บทที่ 18 นายชอบผู้หญิงดีๆ แบบนี้ด้วยเหรอ...?
เมื่อเห็นสีหน้าตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัดของโจวจิงเจ๋อ สวี่สุยก็ลดขนตาลงและหัวเราะเยาะตัวเอง “จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร”
โจวจิงเจ๋อเอนหลังพิงม้านั่ง นั่งไขว่ห้าง ขายาวข้างหนึ่งเหยียบลงกับพื้น เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่ใส่ใจและหรี่ตาลงเพื่อระลึก
ในความทรงจำของเขาในชั้นเรียนดูเหมือนว่าจะมีหญิงสาวคนหนึ่ง สวมชุดนักเรียนตัวใหญ่ ชอบก้มหน้าทุกเช้าตอนที่เข้าห้องเรียนจะรีบเดินผ่านที่นั่งของเขาไป บางครั้งแขนเสื้อก็ปัดมาโดนกระดาษทดสอบบนโต๊ะของเขา
เขามีความประทับใจเล็กน้อยเกี่ยวกับสวี่สุย เขาคิดว่าคนที่อยู่ตรงหน้าแค่ชื่อซ้ำกัน เขารู้สึกคุ้นเคยขึ้นมา โจวจิงเจ๋อหันมามองสวี่สุย หญิงสาวขี้อายและเงียบขรึมในความทรงจำของเขาค่อย ๆ ทับซ้อนกับคนตรงหน้า
“เธอเปลี่ยนไปเยอะมาก” โจวจิงเจ๋อพูดออกมาหนึ่งประโยค จิตใต้สำนึกของเขาทำให้เขาต้องพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค “ขอโทษนะ—”
สวี่สุยส่ายหัว การกลับมาพบกันอีกครั้งของทั้งสองคนในมหาวิทยาลัย เธอยอมรับความจริงที่ว่าโจวจิงเจ๋อจำเธอไม่ได้ ถึงยังไงเขาก็เป็นลูกรักพระเจ้า และเป็นเป้าหมายของสาว ๆ ในโรงเรียนเสมอ
เธอเป็นเพียงดวงดาวที่มืดสลัว ไม่ได้โดดเด่นสะดุดตา
คนบางคน โชคดีที่แม้จำชื่อคนรอบข้างไม่ได้ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับยังคิดถึงอยู่เสมอ
โจวจิงเจ๋อหยิบกระป๋องโค้กบนพื้นขึ้นมาเอนตัวลง กระป๋องโค้กในมือของเขาสัมผัสโกโก้ร้อนที่เธอถืออยู่ ดวงตาสีเข้มของเขาล็อกเธอไว้แน่น
“งั้นมาทำความรู้จักกันอีกครั้งดีมั้ย?”
“ก็ได้” สวี่สุยได้ยินตัวเองพูดเบา ๆ
——
ในฤดูหนาว กลางวันสั้น กลางคืนยาวนาน เวลาในการเรียนและซ้อมวงดนตรีผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลุ่มของพวกเขานับวันก็ยิ่งคุ้นชิน และร่วมมือกันอย่างรู้ใจ ในชั่วพริบตาก็มาถึงวันคริสต์มาสอีฟ
เวลาในการแข่งขันงานอาร์ตกาล่าที่ร่วมกันจัดโดยทั้งสองโรงเรียน บังเอิญจัดขึ้นในวันที่ 24 ธันวาคม วันนี้ที่โรงเรียนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความมีชีวิตชีวาและการเฉลิมฉลอง
ที่พิเศษคือ วันนี้เป็นวันเกิดของสวี่สุยด้วย สวี่สุยตื่นแต่เช้าก็ได้รับอั่งเปาซองใหญ่จากแม่และยายของเธอ คุณยายยังโทรมาหาด้วยตัวเอง เพียงบอกเธอให้รักษาร่างกายให้อบอุ่น และให้หยิบอั่งเปาออกไปทานอาหารดี ๆ เท่านั้น
สวี่สุยออกมาโทรศัพท์ที่ทางเดิน และทำตัวเหมือนเด็กเอาแต่ใจกับหญิงชรา “แต่คุณยาย หนูแค่อยากจะกินบะหมี่อายุยืนที่คุณยายทำ”
หญิงชราหัวเราะอย่างหนัก “ได้สิ รอหลานกลับมาจากปิดเทอมฤดูหนาว ยายจะทำให้หลานทุกวันเลย”
ตอนเที่ยง สวี่สุยชวนเพื่อนร่วมห้องสองคนออกไปกินข้าวข้างนอก เหลียงส่วงนั่งอยู่ในร้านอาหาร ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย “เธอเก็บเงินได้เหรอ?”
