บทที่ 15 ความจริง (1)
หลังจากผ่านความตื่นตระหนกครั้งแรกมาได้ พวกเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็ว
อย่างไรแล้วก็หายไปจากที่นี่ หายไปก็ราวกับพระที่หนีวัดไม่ได้ คลำทางเข้าไปในเรือน พวกเขาค้นหาอยู่รอบๆ แต่ก็เหมือนกับแมวตาบอดเจอหนู และเมื่อเดินไปตามทางเดิน ในที่สุดก็ค้นพบห้องที่ซ่อนไว้อยู่ด้านหลัง
น้ำเสียงหัวเราะของหลินเจี้ยนฟังดูหื่นกามดังขึ้น “เด็กน้อยของข้า รีบมาให้ข้าจูบสักที อยากจะจูบเจ้าแทบตายแล้ว!”
หญิงสาวหัวเราะเบาๆ แสงเทียนริบหรี่ เงาประหลาดมีรูปร่างมากมาย ไม่นาน น้ำเสียงต่ำช้าก็ค่อยๆ ดังขึ้นมาภายในค่ำคืนที่มืดมิด
ช่างเป็นวันที่เลือดลมสูบฉีดได้ดียิ่งนัก หัวใจเต้นแรง เป็นวัยที่รู้เรื่องราวระหว่างหญิงและชายครึ่งไม่รู้ครึ่ง
มู่ฉางถิงเองก็ไม่มีข้อยกเว้น เพียงแต่ความคิดของเขาไม่ได้จดจ่อที่เรื่องห้วงรักต่อไปแล้ว ปกติแล้วแม้แต่ในวังเสินเล่อบรรดาศิษย์ต่างแอบเผยแพร่หนังสือภาพ ‘การละเล่นเร้นลับในคืนวสันต์ฤดู’ ก็ได้แต่รีบเปิดผ่านๆ ไปเท่านั้น เขาผิวหน้าหนาก็ไม่ได้หนาในเรื่องเช่นนี้ เมื่อได้ยินเสียงกระเส่าที่มุมกำแพง ใบหน้าของเขาก็ยังแดงก่ำในทันใด
ในขณะนี้พวกเขาหลบอยู่หลังกำแพงหิน มู่ฉางถิงหันซ้ายหันขวา เห็นว่าสีหน้าของฟู่ซีเฟิงและสิงอวี้เซิงนั้นปกติดี มีเพียงเขาที่หน้าแดง กระแอมไอออกมา หรือเป็นเพราะว่าเขานั้นไร้เดียงสาเกินไป?
ฟู่ซีเฟิงลดเสียงลงต่ำ “ข้าจะไปบอกเสวียนเยวี่ยจวิน พวกเจ้าสังเกตการณ์อยู่ที่่นี่ อย่าได้กระทำอะไรโดยพละการ”
เขากำลังจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ไม่เพียงแต่สามารถทำให้หลินเจี้ยนอับอาย แต่ยังสามารถหาตัวช่วยเหลือ ลดความเสี่ยงลงอีกด้วย
ขณะที่ฟู่ซีเฟิงกำลังจะลุกขึ้นยืน หยุดชั่วครู่ สายตามองไปยังใบหน้าของมู่ฉางถิงรอบหนึ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัย
มู่ฉางถิงจ้องมองเขา ชูกำปั้นขึ้น ขยับปากโดยไร้เสียง “รีบ!ไป!”
คนสองคนฟังอยู่ที่มุมกำแพง ไม่มีผู้ใดกล่าวอะไร จริงๆ แล้วกระอักกระอ่วนเป็นอย่างมาก
ต่อหน้าฟู่ซีเฟิง เขายังสามารถใช้ ‘กำลัง’ เพื่อขู่อีกฝ่ายไม่ให้หัวเราะเยาะตนเองได้ แต่อยู่ต่อหน้าสิงอวี้เซิงที่ใบหน้าเย็นชา มู่ฉางถิงใช้วิธีนี้ไม่ออก
ความร้อนผ่านที่ผิวแก้มถูกสายลมยามค่ำคืนพัดหายไปไม่น้อย มู่ฉางถิงจงใจทำลายความเงียบ เอ่ยกระซิบ “เจ้าคิดว่าคนสร้างปัญหานี้คือหวังอี๋เหนียงหรือไม่?”
