บทที่ 17
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงของเขาดังเกินไปหรือเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดมันยากจะรับไหวกันแน่ เห็นได้ชัดว่าซังจื้อถึงกับยืนแข็งทื่อไม่ไหวติง
ฝีเท้าของทั้งสองหยุดลง
บรรยากาศอันเงียบกริบชวนกระอักกระอ่วน
ดวงตาของฟู่เจิ้งชูที่จับจ้องไปที่เธอค่อยๆเบนหลบไป ใบหูบัดนี้เปลี่ยนเป็นสีแดง เขาลูบหัวป้อยๆพยามทำตัวเองให้เป็นปกติ “ทำไมเงียบล่ะ” เขาเอ่ยถาม
ซังจื้อขานรับไปครั้งหนึ่งและยังคงทำตัวไม่ถูก
เธอไม่ใช่ว่าไม่เคยถูกสารภาพรักมาก่อน แต่โดยทั่วไปแล้วไม่ใส่จดหมายไว้ใต้โต๊ะก็ส่งข้อความเอาไม่ใช่หรือไง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอโดนสารภาพต่อหน้าเช่นนี้ มิหน่ำซ้ำยังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อีก
“นี่” ซังจื้อคิดบางอย่างขึ้นมาได้และนึกสงสัย “ยังจำเรื่องที่นายต่อยฉันฟันหลุดได้ไหม”
“……” นี่เป็นเร่องที่ฟู่เจิ้งชูเสียใจที่สุดแต่เขาก็ได้ทำมันลงไปแล้ว เวลานี้ที่ทำได้เพียงก็มีแต่แก้ต่างให้ตัวเองก็เท่านั้น “เรื่องนี้มันก็หลายปีแล้ว อีกอย่างนิ้วฉันก็หักเหมอืนกันไม่ใช่หรือไง”
ซังจื้อเอ่ยอย่างไม่ถือสา “ก็จริง”
ฟู่เจิ้งชูพ่นลมหายใจด้วยความโล่งอกและตั้งตารอคำตอบจากเธอ
ซังจื้อผู้เขียนคำว่า “ปฏิเสธอ้อมๆ” ไม่เป็น จึงพูดไปตามตรง “นายอย่าชอบฉันเลย ฉันไม่ชอบคนเด็กกว่าน่ะ”
ฟู่เจิ้งชูอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างโกรธเคือง “จะมาตัดสินกันกับแค่อายุเนี่ยนะ”
“……”
“เธอบอกมาเถอะ ฉันเปลี่ยนได้นะ”
ซังจื้อครุ่นคิดครู่หนึ่ง “ฉันชอบคนหล่อๆหน่อยน่ะ”
“……” ฟู่เจิ้งชูสูดหายใจลึก ก่อนจะชี้นิ้วไปที่เธอ “นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครหาว่าฉันขี้เหร่หรอก เธอกำลังทำให้ฉันดูแย่งั้นสินะ”
“ก็” ซังจื้อเอ่ยเสียงเอื่อย “รสนิยมความงามแต่ละคนก็ไม่เหมือนกันนี่”
ฟู่เจิ้งชูน้อยใจอย่างมาก “แล้วจะให้ฉันไปทำศัลยกรรมหรือไง”
“ฉันหมายความอย่างนั้นซะที่ไหนกัน” ซังจื้อที่ถูกแผดเสียงใส่ก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา เธอพูดพึมพำ “ก็เลยบอกนี่ไงว่าอย่ามาชอบฉันเลย”
“ช่างเหอะ” ฟู่เจิ้งชูยอมแพ้ “คิดซะว่าฉันไม่เคยพูดก็แล้วกัน”
เห็นท่าทางอารมณ์ไม่ดีของเขาแล้ว ซังจื้อก็เริ่มรู้สึกผิดไม่รู้ว่าตัวเธอนั้นพูดแรงเกินไปหรือเปล่า เธอกัดฟันถามออกไป “ทำไมนายถึงมาชอบฉันล่ะ”
ฟู่เจิ้งชูมองเธอครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบไปแบบลวกๆ “ก็เธอสวย”
ซังจื้อ “อ๋อ”
ฟู่เจิ้งชู “ตอบฉันแค่นี้เนี่ยนะ”
ซังจื้อ “ก็ไม่มีอะไรจะแก้ตัวนี่”
“…….”