หูเชี่ยนซีใช้แขนของเธอโอบไว้รอบคอของสวี่สุยแล้วพูดว่า “ใช่ สาวน้อย ทำไมวันนี้ถึงดูมีความสุขจัง?”
“ก็... สองวันก่อน สอบค่อนข้างราบรื่นมั้ง” สวี่สุยหาข้อแก้ตัว ขายผ้าเอาหน้ารอด
แต่สวี่สุยไม่คิดว่าตัวเองจะโดนเปิดเผยหลังจากเช็คบิลอาหารแล้ว พนักงานเสิร์ฟหันหลังกลับมาพร้อมกับหยิบบิลและบัตรเอทีเอ็ม ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “สวัสดีค่ะ เนื่องจากวันนี้เป็นวันเกิดของคุณ การจ่ายเงินครั้งนี้มีส่วนลด 12% นอกจากนี้ ทางร้านของเราจะมอบเค้กพิเศษให้กับคุณ สุขสันต์วันเกิดนะคะคุณสวี่”
สวี่สุยตกตะลึง หลังจากที่พนักงานเสิร์ฟออกไป เพื่อนร่วมห้องทั้งสองก็คว้าคอเธอจากซ้ายไปขวาและตะโกนว่า “อยากตายหรือไง วันเกิดเธอทำไมไม่บอกพวกเรา”
“ตอนนี้พวกเธอก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ?” ดวงตาที่ฉลาดของสวี่สุยมีรอยยิ้มซ่อนอยู่ด้านใน นิ้วชี้ถูกวางไว้บนริมฝีปาก “แต่ ‘ชู่’ แค่พวกเธอมากินข้าวเป็นเพื่อนก็มีความสุขแล้วล่ะ”
ในตอนบ่าย สวี่สุยและหูเชี่ยนซีรีบไปที่ห้องซ้อมมหาวิทยาลัยการบินปักกิ่ง เพื่อฝึกซ้อมในตอนเย็นการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว งานอาร์ตกาล่าของทั้งสองโรงเรียนคึกคักมาก
เสียงอึกทึกจากรอบข้าง ๆ ดังไม่หยุด หลังเวทีผู้คนก็แออัด และอยู่ในสภาพที่วุ่นวาย ความตื่นเต้นได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ตอนที่สวี่สุยนั่งแต่งหน้าด้านหลังเวที เธอรู้สึกประหม่าในใจเล็กน้อย
แต่คนกลัวยังไงก็กลัวอยู่ดี หญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านหลังเวทีที่พลุกพล่านพร้อมกาแฟสองแก้วแล้วตะโกนว่า “หลีกไป” แต่เธอไม่ระวังถูกสาวข้าง ๆ ที่กำลังลองเสื้อผ้ามาชน
หญิงสาวงอข้อศอก กาแฟร้อนหนึ่งเทแก้วลงมา เกือบครึ่งหกใส่กางเกงและเสื้อเชิ้ตสีขาวของสวี่สุย อาการปวดแสบปวดร้อนจากร่างกายทำให้สวี่สุยขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
หูเชี่ยนซีกำลังช่วยสวี่สุยแต่งหน้า พูดอย่างไม่พอใจทันที “ทำบ้าอะไรเนี่ย?”
เมื่อเห็นเช่นนั้นหญิงสาวทั้งสองคนก็ก้มลงขอโทษ แล้วยื่นทิชชู่ให้ แต่เมื่อหูเชี่ยนซีมองสีหน้าของสวี่สุยก็รู้สึกเจ็บปวดแทนเธอ และตะโกนว่า “คนทั้งคนมองไม่เห็นเหรอ? เรากำลังจะขึ้นเวที คราวนี้จะขึ้นไปได้ยังไง?”
