บทที่ 14
ซังจื้อมองผัดซีอิ้วที่เหลือแต่เส้น แครอทหั่นฝอยและผักปะปนบ้างเพียงไม่กี่ชิ้น น่าสงสารอะไรอย่างนี้ สายตาของเธอจ้องเขม็งไปในถ้วยของต้วนเจียสวี่ที่เต็มไปด้วยเนื้อวัว
เธอถึงกับปรี๊ดแต่มันจุกอยู่ในใจ
“……”
เธอไม่อยากจะพูด
พี่! ชอบกินเนื้อ! ขนาดนั้นเลยเรอะ!!!
ซังจื้อเม้มปาก แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
เธอรู้ว่าในสถานการณ์เช่นนี้ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ และเธอเองก็ไม่อยากจะเสียแรงมานั่งบ่น จึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทนคีบเส้นผัดซีอิ๊วที่เหลือเลือกจากเขาคนนั้น
บนโต๊ะ คนที่พูดมากที่สุดดูเหมือนจะเป็นเฉียนเฟย ยิ่งดื่มเหล้าเข้าไปแล้วล่ะก็ยิ่งแล้วใหญ่ ทั้งค่ำวันนั้น เป็นเขาพูดเสียส่วนใหญ่อาหารบนโต๊ะส่วนใหญ่ก็เขาเป็นคนจัดการเรียบ
ซังจื้อเบื่อจะฟังสิ่งที่พวกเขาคุยกันแบบสุดๆ
นอกจากเรื่องเกม เกม และเกมแล้ว ก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องสาวๆหรือเรื่องเรียนสักนิด
ซังจื้อเองได้แต่นั่งเคี้ยวเส้นตุ้ย
เวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เฉียนเฟยที่คออ่อนจู่ๆก็เมา ครั้งนี้เขาเริ่มพูดเรื่องชีวิต ทีทั้งสิ้นหวังและย่อยยับของเขา:
“แม่มเอ๊ย ฉันปีสามแล้วทำไมยังไม่มีแฟนอีก ปีสามแล้วน้า——”
ซังจื้อที่กำลังจะเอื้มมือไปหยิบปีกไก่ ถึงกับต้องดึงมือกลับเพราะตกใจเสียงร้องของเขา
เธอเหลือบไปมองเข้าครั้งหนึ่ง
ซังเหยียนยกยิ้มมุมปาก: “ไม่ต้องร้อง เรียนจบแล้วค่อยมาร้องก็ยังทัน”
“ไม่! พอกันที!” แล้วเฉียนเฟยก็ชี้นิ้วมาที่ซังเหยียน “ผู้หญิงที่มาหาฉันน่ะ ไม่ได้มาขอเบอร์ฉันสักนิด——” จากนั้นก็ชี้ไปที่ต้วนเจียสวี่: “ก็แค่มาขอเบอร์นายจากฉัน!”
“……”
เฉียนเฟยร้องไห้ฮือๆออกมา: “ไม่มีใครมาขอเบอร์ฉันเลย เบอร์ที่เป็นของฉันเองน่ะ!”
มองชายอกสามศอกร้องไห้โฮเช่นนี้ ซังเหยียนจึงแนะนำอย่างใจเย็น: “หรือไม่ ครั้งต่อไปนายก็บอกไปสิว่านายชื่อซังเหยียน เสร็จแล้วก็ให้เบอร์นายไปเลย”
ต้วนเจียสวี่ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาดังกระดาษทิชชู่ออกมา แล้วหยิบปีกไก่ไม้หนึ่งไปวางในถ้วยของซังจื้อ พลางพูดขึ้น: “บอกไปว่าชื่อต้วนเจียสวี่ก็ได้นะ”
“……”
นี่มันไม่ใช่ว่าตอกย้ำกันหรอกหรือไง?