ทั้งสองยังคงหยุดอยู่ที่บันไดเลื่อนชั้นสาม
ฟู่เจิ้งชูพลันรู้สึกหนักอึ้งในใจ เขามองเธอครู่หนึ่ง แล้;จึงเอ่ยปากถาม “เธอไม่อยากจะคบใครในวัยแบบนี้ใช่ไหม”
ซังจื้อพยักหน้า “นั่นก็ส่วนหนึ่ง”
“แล้วเธอก็ไม่ชอบฉันเพราะฉันมันเด็กกว่า ฉันมันขี้เหร่” ยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บ ฟู่เจิ้งชูเม้มปากและขอบตาก็เริ่มจะแดงเรื่อ “ซังจื้อ แต่วันนี้เป็นวันเกิดของฉันนะ อย่าปฏิเสธกันเลยได้ไหม”
“……” ซังจื้อถึงกับอึ้ง “นี่นายร้องไห้หรอ”
“ร้องกะผีสิ” ฟู่เจิ้งชูรู้สึกขายหน้าจึงหันไปขยี้ตาและดูเหมือนว่าเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก แต่ทว่าเขากลับสังเกตเห็นผู้ที่มายืนอยู่ที่ด้านหลัง
ฟู่เจิ้งชูปะทะสายตากับเขาคนนั้นพอดี
ครู่หนึ่ง
น้ำตาของฟู่เจิ้งชูก็เหือดหายไป เขารู้สึกคุ้นกับคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก
แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
เห็นฟู่เจิ้งเงียบไป ซังจื้อจึงหันกลับไปมอง เมื่อมองไล่ตามสายตาของเขาไปด้านหลังก็พบกับต้วนเจียสวี่
ไม่รู้ว่าเขามายืนอยู่ข้างหลังนี่นานเท่าไหร่แล้ว
เมื่อเห็นทั้งสองคนทองมา ต้วนเจีนสวี่จึงเลิกคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยขึ้น “รบกวนพวกเธอแล้ว”
“…….”
ฟู่เจิ้งชูนักออกแล้วว่าคนคนนี้คือใคร
พี่ชายของซังจื้อ
ครั้งที่แล้วที่ซังจื้อโดนเรียกผู้ปกครอง เขาเคยเจออยู่ที่ห้องพักครู
เมื่อนึกถึงเรื่องที่ตนได้พูดออกไปก่อนหน้า ฟู่เจิ้งชูรีบโค้งคำนับอย่างสำนึกผิด “พี่ซังจื้อสวัสดีครับ”
ต้วนเจียสวี่ตอบรับ “อืม”
แล้วฟู่เจิ้งชูก็พลันวิ่งแจ้นไปอีกทางหนึ่ง “ไปก่อนนะครับพี่ชายซังจื้อ”
“…….”
น่าแปลก ทั้งๆที่ไม่เห็นว่าตัวเองจะทำผิดอะไรตรงไหน แต่เธอกลับรู้สึกละอายใจขึ้นมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอตัดสินใจที่จะเริ่มบทสนทนาก่อน “พี่ แอบฟังหรือเปล่า”
ต้วนเจียสวี่มองมี่เธอ “ใช่แล้ว”
“……”
ในเมื่อเขายอมรับมาแบบนี้แล้ว ซังจื้อก็ได้แต่กลืนคำพูดที่กะจะพูดต่อลงคอไปและสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เธอเองก็รับมือไม่ทัน ในเมื่อไม่รู้จะพูดอะไรออกไปก็ได้แต่เงียบและเดินลงชั้นล่างต่อไป
ต้วนเจียสวี่เดินตามหลังเธอมาอย่างช้าๆ “เสี่ยวซังจื้อของพวกเรานี่ก็เนื้อหอมไม่ใช่เล่นเลยนะเนี่ย”
“……”
เขาทำเหมือนกับเรื่องนี้มันน่าตลก เขาหัวเราะออกมา
ดูเหมือนจะรู้สึกว่าเรื่องนี้มันน่าตลกแบบสุดๆ เขาหัวเราะออกมา “ทำเอาหนุ่มน้อยคนนั้นร้องไห้ขี้มูกโป่งเลย”
วังจื้อไม่รู้จะตอบอะไร ได้แต่อายหน้าแดง “พี่จะทำอะไร”
ต้วนเจียสวี่ “พี่ก็เป็นห่วงเธอไง”
ซังจื้อรู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างมาก “หยุดพูดถึงเรื่องนี้ได้แล้ว”
“โอเค” ต้วนเจียสวี่หยุดพูดเรื่องนี้ หากแต่ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม “ครั้งที่แล้วหลังจากที่พบคุณครู พูดว่ายังไงนะ ในลองทวนให้ฟังหน่อยซิ”