สิงอวี้เซิงคิดอยู่สักครู่ ตอบเสียงเบา “เมื่อนำเหตุการณ์ก่อนหน้ามาวิเคราะห์แล้ว นางมีแนวโน้มมากที่สุด”
มู่ฉางถิงพยักหน้า ยังไม่ทันได้กล่าวอะไรเพิ่ม เสียงครวญครางด้านในห้องกลับหยุดลง เสียงกรีดร้องเรียกหลินเจี้ยนดังทะลุค่ำคืน คนที่ได้ยินรู้สึกหัวใจบีบรัดแล้ว
หากยังไม่เข้าไป เกรงว่าชีวิตของหลินเจี้ยนก็คงไม่รักษาแล้ว ดังนั้นจึงไม่กังวลมากเท่าใด
ทั้งสองคนเตะประตูออกดังปัง ดึงกระบี่ยาวออกมาแล้วเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง ทว่าภายในห้องกลับว่างเปล่า ไม่ต้องพูดถึงเงาคน แม้กระทั่งเงาผีสักตนก็ยังไม่มี
มู่ฉางถิงก้าวสองก้าวไปที่เตียง กวาดผ้าห่มออก ลูบคลำที่เตียงหาเบาะแสอย่างระมัดระวัง
ทันใดนั้น เมื่อเอามือเคาะที่ผนัง ก็จะได้ยินเสียง ‘ตุบ ตุบ’ ของก้อนอิฐกลวงดังขึ้น ดวงตาของมู่ฉางถิงเป็นประกายวับ พยายามยื่นมืออกไปผลักก้อนอิฐ ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ พื้นกระดานเตียงก็พลิกกลับ มู่ฉางถิงที่คุกเข่าอยู่บนเตียงไม่ทันได้ระวังตัว ร่างกายเอียง ก่อนทั้งร่างจะล้มลงไป!
เป็นครั้งแรกที่ได้ยินน้ำเสียงเยือกเย็นของสิงอวี้เซิงกล่าวด้วยความตื่นตระหนก “มู่ฉางถิง--!!!!”
ความรวดเร็วในการตกนั้นค่อนข้างเร็ว ขณะที่มู่ฉางถิงล้มลงก้นจ้ำเบ้านั้น ร่างกายของเขาเจ็บปวดราวกับจะแหลกสลาย
ต่อจากนั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เหนือหัว คนกระโดดลงมาอยู่ข้างกายอย่างรวดเร็ว เห็นเพียงชายเสื้อของสิงอวี้เซิงสยายออกมา ขณะที่กำลังจะถึงพื้นก็ย่อตัวลงลดแรงกระแทก
มู่ฉางถิงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด “มาช่วยพยุงข้าที ก้นของข้ากำลังจะแตกออกเป็นห้ากลีบแล้ว...”
