเหยียน”
ซังเหยียน “อะไร”
เขาไล่เดินขึ้นมา มองซังจื้อครู่หนึ่ง “ให้เธอมาขี่หลังฉัน”
ได้ยินดังนั้น เสียงร้องไห้ของซังจื้อก็เบาลงเล็กน้อยพร้อมทั้งเงยหน้าขึ้นมองต้วนเจียสวี่
ซึ่งนั่นมันก็ชัดเจน ซังเหยียนหันไปถามด้วยน้ำเสียงที่ให้เกียรติเธอ “เธออยากขี่หลังเขา?”
ซังจื้อหยุดร้องไห้ ก่อนจะจ้องมองต้วนเจียสวี่
“…….”
เธอไม่ได้ให้คำตอบที่ชัดเจนนัก แต่ดูจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนว่าการขี่หลังเขานั้นจะเป็นเรื่องที่สุดจะทนสำหรับเธอ
ซังเหยียนพ่นลมหายใจอย่างอดกลั้น “โอเค”
พูดจบ เขาก็วางเธอลง
หลังจากรอให้ซังจื้อยืนตั้งหลักได้ ต้วนเจียสวี่จึงย่อตัวให้เธอขึ้นมา
ซังจื้อซบลงบนหลังของต้วนเจียสวี่ ก่อนจะหันหน้าไปมองซังเหยียน เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างหากแต่เธอยังโกรธเขาอยู่ ครู่หนึ่งเธอก็ดึงสายตากลับมา
ต้วนเจียสวี่จัดแจงท่าทางให้เข้าที่ ตามองตรงไปข้างหน้าแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น “นอกจากที่เท้าแล้วยังเจ็บตรงไหนอีกไหม”
ซังจื้อสูดน้ำมูก ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา “เจ็บมือ”
“มีอีกไหม”
“เจ็บที่เข่านิดห่อย”
“อืม หยุดร้องได้แล้ว” ต้วนเจียสวี่พูด “อีกเดี๋ยว พี่เอายามาทาให้นะ”
ซังจื้อพยักหน้าอย่างเงียบๆ
จากมุมนี้เธอเห็นเพียงหน้าด้านข้างของเขา
หมวกที่ต้วนเจียสวี่ใส่ให้เธอเมื่อครู่นี้ เป็นเพราะจะต้องไปแข่งจึงต้องถอดคืน เวลานี้หมวกใบนั้นก็ยังคงอยู่บนหัวของเขา ระยะห่างของทั้งสองคนในตอนนี้ช่างใกล้ชิดกันเหลือเกิน ใกล้จนเธอได้กลิ่นของควันบุหรี่บนตัวของเขา
แสงอาทิตย์สาดส่องมาจากอีกฟากฝั่ง
ตกกระทบใบหน้าของเขาซีกหนึ่ง เรือนผมที่อาบย้อมไปด้วยแสงแดด ริมฝีปากบางที่ขบเม้ม ใบหน้าครึ่งบนที่อยู่ภายใต้เงา ดวงตาดอกท้อที่หรี่ลงและจมูกที่คมเป็นสัน
ใบหน้าที่เรียบนิ่งดูไม่ออกเลยว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่กันแน่
ไม่ทันไร ราวกับจับสังเกตสายตาของเธอได้ ต้วนเจียสวี่จึงเอ่ยปากขึ้น “ตัวเล็ก”
ซังจื้อรีบหลบสายตา ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
ไม่รอคำตอบจากเธอ ต้วนเจียสวี่ก็พูดขึ้น “ถอดหมวกพี่ไปสิ”
“……”
ซังจื้อทำตามแต่โดยดี “แล้วไงต่อ”
ต้วนเจียสวี่ตอบเสียงเอื่อย “แล้วก็เอาไปใส่ค่ะ”
ซังจื้ออึ้ง
เมื่อเห็นว่าเธอนิ่งไป ต้วนเจียสวี่จึงหันหน้ากลับมามองท่าทางเงอะๆงะๆของเธอ เขาเลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยอย่างยิ้มๆ “ไม่ร้อนหรือไง?”
