บทที่ 15
หลังจากที่กลับมาถึงบ้านซังจื้อก็รีบเข้าห้อง หยิบเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยนอาบน้ำออกมาแล้วเข้าห้องน้ำเพื่อเตรียมจะอาบน้ำ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถอดเสื้อ เธอก็นึกถึงเดรสตัวที่เปื้อนที่ถูกเปลี่ยนไปก่อนหน้านี้ เธอจึงวิ่งออกไปอีกครั้ง
เธอกวาดตามองไปห้องรับแขกและระเบียง
ไม่เห็นถุงพลาสติกนั่นเลย
เธอจึงไปดูที่ห้องของซังเหยียน ประตูห้องก็ไม่ได้ปิดไว้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนกำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ในครัว เธอได้ยินเขาทำอะไรก็อกแก็กก๊องแก๊งอยู่ข้างใน
พึ่งจะไปกินมาไม่ใช่หรอ?
ซังจื้อนนึกในใจ: “กินจุจริงๆเลย” แล้วเธอก็เดินกลับห้องไป พลันเห็นถุงพลาสติกวางอยู่บนโต๊ะหนังสือ
เธอจึงหยิบถุงเดินกลับมาที่ห้องน้ำแล้วหยิบกะละมังใบหนึ่งเข้าไปด้วย
ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ซังจื้อซักผ้าเองครั้งแรกอีกด้วย เธอบีบน้ำยาซักผ้า แล้วใช้มือทั้งสองข้างขยี้ตรงจุดที่เลอะ ท่าทางอาจจะดูชักช้าไปบ้างแต่เธอก็ซักได้อย่างสะอาด
กว่าซังจื้อจะออกมาจากห้องน้ำ ก็ผ่านไปเป็นชั่วโมง
เธอหอบกะละมัง วิ่งไปตากเสื้อผ้าที่ระเบียง ขณะที่ซังจื้อกำลังจะกลับเข้ามาในห้องนั้น เธอได้ยินเสียงของซังเหยียน
ดูเหมือนว่าเขากำลังคุยโทรศัพท์อยู่ น้ำเสียงนั้นดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย: “ต้มแล้ว”
“ต้องห่วงอะไร? ไม่เห็นเธอจะเป็นอะไรเลย” ซังเหยียนพูด “จะมาให้ใส่พุทรา ตังกุยอะไร ไม่ใช่ แม่ ทำไมไม่บอกก่อนล่ะ ผมจะไปรู้ได้ไง”
“พ่อกับแม่ไม่ได้จะกลับพรุ่งนี้หรอ? ถึงเวลาแล้วก็กลับมาดูเอาเองเหอะ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว ลูกสาวพ่อกับแม่ก็เลี้ยงกันเองนะ แค่นี้นะ? สองวันนี้ทำดีที่สุดแล้ว—— โอเค ให้เธอดื่มแบบนี้เลยนะ”
ครู่หนึ่ง ซังเหยียนเหมือนว่าจะวางโทรศัพท์ไปแล้ว ไม่นานนักเขาก็ออกมาพร้อมกับถ้วย เขามองมาที่ซังจื้อแล้วพูดเสียงเย็น: “เดินมาดื่มเอง”
ซังจื้อเดินเข้าไปอย่างช้าๆ: “พี่ไม่ชอบฉันขนาดนั้นเลยหรอ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นน่ะนะ” ซังเหยียนถอนหายใจ แล้วพูดเน้นเสียงเรียงตัว “ตอนนี้เธอคงโดนฉันตีตายไปแล้ว”
พูดจบ ซังเหยียนขี้เกียจจะยุ่งกับเธออีกจึงเดินกลับเข้าห้องไป
ซังจื้อเดินไปที่โต๊ะกินข้าวแล้วยกชามขึ้นอย่างระมัดระวัง แล้วจึงกลับเข้าห้องไป เธอนั่งที่โต๊ะก่อนจะจิบสมุนไพรในถ้วยจิบหนึ่ง
น้ำสมุนไพรนั่นยังคงร้อนเกินไป
เธอจึงวางมันไว้ข้างๆ ก่อนจะเหลือบตาไปเห็นตุ๊กตาโดราเอม่อนที่ถูกเธอวางไว้บนเตียง
ซังจื้อเดินเข้าไป แล้วจับมันวางไว้ด้วยกันกับตุ๊กตาของต้วนเจียสวี่ที่เธอได้มาก่อนหน้านี้ที่หัวเตียง
เธอล้มตัวลงนอนห้อยขา แล้วใช้นิ้วจิ้มๆไปที่หน้าของตุ๊กตา
หลังจากนั้นก็พลิกตัวกลับมานอนมองเพดาน