สวี่สุยหยิบกระดาษทิชชู่และเช็ดคราบกาแฟออกจากร่างกาย แต่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่เธอสวมอยู่พังยับเยิน เธอดึงแขนเสื้อของหูเชี่ยนซีที่ยังโกรธอยู่และพูดว่า
“ฉันจะไปล้างในห้องน้ำ และลองใช้เครื่องอบผ้าดู ว่ามันจะโอเคมั้ย”
หูเชี่ยนซีโมโหบุคลิกที่อ่อนโยนของเธอ และพูดอย่างไม่มีทางเลือกว่า “จะมีประโยชน์อะไร ฉันจะไปขอยืมเสื้อผ้าอีกชุดหนึ่ง แต่ใครจะมีเสื้อผ้าหลายชุดล่ะ?”
“ฉันมี” น้ำเสียงที่เฉียบขาดและหยิ่งทะนงพูดออกมา
ทุกคนหันกลับไปมอง เธอ คือ ไป่อวี๋เยว่ เธอสวมชุดราตรีสีม่วงสง่างาม แต่งหน้าสวยสดใส เมื่อเธอเดินเข้ามา ดวงตาของเธอแพรวพราวดูโดดเด่นมาก
“แต่ขนาดอาจจะไม่พอดี เอามั้ย?” ไป่อวี๋เยว่พูดพร้อมกับกอดอก
หูเชี่ยนซีหายใจถี่ และพูดว่า “เธอ—”
สวี่สุยเอื้อมมือออกไปหยุดหูเชี่ยนซี และมองตรงไปที่ไป่อวี๋เยว่ “ฉันต้องการมัน”
ไป่อวี๋เยว่จับแขนเธอและตกตะลึงครู่หนึ่ง ไม่คิดว่าสวี่สุยจะยอมรับ “ความปรารถนาดี” ของเธอ และสุดท้ายก็พูดว่า “มานี่สิ”
เมื่อสวี่สุยเดินไปยืนข้างไหล่ของเธอ จึงพูดว่า “ขอบคุณนะ”
หลังจากไป่อวี๋เยว่ได้ยินคำนี้ น้ำเสียงของเธอก็หงุดหงิดอีกครั้ง แต่เธอก็จำใจต้องยกชั้นวางขึ้นแล้ว โยนเสื้อผ้าบนโซฟาให้เธอ “หายกันแล้วนะ”
เมื่อสวี่สุยออกมาจากห้องแต่งตัว แน่นอนว่าขนาดมันใหญ่เกินไป ไป่อวี๋เยว่สูงและมีโครงร่างที่ใหญ่กว่าเล็กน้อย การที่เธอสวมใส่มันแล้ว ไม่พอดีจึงเป็นเรื่องปกติ
เมื่อเห็นสวี่สุยเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว หูเชี่ยนซีรู้สึกว่าดวงตาของเธอเป็นประกาย และชมเธอว่า “สวยมาก!”
“แต่ชุดมันใหญ่เกินไป” สวี่สุยพูดและมองไปรอบ ๆ ห้องรับรอง “ถ้ามีคลิปหนีบหรือเข็มกลัดก็คงดี”
ดวงตาของสวี่สุยกวาดไปทั่วห้องรับรอง แต่เธอกลับถูกมองโดยสายตาคู่หนึ่ง ซือเยว่เจี่ยมาเพื่อมอบของบางอย่างให้กับคู่หูของเขา
วันนี้เขาสวมสูทสีดำและผูกโบว์สีแดง เขาหล่อและสง่า เมื่อเขาเห็นสวี่สุยก็เดินเข้ามา ดึงดูดสายตาผู้คนมากมายตลอดทาง
“ราบรื่นดีมั้ย?” ซือเยว่เจี่ยถามด้วยรอยยิ้ม
หลังจากที่เขาถามเสร็จ เขาก็สังเกตเห็นปกคอเสื้อของสวี่สุย และเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ซือเยว่เจี่ยเอื้อมมือออกไปโดยไม่ลังเล ถอดเข็มกลัดสีทองออกจากปกคอเสื้อแล้วยื่นให้สวี่สุย
สวี่สุยส่ายหัว เขายิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอก สำหรับพี่ มันก็แค่เข็มกลัดที่ใช้ประดับ แต่สำหรับเธอ มันเป็นสิ่งที่จะช่วยกอบกู้สถานการณ์ ในฐานะรุ่นพี่ของเธอ การช่วยเหลือเป็นสิ่งที่จำเป็น อย่าทำให้ฉันเป็นวายร้าย”
