บทที่ 19 เมื่อสายลมพัดผ่านไป ฝนก็หยุดลงเช่นกัน (1)
แม้ว่าทักษะการทำอาหารของป้าหวังจะยอดเยี่ยมมากสักแค่ไหน แต่ซีเซี่ยเย่ก็กลืนมันไม่ลงจริง ๆ เธอไม่มีความอยากอาหารเลยแม้แต่น้อย จึงกินเพียงแค่ซุปชามหนึ่งและติ่มซำแค่ไม่กี่ชิ้นเพียงเท่านั้น
มีสายโทรเข้ามาที่โทรศัพท์ของมู่หยู่เฉิน ยังไม่ทันที่เขาจะรับประทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็ลุกขึ้นและเดินขึ้นไปชั้นบนเสียก่อน
เธอเดินขึ้นไปโทรศัพท์ประมาณชั่วโมงกว่า ๆ ขณะที่เขาเดินลงบันไดมาที่ชั้นล่าง เขาก็เห็นว่าซีเซี่ยเย่กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่บนโซฟารอเขา เขาค่อย ๆ ยกมือขึ้นโบกไปมาส่งให้เธอ ซีเซี่ยเย่พยักหน้าตอบรับ จากนั้นเขาก็เดินไปหยิบกุญแจของเธอที่โต๊ะกาแฟ
และทันทีที่เธอก้าวขาออกนอกประตูทางเข้าของวิลล่า ซีเซี่ยเย่เห็นรถของเธอจอดอยู่บริเวณริมถนนไกลๆ ในขณะที่รถที่ดูเรียบง่ายของเขาจอดอยู่ด้านหลังรถของเธอ
ซีเซี่ยเย่ขมวดคิ้วมุ่น เธอหยุดชะงักฝีเท้าลง และหันไปมองชายหนุ่มที่เดินตามเธอมาที่ด้านหลัง เมื่อเธอเห็นเขาว่ายังคงคุยโทรศัพท์อยู่ อีกทั้งมือของเขาก็พลิกเอกสารในมือไปด้วยด้วย เธอก็คิดว่าเขาต้องคุยเรื่องงานแน่ๆ
เมื่อเขาเห็นซีเซี่ยเย่หยุดเดินและจ้องมองมาที่เขา มู่หยู่เฉินก็มองสบตาเธอเธอเช่นกัน จากนั้นเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง และล้วงเอากุญแจรถออกมา ก่อนจะส่งมันไปให้เธอ
และก็เหมือนกับเขากำลังบอกเธอเป็นนัยๆ ว่าให้เธอขับรถของเขา
แล้วรถของเธอล่ะ?
ซีเซี่ยเย่มองไปที่เขาได้เพียงแค่ครู่เดียว เธอก็เห็นว่าเขาโยนกุญแจรถส่งมาให้เธอแล้ว เขายังคงคุยโทรศัพท์ต่อ พร้อมทั้งเดินไปที่ที่นั่งข้างคนขับด้านหน้า
เธอรับกุญแจรถนั้นเอาไว้ได้ และเธอก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินไปฝั่งที่นั่งด้านขับของรถคันนั้น เธอเปิดประตูและขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็สตาร์ทเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว ด้วยความที่เธอมีทักษะในการขับรถได้อย่างดีเยี่ยม เพียงชั่วพริบตาเดียวเธอก็กลับรถได้อย่างรวดเร็ว และขับออกจาก Maple Residence Villa แห่งนี้ทันที
“อืม...เดี๋ยวผมจะไปตรวจดูอีกที พวกคุณก็แค่เตรียมข้อเสนอเอาไว้ พรุ่งนี้ผมจะกลับไปที่บริษัท พวกคุณก็เอาข้อเสนอมาส่งให้ผมที่โต๊ะทำงานในวันจันทร์หน้า มีคำถามอะไรอีกไหม?”
มู่หยู่เฉินพลิกดูเอกสารที่วางอยู่บนตักของเขา ในขณะที่คุยโทรศัพท์ไปด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็กดวางสาย
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ?”
เธอบอกได้เลยว่าเขาดูเป็นคนที่ยุ่งมาก เพราะเขาเพิ่งจะวางสายไปได้ไม่นาน ก็มีคนโทรมาหาเขาต่อทันที
“ใช้เส้นทาง Express Ring แล้วก็เดินทางไปที่ทางตอนใต้ของเมือง แล้วตรงไปที่สะพานข้ามแม่น้ำทางทิศใต้” เขาหันมามองที่ซีเซี่ยเย่ และพูดถึงสถานที่ที่หนึ่งออกมา “คุณรู้ทางไหม?”