เธอเริ่มจะฝันกลางวัน
วันนี้ดูเหมือนว่าจะเกิดเรื่องที่ออกจะหน้าอายไปหน่อย
แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
-
ด้วยความที่นี่เป็นประจำเดือนครั้งแรกของเธอ นอกจากช่วงท้องที่ปวดกับความรู้สึกที่แปลกไปจากเดิมแล้วก็ไม่ได้มีอาการเจ็บปวดอื่นใดอีก หากแต่วันถัดมาเธอตื่นขึ้นด้วยอาการปวด ที่ท้องของเธอปวดราวกับโดนเข็มแทง
หลีผิงและซังหรงนั้นกลับมาแล้วและได้ต้มโจ๊กข้าวฟ่างให้แก่ซังจื้อถ้วยหนึ่ง
“ยังปวดอย่ไหมลูก?” หลีผิงนั่งลงข้างๆเธอแล้วเอ่ยถาม หลังจากรอให้เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จเรียบร้อยแล้ว “มาแล้วก็ดีเหมือนกัน เห็นน้าสะใภ้บอกว่า พอเสี่ยวปิงประจำเดือนมาก็ส่วนสูงก็พุ่งปื๊ดเป็นร้อยเจ็ดสิบเลย”
ซังจื้อตักโจ๊กกินคำหนึ่ง ได้ยินดังนั้นเธอจึงนึกอยู่ครู่หนึ่ง: “พี่ลูกพี่ลูกน้องน่ะหรอ?”
“ใช่แล้ว”
ซังจื้อเอ่ยถาม: “พี่เขาสูงร้อยหกสิบอยู่แล้วไม่ใช่หรอ?”
หลีผิง: “ใช่ คิดดูแล้วลูกอาจจะสูงถึงร้อยหกสิบก็ได้”
“ร้อยหกสิบ……” ซังจื้อกลืนโจ๊กลงไปก่อนจะส่ายหัว “หนูอยากสูงมากกว่านั้นอีกสักหน่อย จะให้ดีซักร้อยเจ็ดสิบ”
“งั้นจื๋อจื่อของพวกเราก็ต้องกินข้าวเยอะๆ” หลีผิงพูดด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “เดี๋ยวก็โตแล้ว”
หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแล้ว ซังจื้อก็เอาแต่นอนอยู่บนเตียงไม่ทำอะไรเลยทั้งวัน แต่คิดเรื่องที่เธอจะสูงขึ้น นี่ก็เป็นอย่างแรก
ที่บ่งบอกว่าเธอเป็นผู้ใหญ่แล้วและหลังจากนี้เธอก็จะไม่เหมือนเด็กน้อยอีกต่อไปแล้ว
“……”
ดูเหมือนอาการปวดของเธอจะไม่ได้หนักหนาอะไร
-
วันพุธหน้าเป็นวันเกิดของฟู่เจิ้งชู
เดิมทีซังจื้อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปและเธอเองก็ไม่คุ้นเคยกับเพื่อนกลุ่มนั้น หลีผิงก็ได้ช่วยสมัครในคอร์สวาดภาพภาคฤดูร้อนให้เธอแล้วแต่เป็นเพราะยินเจินหรูโทรมาหาเธออย่างไม่หยุดหย่อน เธอจึงยอมตอบตกลง
บ้านของยินเจินหรูเองก็อยู่แถวๆนี้ เธอมาหาซังจื้อแต่เช้ากะว่าจะไปพร้อมกัน เป็นเพราะร้านคาราโอเกะนั้นอยู่อีกย่านหนึ่งทั้งสองคนจึงมารอรถที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ
เดือนสิงหาคม อาหาศร้อนอบอ้าวเป็นอย่างมาก อุณภูมิพื้นดินที่ร้อนระอุ จนได้กลิ่นไอดิน หญิงสาวทั้งสองใส่เสื้อแขนสั้นและกางเกงขาสั้นถือร่มรออยู่ที่ป้ายรถเมล์
คร่หนึ่ง ซังจื้อที่ร้อนจนแทบจะระเบิด: “นัดตอนบ่ายโมงไม่ใช่หรือไง? มาทำไมแต่เช้า”
“ฉันลืมซื้อของขวัญน่ะ…..” ยินเจินหรูพูดพลางปลิ้นลิ้นอย่างขัดเขิน “เอาเหอะยังไงเราก็ต้องไปที่ช่างอัน ไปเดินๆหาซื้อของขวัญแถวนั้นแล้วค่อยไปหาพวกฟู่เจิ้งชู”
“แต่ตอนนี้มันพึ่งจะสิบโมงเองนะ”
“นั่งรถไปก็ชั่วโมงนึงแล้วไง” ยินเจีนหรูมองนาฬิกาแล้วมองนาฬิกาอีก “พเราไปถึงก็สิบเอ็ดโมงแล้ว ซื้อของแล้วก็กินข้าวกลางวัน เวลาก็พอดีๆไม่ใช่หรือไง?”