สวี่สุยรู้สึกขบขันกับประโยคสุดท้ายของเขา เธอไม่เขินอายอีกต่อไปและรับมา “ขอบคุณค่ะรุ่นพี่ เดี๋ยวเอามาคืนนะคะ”
ระหว่างนั้นหูเชี่ยนซีไม่ได้พูดอะไรเลย หยิบเข็มกลัดขึ้นมาเงียบ ๆ และจับปกคอเสื้อของสวี่สุยที่หลวมให้กระชับ หลังจากกลัดเข็มกลัดแล้ว พวกเขาก็สามารถขึ้นเวทีได้อย่างราบรื่น
สวี่สุยเดินอยู่ด้านหลัง เมื่อเธอเดินออกจากห้องรับรองและกำลังจะไปรวมตัวกับพวกเขา ไป่อวี๋เยว่กอดอกพิงกำแพง เหลือบมองเธอแล้วพูดว่า “เธอโชคดีมากนะ แต่เธอรับมือเขาไม่ไหวหรอก”
คำว่า “เขา” แม้ว่าไป่อวี๋เยว่ไม่ได้พูดชื่อ พวกเขาทั้งคู่รู้ว่าเป็นใคร สวี่สุยมีบุคลิกที่นุ่มนวลและมีอารมณ์ดีอยู่เสมอ แต่คราวนี้เธอมองไปที่ไป่อวี๋เยว่ด้วยสายตาที่ราบเรียบ สีหน้าเย็นชา
“ขอบคุณที่ให้ยืมเสื้อผ้านะ แต่ฉันไม่เคยเป็นหนี้เธอ”
หลังจากพูดจบ สวี่สุยก็ยืดหลังและเดินผ่านไหล่เธอไปโดยไม่หันกลับมามอง ปล่อยให้ไป่อวี๋เยว่ยืนตะลึงอยู่คนเดียว เธอไม่เคยติดหนี้ไป่อวี๋เยว่
เมื่อได้พบกับโจวจิงเจ๋ออีกครั้งในวิทยาลัย เขาก็จำเธอไม่ได้แล้ว ครั้งที่สองที่พวกเขาพบกัน เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องของหลานสาวของเขา และครั้งที่สามที่พวกเขาพบกัน พวกเขาก็เลิกรากันแล้ว เธอไม่ได้ทำอะไรนอกลู่นอกทางเลย
สวี่สุยเดินไปรวมตัวกับพวกเขา กลุ่มของพวกเขายืนอยู่หลังม่าน พิธีกรพูดบนเวทีว่า “กลุ่มที่จะแสดงต่อไป คือ อารมณ์คาร์บอนไดออกไซด์ วงนี้เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันดีของทั้งสองโรงเรียน...”
“ขอเชิญพวกเขาขึ้นเวที เวอร์ชั่นดัดแปลงของ ‘ดื้อรั้น’
ทันใดนั้นก็มีคลื่นเสียงปรบมือจากผู้ชม โจวจิงเจ๋อสะพายเชลโลบนหลัง ยืนอยู่ในเงามืด ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและเหลือบมองไปที่สวี่สุย และชมเธอท่ามกลางเสียงปรบมือที่ดังสนั่น “สวยมาก”
แม้สวี่สุยจะรู้ว่านี่เป็นเพียงคำชมตามมารยาท แต่หัวใจของเธอก็รู้สึกคันนิดหน่อย เมื่อเธอกำลังจะพูด ม่านก็ค่อย ๆ เปิดออก สวี่สุยจึงจำเป็นต้องรวบรวมสติให้พร้อมสำหรับการแสดง
เซิ่งหนานโจวดีดนิ้ว สวี่สุยนั่งตรงมุมและเริ่มตีกลอง ผู้ชมต่างพากันส่งเสียงเชียร์ทันทีเมื่อเสียงเพลงที่คุ้นเคยดังขึ้น
ต้าหลิวยืนอยู่หน้าเวที น้ำเสียงของเขาสะอาดและบริสุทธิ์ เขาร้องเพลงพร้อมกับเล่นกีตาร์ไฟฟ้า
“เมื่อฉันแตกต่างจากโลก
ถ้าอย่างนั้นก็ปล่อยให้ฉันแตกต่างเถอะ
ความอดทนของฉันคือการต่อสู้อย่างหนัก
ถ้าฉันประนีประนอมตัวเอง
ถ้าหากโกหกตัวเอง
แม้ว่าคนอื่นจะให้อภัย
แต่ฉันให้อภัยไม่ได้
ความปรารถนาที่สวยงามที่สุด ก็เป็นสิ่งที่บ้าที่สุด
ฉันคือพระเจ้าของฉันเอง
ในพื้นที่ของฉัน..”
