บทที่ 18
สูงไม่ถึงร้อยยี่สิบมาแข่งนี่ไม่เห็นมีนะ
สิ่งที่ซังจื้อได้ยินนั้นมีแต่คำว่า
ร้อยยี่สิบยังสูงไม่ถึง
สูงไม่ถึงร้อยยี่สิบ
ซังจื้อวนเวียนอยู่แต่คำพูดของซังเหยียนจนไม่ทันสังเกตว่าคนที่อยู่ด้านหลังพี่ชายของเธอนั้นพูดอะไร และไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่าคนที่พี่ชายเขาพิงอยู่คือใคร
เวลานี้แดดแรงเป็นอย่างมาก แม้ในเต็นท์จะร่มแต่อากาศกลับไม่ได้เย็นเอาเสียเลย บรรยากาศดูหมือนร้อนอบอ้าวไปเสียทุกที่ ใบหน้าของเธอค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมาจากความร้อนและด้วยอามรมณ์ที่หงุดหงิดจึงอดไม่ได้ที่จะสวนพี่ชายของเธอ
“สูงไม่ถึงร้อยยี่สิบอะไร” ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกว่าคำพูดนี้แม้แต่ตัวเธอก็ไม่แน่ใจแต่มันก็อดไม่ได้ “ตอนนี้ร้อยห้าสิบห้าแล้ว จะมาร้อยยี่สิบอะไรของนาย”
“สูงร้อยห้าสิบห้าแล้วหรอนักเรียนคนนี้ งั้นก็” ซังเหยียนว่าพลางมองที่ใบรายชื่อ “ก็ยังเตี้ยอยู่น่ะนะ”
“……”
“โอเค วันหลังก็บอกกันก่อนนะ ไม่งั้นเดี๋ยวเข้าใจผิด”
“……”
จะให้เธอต้องไปเที่ยวบอกคนโน้นคนนี้ว่าเธอสูงร้อยห้าสิบห้าหรอฮะ?
ประเจิดประเจ้อ
“ลองดูเลขที่เสื้อของตัวเองกับในรายชื่อว่าตรงกันไหม” จากนั้นซังเหยียนก็สะกิดชายที่อยู่ด้านข้างของเขา “อย่าพึ่งหลับ มาช่วยกันก่อนสิเพื่อน”
เมื่อถูกเพื่อนที่พิงอยู่สะกิด เขาจึงเงยหน้าขึ้นมา
ซังจื้ออาศัยจังหวะนี้มองที่เขา
ชายหนุ่มท่าทางดูอ่อนล้า เปลือกตาของเขาหรี่ลงเหมือนยังปรับเข้ากับแสงสว่างไม่ได้ ไม่เจอกันไม่กี่เดือน ดูเหมือนผมของเขาจะยาวขึ้นจนลงมาปรกคิ้วและถูกทำให้ยุ่งเหยิงจากการนอน ผิวขาวซีดแต่ริมฝีปากกลับระเรื่อดั่งแต้มชาด
ช่างหล่อไร้ที่ติและมีเสน่ห์มากเสียจริงๆ
ต้วนเจียสวี่ลุกขึ้นนั่งอย่างช้าๆและยังคงทิ้งน้ำหนักตัวพิงไปทางด้านหลังเหมือนคนยังตื่นไม่เต็มที่ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับ “อืม”
ซังจื้อมองเพียงแค่ชั่วครู่ ใจก็เต้นตึกตัก จึงรีบหันเหสายตาทำเป็นมองไม่เห็น เธอหาเรื่องอย่างอื่นให้ตัวเองทำโดยการทำตามที่ซังเหยียนบอก เธอดูในใบรายชื่อที่วางอยู่บนโต๊ะหาชื่อและรหัสเลขของตัวเอง
0155
แล้วซังจื้อก็ก้มลงดูเลขที่แปะอยู่ที่อกของตนเอง จากนั้นก็บอกกับซังเหยียน “ตรงแล้ว”
“เลขที่เธอได้ก็ดูมีความหมายเหมือนกันนะ” ซังเหยียนพูดเสียงเอื่อย “อย่างกับกลัวคนไม่รู้แหนะว่าเธอสูงร้อยห้าสิบห้า”
ซังจื้อหงุดหงิด “ฉันไม่ได้เลือกเองซะหน่อย”
ได้ยินบทสนทนาของทั้งสอง ต้วนเจียสวี่จึงเปิดเปลือกตาขึ้น สังเกตเห็นเสื้อของซังจื้อที่ใส่อยู่ เขาเลิกคิ้วขึ้นพลันความง่วงก็หายไปเกือบหมดเลยทีเดียว
จากนั้น จู่ๆก็ขำออกมา
ซังจื้อได้ยินเสียงหัวเราะจึงมองไปตามเสียงนั้น
ก็เห็นเขาจ้องมองมาที่เสื้อของเธอแล้วหัวเราะก๊ากออกมาอย่างเปิดเผย เห็นได้ชัดว่าเขาขำเสื้อของเธอ
เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของเขาแล้ว ซังจื้อก็นึกออกแล้วว่าสิ่งที่เขาขำก็คือเสื้อบนตัวเธอตอนนี้ที่แม้แต่อาม่ายังไม่ใส่ยังไงล่ะ ใบหูร้อนผ่าว เธอสูดหายใจลึกก่อนจะเดินหลบไปด้านข้างด้วยความไม่สบอารมณ์
หากแต่ก็ยังได้ยินต้วนเจียสวี่หัวเราะแล้วพูดแว่วๆว่า “น้องสาวนายนี่รสนิยมใช้ได้เลยนะ”
“…….”