ซีเซี่ยเย่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะชี้ไปที่ GPS ภายในรถ “ถึงฉันจะไม่รู้ เจ้านี่ก็รู้อยู่ดี”
มู่หยู่เฉินคลี่ยิ้มออกมา เขาเก็บเอกสารวางไว้ข้างๆ จากนั้นก็หันออกไปมองวิวนอกหน้าต่าง ตอนนี้ก็เป็นเวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว เขาจึงเห็นรถวิ่งผ่านไปผ่านมาบนถนนเต็มไปหมด และก็เห็นผู้คนเดินสวนกันไปมาที่ทางเท้า
ทันใดนั้นเองจู่ๆ เขาก็ก้มลงไปหยิบซีดีขึ้นมาแผ่นหนึ่ง จากนั้นก็ใส่มันลงไปในเครื่องเล่น ไม่นานเสียงเพลงที่นุ่มนวล และผ่อนคลายก็เริ่มบรรเลงออกมาจากลำโพง
เพลงนี้เป็นเพลงที่ซีเซี่ยเย่คุ้นเคยเป็นอย่างดี และมันเป็นหมายเลขเปียโนที่เธอชื่นชอบชื่อว่า "Ballade pour Adeline"
“คุณชอบเพลงของ Richard Clayderman เหมือนกันเหรอคะ?”
ซีเซี่ยเย่ตกใจขึ้นมาครู่หนึ่ง จากนั้นเธอก็หันไปถามเขาเบาๆ
มู่หยู่เฉินเอนไปพิงพนักเบาะรถด้านหลังอย่างช้าๆ จากนั้นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาก็เบาบางลง “ผมฟังมันแค่บางครั้งเท่านั้นแหละครับ คุณเล่นเปียโนเป็นด้วยเหรอ?”
เมื่อซีเซี่ยเย่ได้ยินคำถามนั้น เธอก็ส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างแรง “ตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันอิจฉาคนที่เล่นเปียโนได้มากเลย ตอนแรกฉันคิดจะลงเรียนตอนที่ฉันเข้าเรียนมหาวิทยาลัย แต่อาจจะเป็นเพราะฉันเกิดมาไม่มีทักษะทางด้านดนตรี… ฉันจำได้ว่าตอนเรียนมหาวิทยาลัย ฉันเลือกเรียนเปียโน แต่ครูก็ขอให้ฉันเลือกวิชาเพิ่มอื่นแทน เพราะหล่อนกังวลว่าฉันจะทำคะแนนได้ไม่ดี และก็อาจจะเรียนไม่จบ”
มู่หยู่เฉินหัวเราะออกมาเบาๆ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสดใสว่า “ผมบอกเลยว่า ครูของคุณต้องให้ความสนใจคุณเป็นอย่างดีแน่นอน เพราะถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาก็คงจะปล่อยให้คุณเรียนซ้ำจนกว่าคุณจะสอบผ่าน”
ซีเซี่ยเย่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาอย่างไม่อาจจะปฏิเสธมันได้ นัยน์ตาของเธอวาววับขึ้นมาทันที จากนั้นเธอก็จับพวงมาลัยเอาไว้อย่างมั่นคง ส่วนมืออีกข้างก็เท้ากับกระจกรถด้านข้างอย่างติดเป็นนิสัย พร้อมทั้งเงยหน้าขึ้น
“นั่นมันก็เป็นพราะหล่อนมองไม่เห็นความหวังที่ฉันจะสามารถผ่านมันไปได้ ฉันเป็นนักเรียนประเภทที่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในโรงเรียนสักเท่าไหร่ และก็เป็นนักเรียนประเภทที่มักจะทำให้ครูปวดหัวอยู่ตลอด โดยเฉพาะตอนที่ฉันเรียนอยู่มัธยมปลาย ทางโรงเรียนก็มักจะโทรหาพ่อกับแม่ของฉันราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติ”
เมื่อเธอนึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น ซีเซี่ยเย่ก็รู้สึกคิดถึงมันอย่างบอกไม่ถูก ตอนนั้นพวกเธอยังไร้เดียงสามากจริงๆ เธอมักจะโดดเรียนกับซูหนานอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่ซูหนานและหร่วนเหิงเรียนคนละโรงเรียนกัน ซูหนานจึงมักจะโดดเรียนเพื่อไปหาเขาอยู่บ่อยๆ และหล่อนก็มักจะลากซีเซี่ยเย่ไปด้วย ย้อนกลับไปตอนนั้น โรงเรียนยังไม่อนุญาตให้นักเรียนออกเดทกันในที่สาธารณะเลย
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น ริมฝีปากของเขาก็กระตุกกว้างขึ้น จากนั้นมู่หยู่เฉินก็หัวเราะออกมาเบาๆ “เป็นคนเก่ง แต่ทำอะไรไม่สำเร็จเหรอ?”
เขาพึมพำออกมา จากนั้นก็หันมามองที่ซีเซี่ยเย่พลางครุ่นคิด พลางพูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ผู้คนมักจะพูดกันว่า เป็นคนเก่งแต่ทำอะไรไม่สำเร็จต้องดิ้นรน เป็นคนเก่งแต่ทำอะไรไม่สำเร็จจะต้องพยายาม เป็นคนเก่งแต่ทำอะไรไม่สำเร็จจะนอนก่อนที่จะสอบไม่ได้ คุณแน่ใจเหรอว่าคุณเป็นหนึ่งในนั้น?”