เมื่อมาถึงที่เต็นท์
ต้วนเจียสวี่จึงวาวเธอลงบนเก้าอี้
คนบาดเจ็บมีไม่เยอะนัก ส่วนมากจะเป็นลมแดดกันเสียมากกว่า
ซังเหยียนได้เรียกคุณหมอประจำโรงเรียนมาช่วยดูอาการบาดเจ็บของซังจื้อ
คุณหมอตรวจดูข้อเท้าของซังจื้อครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบถุงน้ำแข็งและยาออกมา แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรร้ายแรงนะ ประคบเย็นแล้วก็พ่นยานิดหน่อยก็หายแล้ว ช่วงสามสี่วันนี้ก็อย่าพึ่งไปเล่นกีฬาล่ะ”
ต้วนเจียสวี่มองแล้วถามขึ้น “ไม่ต้องไปโรงพยาบาลใช่ไหมครับ”
“ไม่ต้อง แค่ขาแพลงเล็กน้อย” คุณหมอพูด “หรือไม่ถ้าอยากให้มั่นใจ ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลก็ได้ว่าได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อและกระดูกหรือเปล่า”
ซังเหยียน “ไปตรวจดูหน่อยก็ดีนะ”
ซังจื้อก้มดูข้อเท้าของตัวเองที่ค่อยๆบวมขึ้น ไม่ได้ตอบ
ต้วนเจียสวี่หยิบขวดน้ำเกลือและเบตาดีนที่อยู่ข้างๆออกมา จากนั้นก็ย่อตัวลง “ทายาที่แผลตรงอื่นก่อนค่อยไปโรงพยาบาล”
ซังเหยียนเดินเข้ามา “เดี๋ยวฉันทำเอง”
ซังจื้อพูดอย่างโกรธเคือง “ไม่”
“……” ซังเหยียนมองเธออย่างสะกดกลั้นอารมณ์เอาไว้ “โอเค งั้นเดี๋ยวฉันไปเอาน้ำมาให้”
เห็นดังนั้น ต้วนเจียสวี่ช้อนตาขึ้นมองซังจื้อ พร้อมทั้งเอ่ยถามเธอ “เชื่อใจพี่ขนาดนั้นเชียว”
ดวงตาของซังจื้อยังคงแดงเรื่อ เธอก้มหน้าลงพลางเท้าแขนก่อนจะพูดขึ้นอย่างลังเล “ก็พี่ใจร้อนแบบนั้น เดี๋ยวก็ทำหนูเจ็บ”
ต้วนเจียสวี่ “เสี่ยวซังจื้อกลัวเจ็บหรอคะ”
ซังจื้อพยักหน้าด้วยความอับอาย ก่อนจะพูดอีก “ใครไม่กลัวเจ็บกันเล่า”
“โอเค แต่มันอาจจะต้องมีเจ็บนิดนึงนะ” ต้วนเจียสวี่เปิดฝาขวดน้ำเกลือออก “ทนหน่อยได้ไหม”
ซังจื้อดึงมือกลับพลางพิงไปด้านหลัง “มือเบาๆหน่อยได้ไหม”
“เจ็บนิดนึง” เห็นเธอนั่งตัวเกร็ง ต้วนเจียสวี่ก็อดจะยิ้มออกมาไม่ได้ “นิดนึงก็ไม่ได้เลยหรอ”
ซังจื้อยื่นคำขาด “ไม่ได้”
“โอเค” ต้วนเจียสวี่ “งั้นพี่จะเบามือนะ”
ซังจื้อมองเขาอย่างลังเลใจ กล้าๆกลัวๆอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกมาช้าๆ แล้วพูดว่า “พี่ หนูแค้นเก่งนะ”
“หืม?”
“อย่าหลอกกันนะ”
“จริงจังขานดนั้นเลย?” ต้วนเจียสวี่หยุดมือ ช้อนตาขึ้นมองเธอ “งั้นให้คนอื่นมาทาให้ไหม”
“........”