ตอนนี้รวมกลุ่มแกล้งกันแล้วสินะ
ตาลุงสองคนนี่!
ซังจื้อทำเป็นไม่รู้จักพวกเขา
เธอไปรวมอยู่กับกลุ่มนักเรียนหญิงห้องเดียวกันที่จะแข่งกระโดดไกล รอพวกเขาเช็กรายชื่อผู้เข้าแข่งขันและเลขรหัสให้เรียบร้อย
เพื่อนสาวของเธอคนนี้ชื่อว่า เฉินหรุ่ย ค่อนข้างจะเงียบเรียบร้อย เวลานี้ดูเหมือนเธอว่าจะรู้สึกเบื่อจึงหันมาคุย “ซังจื้อ เธอรู้จักพี่สองคนนั้นหรอ”
ซังจื้อพยักหน้าอย่างฝืนๆ “แต่ไม่ได้สนิทน่ะ”
“แล้วเธอรู้จักได้ยังไงหรอ” เฉินหรุ่ยสงสัย “เขาดูโตกว่าเรามากเลยนะ”
“เพื่อนแม่น่ะ” ซังจื้อตอบไปอย่างไม่คิด
“ฮะ?”
“แม่ฉันชอบไปเต้นที่จตุรัสน่ะ แล้วพวกพี่เขาก็มาเต้นด้วยบ่อยๆ” ซังจื้อพูด “บางทีก็มากินข้าวที่บ้าน ก็เลยรู้จักน่ะ”
“เต้นที่จตุรัส” “ไปเต้นด้วยกันบอยๆ” ประโยคเหล่านี้ที่เธอพูดไปทำเอาเฉินหรุ่ยถึงกับงง “เธอหมายถึงที่ไปเต้นที่จัตุรัสแบบว่า ‘เพลงเหม่ยลี่เตอะซีเซียนนฺหวี่’* แบบนั้นอ่านะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงอันเหลือเชื่อ
ซังจื้อตอบหน้าตาย “ใช่แล้ว”
“ดู” สีหน้าของเฉินหรุ่ยในตอนนี้อธิบายได้ยากเหลือเกิน “น่าสนใจดีเนอะ”
* เหม่ยลี่เตอะซีเซียนนฺหวี่ 美丽的七仙女เป็นเพลงที่นิยมใช้ในการเต้นที่จัตุรัส
“ก็อย่างเงี้ยแหละ” ซังจื้อเห็นเธอเชื่อ จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาหน่อย “คนวัยนี้ก็ชอบเต้นแบบนี้กันหมด”
“………”
ไม่นานนัก ซังเหยียนก็เรียกพวกเธอเข้าแถวจับฉลาก เรียงลำดับรอบการแข่งขัน
ซังจื้อเลือกหยิบฉลากมาอันหนึ่งและได้รอบแข่งเป็นรอบที่สอง
อาสาสมัครที่อยู่ที่จุดลงทะเบียนทั้งหมดมีสามคน นอกจากซังเหยียนและต้วนเจียสวี่แล้วก็ยังมีผู้หญิงอีกคนหนึ่ง พวกเขาอยู่ในเสื้อแขนสั้นสีดำและใส่หมวกสีขาว
หลังจากที่บันทึกผลการจับฉลากเสร็จเรียบร้อย พวกเขาก็พาผู้เข้าแข่งขันไปยังสถานที่แข่ง
ซึงจื้อไม่อยากจะเชื่อ
แม้ว่าเธอจะรู้อยู่แล้วว่ามหาวิทยาลัยหนานอู๋จะมีอาสาสมัครมาช่วยงาน แต่เรื่องซังเหยียนกับต้วนเจียสวี่นั้น ในความคิดของเธอเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เธอไม่อยากโดนล้อเร่องเสื้อ จึงไปอยู่กับเฉินหรุ่ยที่ด้านหลังสุด
หลังจากที่พวกเธอมาถึงสถานที่แข่งแล้ว หน้าที่ของอาสาสมัครลงทะเบียนก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้
ซังจื้อจึงรู้สึกโล่งอก ภาวนาให้พวกเขาไปเร็วๆ ขณะนี้พึ่งจะเลยสิบเอ็ดโมงมาเล็กน้อย ดวงอาทิตย์แผดแสงร้อนจัด เธอนั่งยองๆลงอาศัยเงาของคนข้างๆหลบแดด