ซีเซี่ยเย่เหลือบสายตาไปมองที่เขา เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้าตอบรับและพูดออกไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันเป็นคนประเภทที่ทุก ๆ การสอบแต่ละครั้งน้ำหนักจะลดลงไป 5 กิโลกรัม และช่วงสองสัปดาห์ก่อนสอบ ฉันก็จะอยู่ในโหมดเร่งรีบตลอดเวลา แต่เมื่อลองมาคิดๆ ดูแล้ว ในตอนนั้นฉันก็ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่านะ แล้วคุณล่ะ? ดูจากหน้าตาของคุณแล้ว คุณน่าจะอยู่ในประเภทนักเรียนระดับหัวกะทินะ”
มู่หยู่เฉินคลี่ยิ้มออกมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นเขาก็หันไปมองทางด้านหน้าตามเธอที่กำลังโฟกัสอยู่กับการขับรถ “คุณเรียนมัธยมปลายที่ไหนเหรอ?”
มัธยมปลาย?
ซีเซี่ยเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ตอนที่เธอนึกย้อนกลับไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ “โรงเรียนมัธยมปลายที่เมือง S น่ะ ฉันมีเส้นสายก็เลยได้เข้าไปเรียนกับนักเรียนระดับหัวกะทิที่นั่น แต่หลังจากนั้นฉันก็เรียนตามเพื่อนไม่ทัน สุดท้ายก็โดนไล่ออกมา”
โรงเรียนมัธยมปลายที่เมือง S และโรงเรียนมัธยมปลายที่เมือง Z เป็นโรงเรียนมัธยมศึกษาระดับชั้นสูงแห่งแรก ที่ลูกหลานของผู้มีอำนาจและมีอิทธิพล หรือไม่ก็ลูกหลานของครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยจะได้เข้ามาเรียน แต่จะอาศัยแค่ภูมิหลังของครอบครัวไม่ได้ เพราะต้องใช้ความรู้และความสามารถของตัวเองควบคู่ไปด้วยถึงจะสามารถเรียนที่นี่ได้
โรงเรียนมัธยมปลายเมือง S?
มู่หยู่เฉินก็เลิกคิ้วขึ้น พร้อมทั้งแสดงความตกใจออกมาทางแววตา ซีเซี่ยเย่สัมผัสถึงท่าทางของเขาได้ เธอจึงหัวเราะออกมา “อย่าบอกนะว่า คุณก็เคยเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายที่เมือง S ด้วยเหมือนกัน!”
หลังจากที่เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง มู่หยู่เฉินก็พูดออกไปอย่างเป็นกันเองว่า “ถ้าไปดูหนังสือรุ่น XX ของโรงเรียนมัธยมปลายเมือง S ในห้องสมุดของโรงเรียน คุณก็เห็นชื่อของผมอยู่ในนั้นด้วย” ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย เมื่อพูดจบ เขาก็หันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่าง
สภาพอากาศด้านนอกไม่เหมือนกับเมื่อวานที่ท้องฟ้าปกคลุมไปด้วยเมฆ อีกทั้งยังมีหมอกและลมหนาวที่พัดไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน และเขาก็เห็นว่าบนถนนสองข้างทางพ่อค้าเริ่มมาตั้งร้านขายของสำหรับวันตรุษจีนแล้ว
เมื่อได้ยินมู่หยู่เฉินพูดออกมาแบบนี้ ซีเซี่ยเย่ก็รู้สึกตกใจขึ้นมาในทันที เธอรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เพราะเธอไม่คิดเลยว่ามู่หยู่เฉินกับเธอจะเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน และเธอกับเขาก็อาจจะเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องกันก็ได้ แม้ว่าเขาจะแก่กว่าเธอไม่กี่ปีก็ตาม
ในขณะที่เธอกำลังคิดเกี่ยวกับมัน จู่ๆ เธอก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ นี่มันก็ผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่เธอไม่รู้จักชื่อของเขาเลย…
เธอไม่เคยถามชื่อของเขามาก่อน และเขาก็ไม่ได้พูดมันออกมาด้วย
เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามออกไปเบาๆ ว่า “คุณ…”
ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจของเธอออก ยังไม่ทันที่ซีเซี่ยเย่จะได้ถามเขาออกไป น้ำเสียงที่ลุ่มลึกของเขาก็ดังขึ้นอย่างเงียบๆ ในพื้นที่ที่คับแคบนี้ “มู่หยู่เฉิน”
มู่หยู่เฉิน?
ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของซีเซี่ยเย่ก็คือ เธอรู้สึกคุ้นๆ ชื่อนี้ ราวกับว่าเธอเคยได้ยินชื่อนี้ที่ไหนมาก่อนสักแห่ง
แต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ไม่ได้คิดอะไรมากนัก ด้วยความที่รถแล่นมาถึงทางแยกที่มีคนเดินกันอย่างพลุกพล่าน เธอจึงละทิ้งเรื่องนี้ไป และเพ่งสมาธิอยู่กับการขับรถ