ซังจื้อพึมพำ: “ฉันไปกินข้าวเลยไม่ได้หรอ?”
“ไม่ได้! ฉันจะไปเดินคนเดียวได้ยังไง!” ยินเจินหรูพูด “แล้วก็ เธอไม่ได้เรียนประถมห้องเดียวกันกับฟู่เจิ้งชูมาตลอดหกปีหรอกหรอ? ทำไมฉันรู้สึกว่าคามสัมพันธ์ของพวกเธอสองคนไม่ดีเอาซะเลยแฮะ”
“ก็ไม่ดีไงล่ะ”
“……” ยินเจินหรูไม่อยากจะเชื่อ “พูดจริงพูดเล่น? ฉันก็นึกว่าฟู่เจิ้งชูเขา…….อย่างงั้นอะ…..เธอเก็ตปะ”
ซังจื้อขมวดคิ้ว: “อะไร ไม่เข้าใจ”
ยินเจินหรูยื่นหน้ามาใกล้แล้วกระซิบ: “แอบชอบเธอไง”
“……”
เป็นจังหวะเดียวกันกับที่รถมาพอดี
ไม่รอให้ซังจื้อได้ตอบ ยินเจินหรูก็รีบขึ้นรถทันที
บนรถค่อนข้างโล่ง มีผู้โดยสรเพียงไม่กี่คนเท่านั้นจึงเหลือที่นั่งอีกจำนวนมาก ทั้งสองคนเลือกที่จะนั่งที่นั่งแถวหลัง
ซังจื้อยังคงคิดถึงตำพูดของยินเจินหรู ความรู้สึกของเธอค่อนข้างจะบอบบาง: “ใครบอกเธอ?”
“เธอดูไม่ออกหรือไง” ยินเจินหรูพูด “หมอนั่นมาหาฉันแล้วนัดเธอให้ออกไปด้วยบ่อยจะตาย ห้องหกอยู่ชั้นสาม ห้องเราอยู่ชั้นสอง แต่เขาชอบมาโผล่หน้าที่ห้องเรา”
ซังจื้อถาม: “แล้วทำไมเธอไม่คิดว่าเขาแอบชอบเธอบ้างล่ะ?”
“……”
“ถ้าอย่างงั้นทำไมหมอนั่นถึงมามาหาฉันตรงๆไปเลยล่ะ แต่กลับมาผ่านทางเธอเนี่ยนะ” ซังจื้อท่าทางดูจริงจัง “พวกเธอสองคนก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนี่”
“……..มันก็จริงอย่างที่เธอพูด” ยินเจินหรูทำปากบู้บี้ “แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับเธอ ปกติเขาก็ไม่มาหาฉันหรอกนะ”
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง
ซังจื้อมองจ้องเธอ ก่อนจะชี้นิ้วมาที่แก้มของตนเอง
ยินเจินหรูงง: “อะไร ไม่ได้มีอะไรติดหน้าเธอสักหน่อย”
ซังจื้อยังคงชี้ที่แก้มของเธอ
ยินเจินหรูถึงกับถอยห่างไปด้านหลัง พร้อมทำท่าปฏิเสธ: “จะให้ฉันหอมแก้มเธอหรอ?!”
“อะไรของเธอ” ซังจื้อมอง “ฉันแค่จะบอกว่า ฉันเคยทะเลาะกับฟู่เจิ้งชู”
“ฮะ? เมื่อไหร่?”