ไม่นาน ก็มีคนเอาหมวกมาสวมให้เธอ
ด้วยแสงแดดที่จ้าทำให้เธอลืมตาไม่ขึ้น เธอจึงจับปีกหมวกขึ้นแล้วเงยหน้า
เมื่อเห็นคนที่อยู่ตรงหน้า เธอถึงกับตัวแข็งทื่อ
เธอช้อนตาขึ้นก็พบกับคนคนหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ ดูเหมือนว่าคำขอของเธอจะไม่เป็นจริง เพราะทั้งสองคนนั่นยังคงไม่ไปไหน แถมตอนนี้ยังมาหาเธอถึงที่
ต้วนเจียสวี่นั่งยองๆลงตรงหน้าเธอ ด้วยแสงแดดทำให้สีผมของเขาอ่อนลงเล็กน้อย เขาค่อยๆเอียงหัวแล้วเท้าแขนไว้ที่หน้าตัก ก่อนจะยิ้มแต่ก็เหมือนจะไม่ยิ้มซะทีเดียว “เสี่ยวซังจื้อวันนี้ใส่เสื้อสวยจังเลยน้า”
ซังจื้อไม่อยากจะไปใส่ใจ
ซังเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่รู้เอากล้องถ่ายรูปมาจากไหน แล้วก็ถ่ายรูปเธอ พร้อมทั้งพูดให้ดูเกินจริง “ไปประกวดนางงามได้เลยนะเนี่ย”
“พี่!” ซังจื้อเบิกตากว้าง “จะถ่ายทำไมเนี่ย”
“พ่อกับแม่ให้ฉันถ่ายไปน่ะ” ซังเหยียนค่อยๆโน้มตัวลงมาแล้วขยับกล้องเข้ามาใกล้ขึ้น “โอเคเสร็จแล้ว วันนี้เธอใส่เสื้ออย่างกับนางงามฮ่องกงแหน่ะ”
“ยังไม่ได้บอกเธอใช่ไหมว่าวันนี้เธอแต่งตัวเหมือนป๊อปอายเลย” เมื่อถูกเขาล้อ ซังจื้อจึงลุกขึ้นแล้วพยามแย่งกล้องมา
“เวลาดีๆเวลาสวยๆไม่รู้จักถ่ายฮะ”
“เอางี้ดีไหม” ซังเหยียนที่รู้อยู่ก่อนแล้วว่าเธอจะต้องเข้ามาแย่งจึงชูกล้องขึ้นสูง “ตอนไหนที่เธอคิดว่าสวยแล้ว ก็มาบอกพี่นะโอเคไหม ไม่งั้นพี่แยกไม่ออกว่าตอนไหนเธอสวยน่ะ”
“……”
ซังจื้อยังคงคิดจะกระโดดขึ้นมาแย่ง แต่ก็พลันโดนจับกดหัวเอาไว้
ทำให้เธอขยับไปไหนไม่ได้
เธอรู้สึกเหมือนจะระเบิด แต่ก็ถูกเขากดเอาไว้จนขยับไปไหนไม่ได้และไม่มีทางเลือกอื่น ซังจื้อสะกดกลั้นอารมณ์ตัวเองเอาไว้ และพูดอย่างเอาตัวรอดไปก่อน “พี่ หนูไม่แย่งแล้ว”
ซังเหยียนก็ยังคงไม่ลดมือลง
ซังจื้อยังไม่ลดละความพยายาม “พี่ถ่ายต่อเถอะ ไม่เป็นไร”
เธอรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน
เดิมทีที่ซังเหยียนเข้ามหาวิทยาลัยไปนั้นก็นับเป็นบุญเป็นกุศล ใครจะไปคิดว่าในเทอมนี้เธอจะต้องมาทนทรมาทรกรรมกับ
ซังเหยียนอีก
ราวกับไม่ได้ยินในสิ่งที่เธอพูด ซังเหยียนยังคงจับหัวเธออยู่ท่าเดิม “ที่ถ่ายอยู่นี้ก็ถ่ายดีๆอยู่ไม่ใช่หรือไง”
“…….” ซังจื้อทนไม่ไหว จึงพูดขู่ออกไป “ถ้าพี่ยังทำแบบนี้อยู่อีก หนูจะบอกพ่อแล้วนะ”