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีโบกแท่งไฟในมือ ยิ้มไปพร้อมกับฟังพวกเขาร้องเพลง พวกเขาทำให้เพลงช้าลงเล็กน้อย กีตาร์ไฟฟ้าของหูเชี่ยนซี และหีบเพลงของเซิ่งหนานโจวยังคงบรรเลงอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากที่ต้าหลิวร้องเพลงท่อนนี้จบ เขาก็มองไปที่ชายหนุ่มที่อยู่ทางด้านซ้าย โจวจิงเจ๋อก็ก้มหน้าลงและโค้งคำนับ เผยให้เห็นข้อมือที่มีข้อนิ้วชัดเจน และเสียงต่ำที่เป็นเอกลักษณ์ของเชลโลก็ดังขึ้น
โจวจิงเจ๋อนั่งอยู่ตรงนั้น ขายาวของเขาวางอยู่ข้างเชลโลสีแดงเลือด สวมหมวกแก๊ปที่มียอดแหลมสีดำ ใบหน้าด้านข้างของเขาเป็นเส้นชัดเจน ดวงตาของเขาลดลง และจดจ่อกับการแสดงด้วยการแสดงเพียง 1 นาที เสียงเชลโลนำพาผู้คนเข้าสู่ห้วงอารมณ์
ที่นั่น ป่ากว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด ทันใดนั้นก็เกิดไฟไหม้ นกและต้นไม้ทุกหนทุกแห่งถูกไฟไหม้ ทุกคนวิ่งหนีจากทิศทางที่ต่างกัน นกตัวหนึ่งกำลังจะบินขึ้นไปบนฟ้า ถูกต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้ทับปีก เลือดสด ๆ หยดลงมา
อย่างไรก็ตาม เมื่อลมพัดมา นกที่ได้รับบาดเจ็บก็ค่อย ๆ พยายามบินขึ้นไป เสียงเชลโลค่อย ๆ ดังขึ้น เมื่อโจวจิงเจ๋อเล่นไปถึงจุดหนึ่ง เขาเอียงศีรษะและมองสวี่สุย
สบตาเบา ๆ กลางอากาศ สวี่สุยหยิบไม้ตีกลอง และหมุนเป็นวงกลมสองสามวงในอากาศ ยิ้มให้ผู้ชม และตีกลองทันที เสียงกลองราวกับหยาดฝน เหมือนลมที่โหมพัดอย่างรุนแรง เป็นการแสดงที่มีพลัง
เสียงทุ้มต่ำของเชลโลและเสียงกลองอันน่าตื่นเต้นบรรเลงประสานกัน เมื่อถึงจุดหนึ่ง ต้าหลิวก็ร้องเพลงด้วยเสียงที่ไพเราะ
ไม่กลัวโดนคนมากมายกีดกัน
แต่กลัวตัวเองจะยอมแพ้
ทันใดนั้น ผู้ชมด้านล่างก็เริ่มร้อนระอุ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้เห็นฟีนิกซ์เกิดใหม่แล้ว เซิ่งหนานโจวเข้าใจโดยปริยาย หูเชี่ยนซีดึงสายกีตาร์ไฟฟ้าดันบรรยากาศให้ถึงจุดไคลแม็กซ์ พวกเขาชำเลืองมองกันและกัน จากนั้นร้องเพลงร่วมกัน
“ฉันภูมิใจในความดื้อรั้นของฉัน
ฉันร้องเพลงเสียงดังท่ามกลางสายลม
วัยรุ่นคืออะไร ร่างกายที่แข็งแรง เสียงโห่ร้องดังภายในร่างกาย
มันคือความใจร้อน”
ขณะนั้น ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวทีอินและร้องเพลงไปพร้อม ๆ กัน เสียงโห่ร้องและเสียงปรบมือกลบเสียงฝูงชน ทุกคนต่างร้องเพลง
“ครั้งนี้เป็นความบ้าของฉันเอง
เพราะครั้งนี้เป็นฉันและความดื้อรั้นของฉัน
แค่ครั้งนี้ให้ฉันร้องออกมาดัง ๆ
ลา ลา ลา~~
ผิดหวังได้แต่อย่าสิ้นหวัง
ลา ลา ลา~~
แค่ครั้งนี้ฉันและความดื้อของฉัน....”