“ก็พี่ไม่อยากโดนเสี่ยวซังจื้อเกลียดนี่”
ซังจื้อเม้มปาก “ไม่ได้”
ต้วนเจียสวี่พูดด้วยน้ำเสียงที่หยอกเล่น ก่อนจะล้างแผลของเธอด้วยน้ำเกลือ “อะไรก็ไม่ได้ เป็นคนไม่มีเหตุผลเอาซะเลยน้า”
“.......”
น้ำเกลือไม่ได้มีฤทธิ์ทำให้ระคายเคือง แม้จะทำให้รู้สึกแปลกๆแต่ก็ไม่เจ็บ ซังจื้อมองสิ่งที่ต้วนเจียสวี่ทำและรู้สึกทนไม่ไหว
ดูเหมือนว่าเขาอยากจะเบี่ยงเบนความสนใจเธอ ต้วนเจียสวี่จึงเอ่ยขึ้นอย่างลอยๆ “อยู่ม.2แล้วยังไม่รู้จักมีเหตุผลได้ยังไงเนี่ย”
ซังจื้อขมวดคิ้ว “ถึงหนูจะเคยพูดว่าไม่เข้าใจว่ามีเหตุผลคืออะไร แต่โดยรวมหนูน่ะเป็นคนมีเหตุผลมาก”
ต้วนเจียสวี่หัวเราะ “งั้นหรอ”
หลังจากล้างแผลบนมือเธอสะอาดเรียบร้อยแล้ว ต้วนเจียสวี่จึงถกขากางเกงของเธอขึ้นและจัดการกับแผลที่หัวเข่าของเธอ
สิ่งที่เขาทำให้ซังจื้อรู้สึกไปสบอารมณ์ “ก็เป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว”
ต้วนเจียสวี่ที่ขณะนี้ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและจดจ่ออยู่กับบาดแผลของซังจื้อ หากแต่น้ำเสียงกลับดูเหมือนใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “อื้ม เสี่ยวซังจื้อเชื่อฟังที่สุด”
ซังจื้อมองเขาแล้วปิดปากเงียบ
“อ้อใช่สิ ที่เมื่อกี้เธอบอกกับอาจารย์ว่าพี่ชายเธอเป็นคุณพ่อของเธอ” ต้วนเจียสวี่ยกยิ้ม จู่ๆเขาก็ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด “เธอคิดว่าอาจารย์จะเชื่อไหม”
ซังจื้อครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อาจารย์ไม่เคยเห็นพ่อนี่”
ต้วนเจียสวี่ “อืม”
ซังจื้อ “แค่นั้นก็ไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้ว”
“…..” ต้วนเจียสวี่ปิดฝาขวดยา ก่อนจะพูดออกมาด้วยความรู้สึกน่าขัน “พี่เธอดูแก่ขนาดนั้นเลย? แถมยังใส่เสื้อเหมือนกับพี่อีก”
ซังจื้อเองก็พึ่งจะนึกได้ เธอตัวชาวาบ “เมื่อกี้ทำไมไม่บอกล่ะ”
ต้วนเจียสวี่ลงมือทาเบตาดีนให้เธอและไม่ได้พูดอะไร
ซังจื้อถามอย่างลังเล “ถ้าอาจารย์ถามอีก หนูบอกว่าพี่สองคนใส่ชุดคู่พ่อลูกได้ไหม”
“……” ต้วนเจียสวี่ช้อนตาขึ้นมองเธออยู่ครู่หนึ่ง “ตัวเล็ก จะไม่ใจร้ายไปหน่อยหรือไง”
“ฮะ?”