“เอาเลย เธอไปฟ้องเลย” ซังเหยียนพูดอย่างไม่สนใจ “กว่าฉันจะกลับบ้านก็อีกนาน”
สถานการณ์ค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง
ต้วนเจียสวี่ที่นั่งยองๆดูเหตุการณ์อยู่ด้านข้างก็ลุกขึ้นยืน แล้วเอามือของซังเหยียนออกจากหัวของซังจื้อ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะ “อย่าแกล้งน้องสาวฉันจะได้ไหม”
ซังเหยียน “?”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าซังเหยียนสักเท่าไหร่
แต่ก็พอจะพึ่งพาได้ ซังจื้อหลบหลังเขาอย่างไม่คิดจะอาย ก่อนจะพูดออกไปอย่างกับจิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีของเสือ* “ได้ยินไหม พี่ชายฉันบอกให้นายเลิกแกล้งฉันได้แล้ว”
ซังเหยียนมองจ้องทั้งสองคนครู่หนึ่งและรู้สึกงง “ใครพี่ชายเธอ”
แน่นอนว่าเธอจึงชี้ไปที่ต้วนเจียสวี่
“โอเค พี่น้อง” ซังเหยียนวางกล้องในมือลง เหมือนกับว่านี่ก็ดูเป็นข้อเสนอที่ไม่เลว อารมณ์ของเขาดูเหมือนจะดีขึ้น “คืนให้ก็ได้”
สุดท้ายก็มาถึงตาของซังจื้อจะต้องลงแข่ง
*จิ้งจอกที่แอบอ้างบารมีของเสือ หมายถึง แอบอ้างบารมีข่มเหงผู้อื่น
ในด้านของกีฬานั้น ซังจื้อไม่ค่อยถนัดเอาเสียเลย แต่เมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วรู้สึกว่ากีฬากระโดดไกลค่อนข้างจะสบายหน่อย เธอจึงเลือกๆมาอย่างไม่ใส่ใจนัก
และครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกของเธอที่เข้าร่วมการแข่งกีฬาของโรงเรียน
ตอนแรกเธอก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร กะว่ากระโดดเสร็จแล้วก็ไป ส่วนเรื่องรางวัลจะได้หรือไม่ได้นั้น ไม่เคยนึกถึงเลยสักนิด
แต่ตอนนี้อยู่ๆก็มีผู้ชายสองคนจับจ้องเธออยู่
ซังจื้อเป่าปากผ่อนลมหายใจออกช้าๆ
เธอยืนอยู่ที่ลู่วิ่ง ตามองตรงไปที่เส้นกระโดด ในหัวคิดคำนวณกะประมาณว่าเธอจะต้องวิ่งไปกี่ก้าว ไม่นานนัก ซังจื้อก็ได้ยินกรรมการให้สัญญาณออกตัว เธอออกตัววิ่งไปข้างหน้า
เมื่อใกล้จะถึงเส้นกระโดดที่อยู่ห่างออกไปเพียงหนึ่งเมตร ซังจื้อก็หยุดฝีเท้าลงแล้วก็วิ่งต่อ ราวกับกลัวจะเหยียบเส้น ก่อนจะใช้หางตามองกวาดรอบหนึ่ง ขณะนี้เธออยู่ที่เส้นกระโดดพอดี เธอใช้แรงทั้งหมดกระโดดไปข้างหน้า
พลันทุกอย่างก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงลมพัดวืดผ่านไป
ก่อนที่กรรมการจะเอาไม้บรรทัดมาวัดระยะทางอย่างละเอียดถี่ถ้วน “0155 กระโดดครั้งที่หนึ่งได้ 0-0.5 เมตร”
“.........”