ซังจื้อนึกย้อนถึงควมทรงจำในอดีตครู่หนึ่ง: “อย่างเรื่องตอนป.สอง”
“ป.สอง? ตอนนั้นเธอเท่าไหร่น่ะ?”
“ฉันแก่กว่าหมอนั่นปีนึง” ซังจื้อพูด “ตอนเด็กๆ มีพวกผู้ชายชอบมาต่อยตีเด็กผู้หญิง แต่หมอนั่นน่ะแตกต่างออกไป เขาไม่ทำร้ายเด็กผู้หญิงเลย ทำแต่ฉันนี่แหละ”
“ว่าไงนะ?”
“หมอนั่นคิดว่าฉันเป็นเด็กผู้ชายน่ะ”
“……”
“มีครั้งนึง” ซังจื้อชี้ไปที่แก้มข้างขวาของตนเองแล้วกัดฟันพูดเรียงตัว “หมอนั่นใช้กำปั้นต่อยฉันตรงนี้”
คำว่ากำปั้น ทำให้เธอกัดฟันกรอดแน่นขึ้นไปอีก
ยินเจินหรู:“แม่เจ้า แล้วเธอเป็นอะไรมากไหม?”
“หืม? ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าหนักดีไหม” ซังจื้อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะแสดงสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา “ไม่ใช่ว่าฉันสู้หมอนั่นไม่ได้นะ ฉันแค่ยังไม่ได้ตั้งตัวน่ะ ก็เลยร่วงเลย”
“……”
“หลังจากนั้นก็ฟันหลุดมาซี่นึง” ซังจื้อหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า “ตอนนั้นฉันโกรธมากเลย กูเลยผลักหมอนั่นไปทีนึง”
“……แล้วจากนั้นอะ”
“หมอนั่นก็ร่วงลงไปกองกับพื้น”
“……”
-
พูดจบ ยินเจินหรูก็สลัดความคิดนั้นออกจากหัวตนเอง จากนั้นก็ได้เวลาซื้อของขวัญ เธอเองก็ไม่ได้บังคับให้ซังจื้อซื้อขอให้ฟู่เจิ้งชู
ดูเหมือนว่าทั้งสองคนนั้นจะเป็นคู่อริกันและเป็นการหลีกเลี่ยงความบาดหมาง
ซังจื้อที่ตอนนี้รู้สึกโล่งขึ้น เดินตามหลังยินเจินหรูหยิบจับของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อยขึ้นมาดู
ยินเจินหรูเลือกของขวัญตามใจตัวเองแล้วก็ซื้อโคมไฟอันเล็กๆมาอันหนึ่ง ในตอนนี้ยังเหลือเวลาอีกมากกว่าจะถึงเวลานัด ทั้งสองจึงไปนั่งกันในร้านขนมหวาน
ร้านนี้เป็นร้าขนมแฟรนไชส์ พื้นที่ร้านมีขนาดเล็ก ตกแต่งสไตล์จีน มีโต๊ะและเก้าอี้ไม้สีเข้ม โคมไฟสีนวลให้บรรยากาศอบอุ่น
ภายในร้านเปิดแอร์ทำให้เย็นกว่าด้านนอกที่ร้อนอ้าว
ในร้านไม่มีลูกค้าคนอื่นเลย จะมีก็แต่พนักงานหนึ่งคนเท่านั้น
เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด พนักงานร้านจึงช้อนสายตาขึ้น แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วออกจะขี้เกียจ: “ยินดีต้อนรับครับ”
เสียงนั่นฟังดูแล้วคุ้นๆ
ซังจื้อสูดหายใจเข้าก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมอง
ชายหนุ่มในผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาล นั่งอยู่ในเคาท์เตอร์แคชเชียร์ คันคิ้วที่ทิ้งตัวและสีนัยน์ตาที่อ่อนลงเมื่ออยู่ภานใต้แสงไฟ สายตาที่ช้อนขึ้นมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของซังจื้อ
จากนั้นหางตาของเขาก็ดูยกเลิ่กขึ้นเล็กน้อย
บรรยากาศเงียบไปครู่หนึ่ง
ซังจื้อจึงเอ่ยปากเรียก: “พี่”
ต้วนเจียสวี่มองมาที่ซังจื้อและหญิงสาวที่ยืนข้างๆ ก่อนจะพยักหน้า: “มาเที่ยวกันหรอ?”
