บทที่ 19 จริงครึ่งเท็จครึ่ง (1)
เล็บของปีศาจสาวนั้นคมเกินไป ไม่นาน ลำคอขาวบอบบางของมู่ฉางถิงก็มีเลือดค่อยๆ ไหลออกมา
ราวกับกลีบกุหลาบขาวที่อ่อนโยนและนุ่มนวลถูกสาดสีแดงใส่เข้าไป สีนั้นเจิดจ้ายิ่งนัก
สิงอวี้เซิงลากสายตาหันไปมอง กระแสสัญญาณขาดหายไป มุมปากของเขายกขึ้นด้วยท่าทางเย็นชา “พ่อแม่ของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว เจ้าคิดว่าในโลกนี้ยังเหลือใครที่ข้าเป็นห่วงอย่างจริงใจหรือ?หากเจ้าอยากฆ่าก็ฆ่าเสีย การมีชีวิตอยู่ของเขาไม่สำคัญอะไรกับข้า”
ปีศาจสาวเพิ่มแรงบีบข้อมือของตนด้วยความไม่แน่ใจ คิ้วของมู่ฉางถิงขมวดเข้าหากันด้วยความเจ็บ แม้กระทั่งหายใจอย่างขาดๆ หายๆ
สิงอวี้เซิงยังคงเฉยเมยเช่นเดิม มีแม้กระทั่งประกายตายิ้มเยาะปรากฎขึ้นในดวงตาของเขา “หากว่าเจ้าอยากจะช่วยข้าจริงๆ ไม่สู้แลกเปลี่ยนหลินเจี้ยนแก่ข้า คนผู้นั้นปฏิบัติต่อข้าเป็น ‘อย่างดี’ข้ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณของเขา” คำว่า ‘อย่างดี’ นั้นเขากัดฟันพูดอย่างที่สุด มีแต่ความเกลียดชังจนอยากจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆ
นางปีศาจได้ยินน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปของเขาแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามอย่างสงสัยว่า “ตามที่ข้าทราบ หลินเจี้ยนเป็นอาจารย์ของเจ้า ปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความใจดีและมีน้ำใจ ถึงแม้ว่าพฤติกรรมของเขาจะไม่นับว่าดีนัก แต่ไม่ใช่ว่าเจ้ายืนกรานอย่างหนักแน่นว่าเจ้าและข้านั้นต่างกันไม่ใช่หรือ?หากว่าอยากแก้แค้นในวันนี้ คงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นศิษย์ทรยศอาจารย์ เจ้าคิดดีแล้วหรือ?”
หลินเจี้ยนขดตัวกับมุมตัวสั่นเทิ้ม สิงอวี้เซิงจ้องมองไปยังเขาราวกับกระบี่คมเล่มหนึ่ง
“อาจารย์หลินย่อมไม่เหมือนกับผู้อื่น นับแต่เข้าร่วมสำนักชิงซิน ภายใต้การดูแลของเขา เขาทำให้ข้าอับอายอยู่ตลอด ปฏิบัติกับข้าแย่ยิ่งกว่าหมูหมา แม้ว่าจะต้องถูกตราหน้าว่าทรยศอาจารย์ข้าก็ยอมรับ!”สิงอวี้เซิงกล่าวอย่างเย็นชา “คนชั่วและไร้ยางอายเช่นนี้คว้ากระบี่ของพ่อแม่ข้าไม่ต้องกล่าวถึง แต่กลับใช้มันคุกคามข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ปฏิบัติต่ออย่างอนาจารราวสตรี ยิ่งกว่านั้น หลังจากได้รู้วิชาลับของตระกูลข้า ก็อยากได้คัมภีร์ต้องห้ามตระกูลสิง บังคับให้ข้าฝึกทุกวัน เพื่อจะได้ดูดซับกระแสพลังวิญญาณจากข้า”
นางปีศาจหัวเราะเสียงเย็น “คนเช่นนี้น่าขยะแขยงยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้ารออะไรเล่า?”นางพยักเพยิดไปทางหลินเจี้ยน กระซิบเสียงต่ำอย่างเย้ายวน “หยิบกระบี่ของเจ้าออกมา ฆ่าเขาเสีย!”