ซังจื้อได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆแว่วมาจากคนที่อยู่ด้านข้าง เธอทำหูทวนลมและยืนเกาหัว “ต้องกระโดดอีกรอบไหมคะ”
กรรมการ “ต้องกระโดดสองรอบ”
ซังจื้อไม่อยากจะกระโดดแล้ว แต่เธอก็ไม่อยากจะทำผิดกฏการแข่งขัน “ค่ะ”
คนที่ยืนเป็นผู้ชมอยู่ข้างๆอย่างต้วนเจียสวี่รู้สึกขำจนไหล่สั่น “น้องสาวนายเป็นอะไรไปน่ะ วิ่งมาอยู่ดีๆก็มาหยุดอยู่หน้าเส้นแล้วค่อยกระโดดเนี่ยนะ”
“ยัยนั่นตื่นเต้นแถมยังใจปลาซิวอีก” ซังเหยียนบันทึกเหตุการณ์เมื่อครู่ไว้ในกล้องเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะยกยิ้ม “กลัวหกล้มสิไม่ว่า”
การกระโดดครั้งที่สองซังจื้อยังคงทำแบบครั้งแรก
แต่ดูเหมือนจะดีขึ้นมาหน่อย เพราะครั้งนี้เธอกระโดดได้ 0.8 เมตร
ในขณะที่เธอเดินผ่านซังเหยียน ดูเหมือนว่าเขาจะปรบมือให้เธอเล็กน้อย พร้อมทั้งพูดให้กำลังใจอย่างสุดแสนจะจริงใจ “ฉันเดินก้าวนึงยังไกลกว่าเธอกระโดดเลย”
“.........”
เฉินหมิงซวี่ที่พึ่งจะมาดูการแข่งขันพอดี เมื่อเห็นซังจื้อกระโดดไปแบบนั้น จึงเรียกเธอมาเทศนาเสียยกใหญ่ว่ารอบต่อไปจะต้องกระโดดให้ดีกว่านี้
แม้ว่าแรงกระโดดไม่ดีแต่ก็ต้องตั้งใจกระโดดให้มันดีๆ
ท่าทางตัดสินทุกอย่าง
ด้วยคำพูดถากถางทั้งของเฉินหมิงซวี่และซังเหยียน
ซังจื้อขบเม้มริมฝีปากแน่นและไม่รู้ว่าตนเองกำลังแข่งกับใครกันแน่ แต่ครั้งนี้จะต้องทำออกมาให้ดีให้ได้ ให้พวกนั้นต้องมองเธอใหม่
ซังจื้อจัดกระบวนลมหายใจของตัวเอง ออกตัววิ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
เมื่อไปช่วงกลางจึงค่อยเพิ่มความเร็วขึ้น
ในระยะที่ห่างจากเส้นกระโดดห้าเซ็นติเมตรเธอกระโดดขึ้นแล้วทิ้งตัวลงบนกระบะทราย จากนั้นเธอก็เห็นภาพซ้อนเต็มไปหมดและไม่สามารถทรงตัวได้ อีกทั้งข้อเท้าของซังจื้อก็พลิกทำให้ตัวของเธอก็คะมำไปข้างหน้า
ซังจื้อใช้มือยันประคองตัวขึ้น มือบางถูไปกับทราย พลันทำให้ความเจ็บปวดแล่นแปลบเข้ามา จากนั้นเธอก็ล้มลงบนกระบะทราย
อาสาสมัครที่อยู่ด้านข้างรีบวิ่งเขามาประคองเธอ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
ซังจื้อเจ็บจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เธอร้องซี๊ดด้วยความเจ็บปวดหากแต่ไม่ได้ร้องไห้โฮออกมาแต่อย่างใด เธอเพียงแต่กัดฟันพูดว่า“ไม่ ไม่เป็นไรค่ะ” ด้วยข้อเท้าของเธอที่บาดเจ็บ ทำให้เธอยืนขึ้นไม่ได้
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด
ซังเหยียนและต้วนเจียสวี่รีบวิ่งเข้ามาหา รวมไปถึงเฉินหมิงซวี่ด้วย