ตอนนี้เธอเข้าใจความหมายที่เขาต้องการจะสื่อแล้ว
“หนูจำไม่ได้หรอก แต่หนูไม่ได้มีรักในวัยเรียนซะหน่อย” ครุ่หนึ่งซังจื้อก็พูดเน้นย้ำอีกครั้ง “ไม่มีแน่นอน”
ต้วนเจียสวี่ “ยังเชื่อฟังกันอยู่สินะ”
ซังจื้อพ่นลมออกจมูกอย่างไม่สบอารมณ์นัก
ต้วนเจียสวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยชี้แนะ “จะมีความคิดอย่างนี้ในช่วงวัยรุ่นมันก็ไม่แปลกหรอกนะ แต่อย่าเธอไปทำร้ายจิตใจคนอื่นแบบนั้นสิ ควรจะพูดขอบคุณความรู้สึกชอบที่เขามีให้ก่อน แล้วค่อยปฏิเสธไป”
ซังจื้อ “แล้วหนูไปทำร้ายจิตใจเขาตรงไหนกัน”
ต้วนเจียสวี่ “ไม่ใช่ว่าเธอไปทำเขาร้องไห้หรอกหรอ”
“หมอนั่นก็ทำหนูร้องไห้ตั้งหลายครั้ง” ซังจื้อเถียง “เมื่อก่อนตีกันทีไร ไม่ว่าใครจะชนะ คนที่ร้องไห้ก็เป็นหมอนั่นตลอด”
ต้วนเจียสวี่กวาดตามองเธอแล้วยิ้ม “ต่อยตีกับเขาเป็นด้วยหรอเรา”
ตอนนี้ทั้งสองออกมาจากห้างและรอรถอยู่ที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆนั้น
ซังจื้อตอบไปตามจริง “ตอนเด็กๆน่ะ”
เขาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันแสนขี้เกียจ “เธอตอนนี้ก็ยังเป็นตอนเด็ก”
เงียบไปครู่หนึ่ง ซังจื้ออดเถียงไม่ได้ “ตอนนี้ไม่เด็กแล้ว”
“อื้ม” ต้วนเจียสวี่ส่งยิ้มแล้วมองที่ส่วนสูงของเธอ “โอเค ดูเหมือนเธอจะสูงขึ้นมาหน่อยนึงแล้วนะ แถมยังรู้จักใจดีกับพี่อีกต่างหาก”
ซังจื้อช้อนตาขึ้นมองเขาอย่างเงียบๆ
ต้วนเจียสวี่ “ยืนมือมาสิ”
ซังจื้อจึงยื่นมือออกไปอย่างงงๆ
ครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่นำเงิน “ทั้งเนื้อทั้งตัว” ที่ซังจื้อให้เขาคืนให้กับเธอ พร้อมพูดอย่างยิ้มๆ “ขอบคุณนะ เสี่ยวซังจื้อ”
ซังจื้อค่อยๆเงยหน้าขึ้น
“รู้ไหมว่าถ้าคนอื่นรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะพูดว่ายังไง” จ้วนเจียสวี่เว้น “เขาก็จะบอกว่าพี่แบล็คเมล์เด็กม. ต้น แล้วก็โดนโยนเข้าคุก”
ซังจื้อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “แบล็คเมล์ตรงไหน ก็แค่เงินจ่ายค่าขนม”
ต้วนเจียสวี่ “เธอกินไปสองร้อยหยวน คนอื่นก็หาว่าพี่โก่งราคาน่ะสิคะ”
ซังจื้อไม่ยอม ซ้ำยังนำเงินยัดใส่มือกลับไปให้เขาอีก “แต่หนูให้พี่แล้ว”
“ให้พี่ทำไม” ต้วนเจียสวี่ยิ้ม “คิดว่าพี่ไม่มีปัญญาหาเงินเองเลยหรอคะ”
“เปล่า” เมื่อเขาพูดออกมาแบบนี้ ซังจื้อกลับมาคิดทบทวนดูอีกครั้งดูเหมือนว่าเธอจะทำให้เกิดเรื่องที่เขาไม่พอใจขึ้นมา เธอลังเลก่อนจะเอ่ยขอโทษ “ขอโทษค่ะพี่”
“อื้ม”
ซังจื้อที่นึกถึงคำพูดของตนเองเมื่อกลางวัน เธอจึงพูดออกไป “ตอนนั้นหนูไม่ควรถามแบบนั้นเลย หนูก็แค่เห็นพี่ดูยุ่งมากๆ ก่อหน้านี้ก็รบกวนพี่อีก ก็เลยรู้สึกเกรงใจ แล้วยังจะเงินของพี่ที่หามาได้อย่างยากลำบาก หนูใช้จ่ายไปแบบนั้นไม่ได้หรอก แล้วยังจะเรื่องที่พาเพื่อนมาอีก”
“……..”