มู่ฉางถิงจ้องเขาไม่ละสายตา คิดในใจ แท้จริงแล้วที่ฟู่ซีเฟิงเห็นเขาออกมาจากห้องของเจ้าบ้าหลิน ถือคัมภีร์ฝึกกระบี่เหล่านั้นไม่ใช่เพราะหลินเจี้ยนฝึกฝนให้แก่เขา แต่เป็นเพราะจุดประสงค์อื่น มักจะถูกใช้เป็นภาชนะฝึกฝนอยู่เสมอ แต่เป็นเพราะกระบี่ของบิดามารดาถูกพรากไป จึงไม่สามารถต่อต้านได้ และก็ไม่กล้าต่อต้าน ในใจจึงบ่มเพาะความเจ็บปวดและเคียดแค้น ชั่วขณะหนึ่ง มู่ฉางถิงกลับไม่รู้ว่าตนเองอยากให้สิงอวี้เซิงฆ่าหลินเจี้ยน หรือปล่อยเขาไป...
สิงอวี้เซิงดึงกระบี่ยาวของเขาออกมา ก้าวเข้าไปหาหลินเจี้ยนทีละก้าว
ดวงตาของเขาส่องประกายราวกับดวงดาว ความเหน็บหนาวเป็นเหมือนเงาที่สะท้อนบนผิวน้ำ สะท้อนเจตนาฆ่าที่รุนแรงผ่านดวงตาออกมา
หลินเจี้ยนเบียดทั้งร่างกายเกาะติดกับผนัง กรีดร้องและโบกมือไล่ “อย่าเข้ามา!อย่าฆ่าข้า!”
เขาพยายามจะลุกยืน แต่เท้ากลับลื่น จะลุกก็กลับล้มกระแทกลงที่พื้นอย่างแรง ก่อนหน้านี้เขาถูกนางปีศาจดูดกินพลังวิญญาณและพลังงานทั้งหมดไปแล้ว ทั้งร่างกายไร้เรี่ยวแรง เป็นเพราะความกลัวสุดขีด จนกระทั่งหมดสติไป เขาไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าตนเป็นใคร รู้เพียงแต่ว่าหวาดกลัวเท่านั้น
มันเป็นความกลัวเช่นเดียวกันกับยามที่ปีศาจสาวยื่นมือออกมาหวังควักหัวใจของเขา ความกลัวแบบเดียวกัน
หลินเจี้ยนหันหลังและพยายามจะคลานไปทางอื่น หวาดกลัวเสียจนร่างทั้งร่างสั่นเทา ราวกับมีเทพแห่งความตายไล่ตามเขาอยู่จากด้านหลังพร้อมด้วยมีดคมเล่มหนึ่ง ปีศาจสาวมีความสุขเสียจนหัวเราะออกมา มู่ฉางถิงรู้สึกหนาวเหน็บไปทั่วกระดูกสันหลัง นั่นคือสิงอวี้เซิงที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ราวกับปีศาจที่ปีนขึ้นมาจากขุมนรกที่ลึกที่สุด
สิงอวี้เซิงขยับกระบี่ของเขาเบาๆ กระบี่เปล่งประกาย วาดรอยสดใสกลางอากาศ
หลินเจี้ยนตะโกนลั่นออกมาสุดเสียง เลือดสดๆ พุ่งออกมา เอ็นร้อยหวายข้อเท้าทั้งสองข้างก็ขาด!
หลังจากนั้น เส้นเอ็นข้อมือ ดวงตา ทั่วทั้งร่างกายล้วนมีบาดแผลจากคมกระบี่ มีบางส่วนที่ลึกลงไปจนเห็นกระดูก ห้องศิลาเงียบสนิท เงียบเสียจนดูเหมือนว่าจะได้ยินเสียงลมหายใจ เงียบเสียจนได้ยืนเพียงเสียงของหลินเจี้ยนที่แหบแห้งกำลังร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างสิ้นหวัง
ในท้ายที่สุด ร่างกายของเขาเหลือเพียงผิวหนังที่ไม่บุบสลายเพียงหนึ่งนิ้ว ทัณฑ์เลาะกระดูกจบลงเช่นนั้น
คราบเลือดที่เกิดจากรอยคลานฝังลึกลงบนพื้น กลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งในอากาศก็น่าสะอิดสะเอียน
หวังอี๋เหนียงกรีดร้องและยกมือขึ้นปิดหู ก้มหน้ากับพื้นร้องโอดครวญ “ข้าไม่ได้อยากกิน!ข้าไม่ได้อยากกินพวกเจ้า!ไม่ต้องเข้ามาหาข้า!”