ต้วนเจียสวี่เอ่ยเสียงเรียบ “พี่ดีกับเธอขนาดนี้ ยังจะช่วยพี่ชายเธอมาแกล้งกันอีก”
ซังจื้อไม่เข้าใจ “หนูแกล้งพี่ตรงไหน”
ต้วนเจียสวี่ทำหูทวนลม
ซังจื้อกระพริบตาปริบ ไม่เข้าใจที่เขาพูด เธอพูดแก้ตัว “พี่ หนูก็ดีกับพี่อยู่เหมือนกันนะ”
คราวนี้ต้วนเจียวี่หยิบหมวกจากหัวของเธอกลับมาใส่ให้ตัวเอง
ซังจื้อ “……”
เธอทนไม่ไหว “พี่มันใจเด็กชะมัด”
ต้วนเจียสวี่เอ่ยเสียงเย็น “อืม เธอก็ว่าคนอื่นเก่ง”
“……” ซังจื้อเบิกตากว้าง แล้วพูดขึ้น “หนูว่าใครที่ไหน พี่ก็ตัวโตขนาดนี้ หนูจะไปแกล้งพี่ได้ยังไง อย่ามาปรักปรำกันสิ”
ต้วนเจียสวี่ “ยื่นมือออกมา”
ซังจื้อชะงักและยอมยื่นมือออกมาอย่างเชื่อฟัง
เขาจับข้อมือของเธอขึ้นมาแล้วทาเบตาดีนอย่างช้าๆ หากแต่เมินคำพูดของเธอไปโดยสิ้นเชิง ราวกับว่ากำลังโกรธเธออยู่
ซังจื้อพึมพำ “พี่ ทำไมเมินกันล่ะ”
“…….” ดูเหมือนสิ่งที่เธอทำมาจะไร้เปล่าประโยชน์ ซังจื้อเริ่มไม่พอใจ “พี่ก็ชอบคิดหยุมหยิม”
เวลานี้เขาถึงกับมองมา ซังจื้อรีบกลับคำขึ้นมาทันควัน “ไม่ใช่ หมายถึงเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ๆ หมายถึง พี่ก็ความจำดี๊ดีน่ะ”
“ความจำดี?” ต้วนเจียสวี่เหยียดยิ้ม ในที่สุดเขาก็ยอมเปิดปากพูดกับเธอ “ไม่ใช่ว่าเธอกำลังว่าพี่เพราะโกรธพี่อยู่หรือไง”
“พี่จะเข้าใจอย่างงี้มันก็ไม่ใช่” ซังจื้อหยุดครู่หนึ่ง เธอไม่มีความกล้าจะพูดกับเขาแล้ว “แน่นอนว่าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
“แล้วหใยความว่ายังไง”
“หนูชมพี่ต่างหาก”
ต้วนเจียสวี่ลุกขึ้นยืน พลางหยิบทิชชู่เปียกจากด้านข้างแล้วฉีกมันออก “แต่พี่ไม่ชอบ”
ซังจื้อ “…..”
รับมือยากจริงๆ
จากนั้น ต้วนเจียสวี่ก็ค่อยๆโน้มตัวลงมาใกล้ซังจื้อ เพื่อที่จะเช็ดหน้าเช็ดตาให้เธอ “พูดอย่างอื่นไม่ได้หรือไง”
เป็นเพราะเขาเข้ามาใกล้ ซังจื้อจึงถอยห่างออกมา
ต้วนเจียสวี่นึกว่าเธอไม่ชอบให้ใครมาจับหน้าเขาจึงหยุดมือก่อนจะส่งทิชชู่ให้เธอ “หน้าเลอะ เอาไปเช็ดสิ”
ซังจื้อเงียบครู่หนึ่ง ก่อนจะโน้มตัวไปข้างหน้า
จุดประสงค์ชัดเจน
“หนูมองไม่เห็น” ซังจื้อเอ่ย
“ทำไมถึงเลิ่กลั่กล่ะ” ต้วนเจียสวี่หัวเราะเสียงต่ำ ก่อนจะเช็ดหน้าให้กับเธอ หลังจากที่เช็ดให้เธอเสร็จ เขายังไม่ได้ลุกขึ้นในทันที หากแต่พูดกับเธอก่อน “รู้สึกอะไรบ้างไหม”
ซังจื้อที่อยู่ดีๆก็ร้อนตัวขึ้นมา “อะไร”
ต้วนเจียสวี่เอียงคอ พลางพูดด้วยน้ำเสียงที่ใส่ทำนอง “อย่างกับฉันปรนนิบัติรับใช้บรรพบุรุษ”