ต้วนเจียสวี่ยกยิ้ม “ไหงอยู่ดีๆก็พูดสุภาพเรียบร้อยขึ้นมาซะงั้นล่ะ”
ซังจื้อตอบตามจริง “ก็คุณพ่อบอกมาว่าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด”
“ใครบอกว่าเธอทำผิดกัน”
“ก็หนูทำให้พี่รู้สึกไม่ดีนี่” ซังจื้อพูด “นี่ก็ทำผิดแล้ว”
“ไม่เป็นไร พี่ไม่ได้รู้สึกไม่ดีซะหน่อย” ต้วนเจียสวี่ลูบหัวเธอ “เอาตังค์ไปซื้อลูกอมกินไป”
ซังจื้อเอามือไขว้หลัง “หนูไม่ได้ชอบกินลูกอม”
“งั้นก็ซื้อของที่ชอบสิ” ต้วนเจียสวี่หลุบตาลงล่าง มองเธอด้วยดวงตาอันสุกสกาวคู่นั้น “ไว้พี่จนจริงๆแล้วจะมายืมเงินเธอนะ โอเคไหม”
เมื่อขึ้นรถมาแล้ว ซังจื้อเดินมาที่เบาะนั่งหลังสุด เมื่อเธอสบตากับต้วนเจียสวี่ผ่านกระจกรถ ก็รีบหลบสายตาเขาทันที พลางมองเงินที่เขายัดใส่มือเธอมา
ซังจื้อก็ได้แต่รูดซิปเก็บไป
ความมืดกำลังโรยตัวปกคลุมลงมา ท้องฟ้าแดงสลัวอาบย้อมสีของก้อนเมฆ ภูเขาที่ตั้งตระหง่านไกลลิบราวภาพวาดก็อยู่ท่ามกลางสีสันนี้ด้วยเช่นกัน
ซังจื้อเอานิ้วเขียนตัวอักษร “ต้วน”ที่หน้าต่างแล้วก็รีบลบมันออก
พลันเธอก็รู้สึกเศร้าซึมขึ้นมา
ยังบางอย่างที่เธอไม่เข้าใจ
อายุยิ่งมาก ปัญหาก็ยิ่งมากตามหรอ
แต่เธอคิดว่าเธอก็ยังอายุไม่เยอะ
ต้วนเจียสวี่ก็ดูเหมือนจะยังไม่เยอะเหมือนกันนี่นา
-
การเจอกันโดยไม่ได้คาดคิดครั้งนั้นก็อยู่ในปิดเทอมครั้งนี้และนั่นก็เป็นครั้งสุดท้ายที่เธอได้พบกับต้วนเจียสวี่ หนึ่งเดือนถัดมาซังจื้อได้เข้าคลาสเรียนศิลปะภาคฤดูร้อนและเริ่มลงมือทำการบ้านปิดเทอม
เธอเริ่มจะยุ่ง ยุ่งในเรื่องที่สมกับวัยของเธอ
ซังจื้อไม่ได้ถามอะไรซังเหยียนเกี่ยวกับเรื่องของต้วนเจียสวี่อีก แล้วก็ไม่ได้พยายามจะติดต่อเขาด้วย เธอไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาได้กลับบ้านหรือเปล่า ไม่รู้ว่ายังทำงานหาเงินตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อตแบบนั้นอยู่อีกไหม
เธอแอบซื้อกระปุกออมสินเอาไว้อันหนึ่ง
ค่อยๆเก็บเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายได้จำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว
บางทีเงินพวกนี้อาจจะไม่ได้ใช้ก็ได้
แต่เธอคิดว่าอีกหน่อยอาจจะต้องใช้
มัธยมศึกษาปีที่สองเทอมใหม่ได้เริ่มขึ้น
การสอบแบ่งห้องเรียนตอนเปิดเทอมซังจื้อก็ทำได้เป็นปกติและได้อยู่ห้องท็อป เพื่อนๆในห้องส่วนใหญ่ก็ต่างกระจัดกระจายกันไป แม้แต่เพื่อนที่เธอจะสนิทที่สุดอย่างยินเจินหรูก็ถูกแยกไปอีกห้องหนึ่ง
ไปอยู่ห้องเดียวกันกับฟู่เจิ้งชู