ต้าหลิวขว้างไมค์ ส่งเสียงเชียร์ และพุ่งตรงไปยังผู้ชม ฝูงชนโห่ร้องและกรี๊ด เซิ่งหนานโจวอินไปกับบรรยากาศ ก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งจากเวทีไปยังผู้ชม
ผู้ชมที่อยู่ด้านล่างเวที เหวี่ยงทั้งสองคนขึ้นไปในอากาศและส่งเสียงเชียร์อยู่ครู่หนึ่ง ท่ามกลางเศษกระดาษสีทองจำนวนมากร่วงหล่นลงมา โจวจิงเจ๋อวางเชลโลและยืนขึ้น ถอดหมวกสีดำและยืนตรงกลางเวที มุมปากของเขายกขึ้น รอยยิ้มของเขาช่างไร้สาระและป่าเถื่อน
ในขณะเดียวกันนิ้วทั้งห้าของมือด้านขวาก็ชิดกัน ฝ่ามือเสมอกัน ยกขึ้นไปยังตำแหน่งขมับ และทำความเคารพต่อนักบินที่หล่อเหลามากมากมาย ต่ออาจารย์และเพื่อนร่วมชั้นในหอประชุม
เสียงเชียร์จากผู้ชมดังขึ้นเรื่อย ๆ บางคนในฝูงชนตะโกนว่า “เจ๋งมาก” เด็กสาวยืนขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้งแล้วตะโกนว่า “หล่อระเบิดเลย”
“เฮ้ย นั่นโจวจิงเจ๋อจากสถาบันการบินใช่มั้ย? เพราะมาก อ่า อ่า ฉันจะละลายแล้ว!”
“ใช่ เล่นเชลโลก็เพราะ ทำไมเขาถึงเก่งไปหมดทุกอย่างเลยนะ?”
การสนทนารอบตัวเขายังคงดำเนินต่อไป ซือเยว่เจี่ยยืนอยู่ด้านล่างเวทีมองดูฉากนั้นอย่างเงียบ ๆ สวี่สุยนั่งหลังกลองและยิ้มให้โจวจิงเจ๋อโดยไม่รู้ตัว นัยน์ตาเป็นประกาย
หลังจากการแสดงทั้งหมดจบสิ้นลง เวอร์ชั่นดัดแปลง “ดื้อรั้น” ของพวกเขาชนะที่ 1 โดยไม่ต้องสงสัย เมื่อพวกเขาขึ้นเวทีเพื่อรับรางวัล โจวจิงเจ๋อก็ไม่ขึ้นไป
ตั้งแต่เล็กจนโต โจวจิงเจ๋อได้รับรางวัลมากมาย และทุกครั้งเขาจะพูดเหมือนเดิม เขาขี้เกียจเกินกว่าจะขึ้นไป
โจวจิงเจ๋อยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง รอให้พวกเขารับรางวัลเสร็จและไปทานอาหารเย็นด้วยกัน เพื่อนชื่อฉินจิ่งที่อยู่ห้องข้าง ๆ บังเอิญยืนอยู่ข้างเขา
ฉินจิ่งกระแทกไหล่ของเขา และพยักหน้าไปที่ตำแหน่งของสวี่สุยบนเวที ด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น “เฮ้เพื่อน…ผู้หญิงคนนั้นจากทีมของนายดูดีมาก แนะนำให้ฉันรู้จักหน่อยสิ”
โจวจิงเจ๋อเคี้ยวลูกอมและก้มลงมองโทรศัพท์ คิดว่าเขากำลังพูดถึงหูเชี่ยนซี เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง พูดด้วยน้ำเสียงกระชาก “หลานสาวของฉันไม่ต้องหวัง”
“ไม่ใช่” ฉินจิ่งผลักแขนของโจวจิงเจ๋อและรีบพูดแก้ “ไม่ใช่ อีกคนนึง”
โจวจิงเจ๋อชะงักนิ้วโป้งบนหน้าจอ ค่อย ๆ เงยศีรษะขึ้นและตระหนักว่าเขากำลังพูดถึงสวี่สุย