สิงอวี้เซิงประคองเขาขึ้น คิ้วที่ขมวดเป็นปมของเขาจึงได้ผ่อนคลายลง ราวกับว่าได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มู่ฉางถิงลูบปลอบประโลมบั้นท้ายของตนเอง หยิบกระบี่ขึ้นมาใหม่อีกครั้งแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ในห้องลับนั้นมืดสนิทราวกับปูด้วยผ้าผืนใหญ่สีดำ มองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ได้ยินเสียงหายใจและเสียงฝีเท้าอย่างชัดเจน สิ่งที่เติบโตได้เป็นอย่างดีในความมืดก็คือความกลัวที่ไม่รู้จักจบจากจินตนาการ
มู่ฉางถิงรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย และก็กังวลเล็กน้อยเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเผชิญหน้ากับวิญญาณสัตว์ประหลาด
ขณะที่กำลังเดินอยู่ จู่ๆ เท้าของเขาก็เหยียบเข้ากับวัตถุที่อ่อนนุ่ม ในอากาศฟุ้งกระจายไปด้วยกลิ่นคาวเหม็นของเลือด มู่ฉางถิงสะดุ้งด้วยความตกใจ มือก็คว้าที่แขนของคนข้างๆ มาจับไว้โดยไม่รู้ตัว
สิงอวี้เซิงชำเลืองมองเขาเล็กน้อย พลิกฝ่ามือของตน จุดเปลวไฟขนาดเล็กด้วยการดึงพลังวิญญาณออกมา
แสงสลับของไฟส่องสว่างที่มุมเล็กๆ ในขณะที่สิงอวี้เซิงย่อตัวนั่งลง ที่ปลายเท้าของคนทั้งสองก็ปรากฎซากศพต่อหน้าต่อตา นั่นเป็นศพของบุรุษผู้หนึ่ง หยดน้ำเลือดและน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่เบิกกว้างของเขา ตามด้วยเลือดที่ไหลออกมาจากจมูก ไหลออกมาจากหู และไหลออกมาจากปากไม่หยุด
นอกจากนั้น ทรวงอกของเขากลับว่างเปล่า หัวใจก็ถูกควักออกไป
มู่ฉางถิงสำรวจใบหน้าของศพชายอย่างละเอียด อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นี่ไม่ใช่ท่านลุงผู้ดูแลจวนที่ตอนกลางวันยังสบายดีไม่ใช่หรือ...เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เมื่อตอนเย็นมีคนมากมาย แต่กลับไม่เห็นเขา
ไม่น่าแปลกใจที่ในตอนแรกเขาจะไม่สามารถจำได้ แก้มของศพนั้นซูบลง ราวกับโดนสูบพลังงานวิญญาณไปทั้งหมด
มู่ฉางถิงส่ายหน้า ยื่นมือออกไปแล้วลูบเบาๆ ที่เปลือกตากล่าว “หลับให้สบายเถิด...”
ได้พบเจอศพในที่นี่นั้น เป็นหลักฐานบอกได้อย่างดีว่าความน่ากลัวนั้นใกล้เข้ามาแล้ว
สิงอวี้เซิงไม่ได้เพ่งพลังงานวิญญาณอีกต่อไป มุ่งมั่นใช้เปลวไฟแล้วเดินหน้าต่อ มู่ฉางถิงเหลือบมองที่ฝ่ามือของเขา พยายามจะพลิกข้อมือด้วยตนเองง แต่ยังไม่สามารถรวมพลังงานวิญญาณไว้ในมือของเขาได้
ในขณะที่เขากำลังจะยอมแพ้ สิงอวี้เซิงเอ่ยเสียงต่ำ “อย่าให้สิ่งใดรบกวนจิตใจ ดึงลมหายใจขึ้นสูง เพ่งนำพลังวิญญาณมาไว้ที่ฝ่ามือ”
มู่ฉางถิงรีบทำตามที่เขากล่าว เป็นครั้งแรกที่กลุ่มเปลวไฟปรากฎขึ้นในฝ่ามือของเขา สั่นไหวไปมา ไม่นานก็ดับไป หลังจากได้เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นแล้ว เปลวไฟก็ถูกจุดขึ้นมาอย่างราบรื่นเป็นครั้งที่สอง
มู่ฉางถิงพึงพอใจมาก ดีใจได้ครู่หนึ่ง ก็ถอนพลังงานวิญญาณของตน
มู่ฉางถิงถามไปเรื่อย “นี่เป็นกระบวนท่าที่สนุกนัก เป็นหลินเจี้ยนสอนเจ้ามาหรือ?”
เท้าของสิงอวี้เซิงหยุดครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเบา “ท่านพ่อและท่านแม่สอนข้า” ไม่ว่าน้ำเสียงของเขาจะเย็นชาเพียงใด แต่กลับสามารถแยกความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
มู่ฉางถิงเงียบงัน ไร้ซึ่งคำพูด และก็ไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก
เมื่อเดินมาจนสุดทาง มีแสงสว่างเล็กน้อยส่องลอดเข้ามาระหว่างก้อนหิน
ทั้งสองหายใจเบาที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ และเมื่อเดินไปถึงประตู ร่างหนึ่งก็กระเด็นออกมา!