หลินเจี้ยนนอนหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่ที่พื้น ริมฝีปากของเขาสั่นระริก ทว่าแม้แต่หนึ่งคำก็ไม่อาจเอ่ยได้
กระบี่ยาวค้างไว้สูง ประกายคมทรยศขยับขึ้นลงเป็นครั้งคราว ชี้ไปยังตำแหน่งหัวใจของหลินเจี้ยน
พลังวิญญาณรุนแรงไหลผ่านปลายนิ้วของสิงอวี้เซิง เพียงแค่เขาตวัดปลายนิ้ว ปลายกระบี่จะพุ่งปักไปยังคนที่เขาเกลียดชังและเสียชีวิตไปได้ในทันที
มู่ฉางถิงพยายามดิ้นรนจากอันตรายที่ถูกนางปีศาจรัดคอไว้ เอ่ยด้วยความยากลำบาก “...สิง สิงอวี้เซิง หากว่าเจ้าจัดการกับเขาที่นี่ จะไม่สามารถกลับสำนักชิงซินได้แล้ว!ความตายของเขาไม่น่าเสียดาย แต่เจ้ายังเด็กนัก หากถูกกล่าวหาว่าฆ่าอาจารย์ไปทั้งชีวิต เจ้าจะอยู่อย่างไรบนโลกใบนี้?”
เมื่อได้ยินคำนี้ สิงอวี้เซิงชะงักชั่วคราว เงยหน้าขึ้นและสบตาเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งและแน่วแน่
“เจ้าหุบปาก!”นางปีศาจบีบคอเขาแน่นด้วยความโกรธ กล่าวอย่างเร่งเร้าสิงอวี้เซิง “รีบฆ่าเขาเสีย!เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว จะมัวลังเลอะไรอีก!ไม่มีการหันหลังกลับ สายเกินแล้วที่จะเสียใจในตอนนี้!”
สิงอวี้เซิงยกมุมปากของเขายิ้มบาง เอ่ยเสียงเบา “เจ้าคิดว่าสำหรับข้าแล้วสำนักชิงซินนั้นเป็นสถานที่ที่วิเศษอย่างนั้นหรือ?”
คำพูดของเขาเป็นการตอบกลับปีศาจสาว และก็ดูเหมือนเป็นการตอบกลับแก่มู่ฉางถิง เสียงนั้นเงียบลง ปลายนิ้วขยับเบาๆ กระบี่พุ่งลง ปักไปที่หน้าอกของหลินเจี้ยนทันที!
มู่ฉางถิงอดไม่ได้ที่จะหลับตาลง หลินเจี้ยนหยุดหายใจในทันที
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นความตายของคนที่ใกล้ชิดข้างกายเขา แม้ว่าคนผู้นั้นจะน่ารังเกียจก็ตาม แต่การเผชิญหน้ากับความตายอย่างกะทันหันทำให้อารมณ์ของมู่ฉางถิงปั่นป่วนขึ้นมา
ปีศาจสาวหัวเราะเสียงดัง “ดีนัก!ดียิ่งนัก!ฆ่าได้ดี”
ในตอนนี้ สิงอวี้เซิงก็ยกกระบี่ยาวขึ้น ชี้ไปยังมู่ฉางถิง เอ่ยอย่างเย็นชา “ต่อไปก็ถึงคราวของเขาแล้ว”
นางปีศาจเอ่ยถามอย่างกระตือรือร้น “อะไรนะ?แม้กระทั่งเขาเจ้าก็อยากฆ่าอย่างนั้นหรือ?”
สิงอวี้เซิงเอ่ยเสียงเบา “เขาเห็นข้าฆ่าหลินเจี้ยนด้วยตาของตนเอง ความลับนี้ไม่สามารถแพร่งพรายได้ ไม่สามารถไว้ชีวิตเขาได้”
ปีศาจสาวถามกลับ “หรือว่าเจ้าเองก็อยากกลับไปสำนักชิงซิน?เมื่อครู่ก็เอ่ยว่าไม่ใช่สถานที่วิเศษวิโสอะไร ในตอนนี้กลับกลัวมีคนรู้ความลับที่เจ้าฆ่าคนแล้วหรือ?”