ต้วนเจียสวี่นั้นอยู่ใกล้กว่า เขาจึงมาถึงตัวซังจื้อก่อน เขาย่อตัวลงครึ่งหนึ่งแล้วจับที่แขนของเธออย่างแผ่วเบา “ยืนไหวไหม”
ซังจื้อรู้สึกว่ารู้อย่างนี้ไม่น่าทำอย่างนั้นเลย สิ่งที่ทำให้เธออายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนียิ่งกว่าการบาดเจ็บคือทุกคนต่างมองมาที่เธอ เธอก้มหน้าลงส่ายหัว
ซังเหยียนประคองที่แขนอีกข้างของเธอพลางขมวดคิเวแล้วพูดว่า “ทำไมถึงยังจะกระโดดต่ออีกล่ะ”
ครั้งนี้ซังจื้อร้องไห้ออกมาอย่างน่าสงสารจับใจ “ก็พี่ล้อฉัน”
สองคนออกแรงพยุงเธอให้ยืนขึ้น
ซังเหยียนย่อตัวลง “ขึ้นมา ไปทายาก่อน”
เฉินหมิงซวี่ที่ดูอยู่ข้างๆ รู้สึกผิดขึ้นมา “ซังจื้อ เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ครูไม่ควรจะพูดกับเธอแบบนั้น น่าจะให้เธอกระโดดอย่างที่เธออยากจะทำ จะได้ร่วมกิจกรรมอย่างมีความสุข”
ซังจื้อปีนขึ้นไปบนหลังของซังเหยียน ดวงตายังคงมีน้ำตาเอ่อคลอ “ไม่เป็นไรค่ะ”
ท่าทางของเธอเช่นนี้ยิ่งทำให้เฉินหมิงซวี่รู้สึกผิด เขาหันกลับไป พูดอะไรอีกนิดหน่อยก่อนจะหันกลับมาเพราะสังเกตเห็นต้วนเจียสวี่ที่ยืนอยู่ข้างๆ “พี่ชายซังจื้อมาอยู่ที่นี่ได้ยังกันล่ะครับนี่”
“อ๋อ ผมนึกออกแล้ว” เฉินหมิงซวี่เริ่มชวนคุย “ครั้งที่แล้วเหมือนคุณจะบอกว่าเรียนที่มหาวิทยาลัยหนานอู๋ใช่ไหมครับ ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับที่ไม่ได้ดูแลคนในครอบครัวคุณให้ดี”
พูดจบ เขาก็สังเกตเห็นซังเหยียนที่แบกซังจื้ออยู่ เขานิ่งไปครู่หนึ่ง “แล้วคนนี้คือ”
ซังจื้อเริ่มวิตก
เธอนึกย้อนไปถึงตอนที่โดนเรียกพบผ็ปกครอง เรื่องที่เธอบาดเจ็บอนนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กไปแล้วในตอนนี้และดูเหมือนว่าความกลัวจะเข้ามาแทน
จะตอบยังไงดีล่ะ
จะบอกว่าซังเหยียนเป็นพี่ชายแท้ๆของเธออย่างนั้นน่ะหรอ งั้นที่เธอทำมาทั้งหมดนั่นก็หมดกันน่ะสิ
หรือจะบอกว่าเขาเป็นเพื่อนของพี่
ถ้างั้นทำไมเขาถึงต้องแบกเธอล่ะ มันไม่แปลกไปหน่อยหรอ
ต้วนเจียสวี่ที่เห็นซังจื้อที่เลิ่กลั่กก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้และกำลังจะพูดออกไป
ทันใดนั้นซังจื้อก็กอดคอซังเหยียนแน่นราวกับจะรัดคอเขาให้ตายยังไงยังงั้นและเพื่อนที่จะปิดปากไม่ให้พูด สมองของเธอโล่ง
โจ้งก่อนจะพูดออกไปอย่างทันคิด
“พ่อ”
ซังเหยียนหันขวับ “…….”
ซังจื้อทั้งเจ็บทั้งลนลาน น้ำตาของเธอยังคงไหลพรากและพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น “อาจารย์ นี่พ่อหนูเองค่ะ”
“…….”