หลังจากแยกห้องกันแล้ว ยินเจินหรูก็ไม่ค่อยมาคุยเลนกับเธอสักเท่าไหร่
ตัวของซังจื้อเองก็ไม่ได้จะกระตือรือร้นขนาดนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนับวันก็ยิ่งน้อยลง ตัวเธอเองก็เป็นคนที่ชอบทำอะไรด้วยตัวคนเดียวอยู่แล้วจึงไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากนัก
ช่วงเวลาเพีบงพริบตาก็เป็นช่วงปลายเดือนตุลาคมเสียแล้ว
โรงเรียนมัธยมซฺวี่รื่อก็เริ่มที่จะหารือตระเตรียมเรื่องงานกีฬาและยืมสถานที่ของมหาวิทยาลัยหนานอู๋ที่อยู่ข้างๆ กับเรื่องงานกีฬานั้นซังจื้อไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่ในหนึ่งห้องมีนักเรียนหญิงไม่มากนัก ทำให้เธอโดนคุณครูบังคับให้ลงเล่นกีฬาอย่างน้อยหนึ่งรายการ
ซังจื้อจึงจำใจต้องลงชื่อในกีฬากระโดดไกลไป
ในห้องมีการเก็บเงินค่าเสื้อทีมของห้อง เสื้อทีมนี้เป็นผลงานการออกแบบโดยเฉินหมิงซฺวี่ที่ออกแบบตามใจตัวเองไม่รับฟังความเห็นของตนอื่น เป็นเสื้อที่มีลายดอกทานตะวันอันใหญ่แปะอยู่ตรงกลาง ดูแล้วช่างเอิกเกริกแต่ไร้รสนิยมสิ้นดี
เป็นเสื้อที่เห่ยที่สุดที่ซังจื้อเคยเห็นมา
วันกีฬา
ซังจื้อรู้สึกอับอายขายขี้หน้าที่ต้องเปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อทีมหลังจากถึงโรงเรียน จากนั้นก็เดินแถวกันไปที่มหาวิทยาลัยหนานอู๋
นอกจากที่ไปช่วยซังเหยียนย้ายหอครั้งนั้น นี่ก็เป็นครั้งที่สองที่เธอมาจึงไม่ได้รู้สึกว่าแปลกใหม่อะไร
พวกผู้ชายที่ไม่ได้ร่วมการแข่งขันก็ยืนอยู่รอบๆและเริ่มตั้งวงเล่นเกม ซังจื้อมองไปที่บริเวณข้างๆอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงประกาศให้นักกีฬากระโดไกลหญิง ชั้นมัธยมศึกษาปีที่สองไปรายงานตัวเธอจึงเดิมตามแถวนักเรียนหญิงไปยังโต๊ะลงทะเบียน
นอกจากสถานที่แล้ว มหาวิทยาลัยหนานอู๋ยังเตรียมอาสาสมัครให้อีกจำนวนหนึ่งไว้อีกด้วย
อย่างเช่นตอนนี้
ซังจื้อเจอพี่ชายแท้ๆของเธออยู่ที่จุดลงทะเบียน
ซังเหยียนที่นั่งอยู่ในเต็นท์ลงทะเบียน เมื่อเห็นเธอเขาจึงยกยิ้มแล้วใช้ปากกาในมือเคาะที่โต๊ะ ดูเจตนาไม่บริสุทธิ์ “นักเรียน เธอไม่ผ่านเกณฑ์กลับไปเหอะ”
ซังจื้อพูดออกอย่างอดทนอดกลั้น “ไม่ผ่านเกณฑ์ตรงไหน”
“ส่วนสูงไม่ถึง”
“ไม่ยักรู้ว่ากระโดดไกลเขากำหนดความสูงด้วย”
ซังเหยียนถอยหลังไปมองที่ส่วนสูงของเธอครู่หนึ่ง “เธอทำไม่ได้หรอกมั้ง สูงไม่ถึงร้อยยี่สิบเนี่ย” พูดจบเขาก็ทิ้งน้ำหนักตัวพิงชายที่หน้าตาง่วงๆคนหนึ่งแล้วพูดอย่างยิ้มๆ “นายว่างั้นไหมเพื่อน”