ฉินจิ่งชอบล่าผู้หญิง เขายื่นโทรศัพท์มือถือให้โจวจิงเจ๋อ และกล่าวว่า “นายดูโพสต์ของโรงเรียนสิ มันจะระเบิดแล้ว หน้าแรกไม่ได้กำลังพูดถึงนายแต่กำลังพูดถึงผู้หญิงคนนั้น มีคนสืบค้นแล้ว มหาวิทยาลัยข้าง ๆ สวี่สุย คณะแพทยศาสตร์ (ห้องสาม)”
“นายดูสิ ในโพสต์เต็มไปด้วยรูปการแสดงของเธอเมื่อครู่ ทุกคนต่างขอข้อมูลการติดต่อหลัก ๆ เป็นเพราะเธอดูดีมากตอนอยู่บนเวที ผู้หญิงคนนั้นดูฉลาดและดูดีมาก ผู้หญิงนุ่มนิ่มตีกลอง ใครจะต้านทานได้ อา เมื่อกี้เธอยิ้มให้คนด้านล่างเวทีด้วย ขาของฉันอ่อนแรงไปหมด โชคดีที่เมื่อกี้ฉันบันทึกวิดีโอการแสดงของเธอเอาไว้”
โจวจิงเจ๋อเลื่อนนิ้วโป้งลงบนโพสต์อย่างรวดเร็ว ดวงตายังคงนิ่ง จนกระทั่ง ฉินจิ่งแสดงวิดีโอที่บันทึกให้เขาดู ดวงตาของเขามีปฏิกิริยาเกิดขึ้นเล็กน้อย
เมื่อครู่เขาตั้งใจทำการแสดง อีกทั้งยังยืนอยู่ด้านหน้าของสวี่สุย เขาไม่ได้สังเกตการแสดงของสวี่สุยเลย ในวิดีโอ เขาเห็นสวี่สุยที่แตกต่างออกไป
แสงตกกระทบลงมาบนตัวของสวี่สุย เธอสวมชุดเดรสสีขาวคล้องคอนั่งอยู่ตรงนั้น ตาสีดำและริมฝีปากสีแดง คอขาว ไหล่เนียน ขาภายใต้กระโปรงนั้นยาวและตรง เธอน่ารักและสวยมาก
ไม้ตีกลองเป็นเหมือนปากกาในมือของสวี่สุย เธอแกว่งไปมาอย่างง่ายดาย แต่จังหวะที่ตีกลับเร่าร้อน เห็นได้ชัดว่าเธอเป็นคนนุ่มนวลและเงียบขรึม แต่เมื่อเธอตีกลองกลับไม่มีความนุ่มนวลเลยแม้แต่น้อย ในตัวเธอราวกับมีความรุนแรงอยู่บนความนุ่มนวล
สวี่สุยถือไม้ตีกลองในมือและเริ่มหมุน เธอหมุนสองสามรอบกลางอากาศ หลังจากนั้นก็เคาะลงบนกลองอย่างแรง เผยให้เห็นรอยยิ้ม ลักยิ้มทั้งสองข้างปรากฏขึ้น ผู้ชมร้อนระอุในทันที ในวิดีโอยังบันทึกเสียงร้องตะโกนของฉินจิ่งไว้อีกด้วย
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง หัวใจของโจวจิงเจ๋อถูกโจมตีที่ไหนสักแห่ง ไม่หนักไม่เบา แต่เขากลับไม่สามารถอธิบายความรู้สึกได้
ฉินจิ่งเห็นว่าเขาเกิดความสนใจ จึงผลักแขนของเขาอีกครั้ง “นายชอบผู้หญิงดี ๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”
โจวจิงเจ๋อเงยหน้าขึ้นมองสวี่สุยที่อยู่บนเวที เคี้ยวมินต์ในปากโดยไม่พูดอะไร ฉินจิ่งรู้ว่าผู้หญิงของเขาที่ผ่านมาเหมือนกันหมด — หน้าอกใหญ่ ต้นขายาวและสวยแพรวพราว พูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
“หรือว่า ที่ผ่านมานายชอบแบบนี้มาตลอด?”