ซังจื้อ: “อื้ม”
ยินเจอนหรูยืนมองพวกเขาทั้งสองอย่างเงียบๆ
ซังจื้อหยิบเมนูขึ้มาก่อนจะถามขึ้นอย่างลังเล: “พี่ ทำพาร์ทไทม์ที่นี่หรอ?”
“อื้ม” ต้วนเจียสวี่ตอบอย่างไม่ใส่ใจอะไรนัก “ไปหาที่นั่งก่อนสิ อยากกินอะไรก็ค่อยมาสั่ง เดี๋ยวพี่ไปเซิร์ฟให้นะ”
ซังจื้อตอบรับทีหนึ่ง ก่อนจะหาที่นั่งมุมในสุดกับยินเจินหรู
ในตอนที่เปิดเมนู ยินเจินหรูลอบมองไปทางต้วนเจียสวี่แล้วถามขึ้นอย่างสงสัย: “นั่นใครอะ? จำได้ว่าพี่ชายเธอไม่ได้หน้าตาแบบนี้นี่นา”
“เพื่อนพี่”
“หล่อจัง” เอามือทาบอก “จำได้ว่าพี่ชายเธอก็หล่อเหมือนกันนี่นา นี่ซังจื้อ เธอนี่โชคดีชะมัดเลย”
ซังจื้อ: “เพ้อเจ้อ”
ยินเจินหรู: “ฮะ?”
ซังจื้อ: “พี่ฉันหล่อตรงไหน”
“……”
ครู่หนึ่งหลังจาที่ทั้งสองเลือกเมนูของหวานกันได้แล้ว ซังจื้อจึงก็ถือเมนูไปหาต้วนเจียสวี่: “พี่ หนูเอาสาคูมะพร้าวแล้วก็มะม่วงพุด
ดิ้งนม”
ต้วนเจียสวี่: “อืม”
ซังจื้อคิดคำนวณราคาแล้วหยิบแบงก์ยี่สิบหยวนและแบงก์สิบหยวนออกมาอย่างละใบ พร้อมกับหยิบเหรียญออกมาอีกสามเหรียญ เธอล้วงหาอีกเหรีญหนึ่งแต่ก็ไม่พบ
ซังจื้อเอาเงินทั้งหมดวางไว้ที่เคาน์เตอร์แล้ว หันหลังกลับ เธอกะว่าจะเดินไปหยิบกระเป๋าที่โต๊ะเพื่อจะไปเอาเงินมาเพิ่มอีกหยวนหนึ่งให้ครบ
พึ่งจะก้าวออกมาได้สองก้าว ต้วนเจียสวี่ก็เรียกเธอจากด้านหลัง: “ตัวเล็ก”
ซังจื้อหันหน้ากลับมา: “ฮะ?”
ต้วนเจียสวี่ใช้มือเคาะๆเงินที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วยืนเอาศอกเท้าโต๊ะทิ้งน้ำหนักตัวเล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้น: “แกล้งพี่ หาว่าพี่นับเลขไม่เป็นหรอคะ?”
ซังจื้อเม้มปากแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะแล้วหยิบเหรียญหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเอากลับไปวางให้เขาที่เคาน์เตอร์
ต้วนเจียสวี่หลุบตามองต่ำ: “ขาดอีกหยวนนึง”
“……”
ซังจื้อรู้สึกว่าครั้งนี้เป็นเขาที่โกงเงินเธอ ว่าแล้วเธอก็เริ่มแจกแจงรายละเอียด: “อันนี้สิบแปดหยวน อันนี้สิบหกหยวน รวมเป็นสามสิบแปดหยวน ขาดหยวนนึงตรงไหน”
“เมื่อกี้ไม่ได้พูดว่าพี่หล่อหรอกหรอ?”
“……”
เธอพูดที่ไหนกันเล่า นั่นมันยินเจินหรูพูดต่างหาก
แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่อนี้ล่ะ
“แอบมองพี่ตั้งหลายที ถ้าให้มองฟรีๆ——” เขาลากเสียงยาวน้ำเสียงเอ้อระเหยลอยชาย “งั้นพี่ก็เสียเปรียบแย่น่ะสิ”