เฉียนเฟยหยุดร้องแล้วมองทั้งสองคน
แล้วบรรยากาศก็ตึงเครียดขึ้น
ซังจื้อที่ไม่กล้ามอง เธอรู้สึกว่าระเบิดอาจะลงในเร็วๆนี้
ครู่หนึ่งผ่านไป เฉียนเฟยก็พลันร้องไห้โฮออกมาอีกครั้ง ราวกับว่าได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ น้ำตารื้นแล้วก็พูดออกมาอย่างซาบซึ้ง “ไอ้เพื่อนรัก! ฮือๆๆๆไอ้เพื่อนรัก!!!”
ซังจื้อ: “…..”
-
หลังจากที่ทุกคนอิ่มกันแล้ว ซังเหยียนจึงลุกไปเช็กบิลก่อนแล้วจึงเดินออกไปเอารถ
ต้วนเจียสวี่พยุงเฉียนเฟยลุกขึ้น แล้วหันมามองซังจื้อ: “ตัวเล็ก มาอยู่ข้างหน้าพี่”
ซังจื้อตอบรับ
เมื่อได้ยินเสียงของซังจื้อ เฉียนเฟยมองมาทางเธอแล้วดูเหมือนเขาจะนึกขึ้นมาได้: “เอ้อ น้องหนู พี่จะไปคีบตุ๊กตาให้เธอ รอเดี๋ยวนะ จะเอาตัวไหน? พี่นี่เซียนคีบตุ๊กตา”
เมื่อเห็นเขาในสภาพที่เดินโซเซแล้ว ซังจื้อจึงพูดขึ้นอย่างลังเล: “ไม่ต้องหรอกค่ะ……”
“ไม่ได้! พี่คำไหนคำนั้น ไม่โกหก!” เฉียนเฟยหยิบเงินออกมาจากกระเป๋ายี่สิบหยวน “ไป คีบตุ๊กตากัน”
เมื่อออกมาจากร้านบาร์บีคิวแล้ว ติดกันนั้นมีเครื่องคีบตุ๊กตาวางอยู่หกเครื่อง
เฉียนเฟยนำเงินทั้งหมดไปแลกเหรียญ แบ่งสิบเหรียญให้ซังจื้อ ท่าทางภาคภูมิ: “อยากได้อันไหน บอกพี่ เดี๋ยวพี่คีบให้”
ซังจื้อสุ่มเลือกมาตัวหนึ่ง
เฉียนเฟยเดินด้วยท่าทางโซๆเซๆเข้าไป
ซังจื้อกวาดตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะเดินไปตู้ที่มีตุ๊กตาโดเรม่อนอยู่ข้างในแล้วใส่เหรียญเข้าไปสามเหรีญ เธอเล่นไม่ค่อยคล่องเท่าไหร่นัก จึงค่อนข้างช้า ไม่ใช่ว่ากดปุ่มไม่ตรงตำแหน่งแต่ดูเหมือนว่าที่คีบจะอ่อนแรงเสียเหลือเกินทำให้คีบไม่ขึ้น
ผ่านไปครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่ได้มายืนอยู่ข้างๆเธอ
ซังจื้อเงยหน้ามองเขาครู่หนึ่ง
เมื่อเห็นหน้าเขาก็พาให้คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่และยังรู้สึกอายอยู่ เป็นเพราะเรื่องเนื้อวัวนั่นด้วยที่ทำให้เธอรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
เธอเงียบพลางเอาเหรียญใส่ลงไปอีก
แล้วครั้งนี้ก็คีบไม่ได้อีกเช่นเคย
ซังจื้อมองไปข้างๆ ปรากฏว่าเฉียนเฟยก็ยังคีบไม่ได้สักตัวเหมือนกันเธอจึงอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอสองจิตสองใจว่าจะเล่นต่อหรือจะหยุดเปลืองเงินแต่เพียงเท่านี้
ครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่ก็เอ่ยเสียงเอื่อย: “ตัวเล็ก ให้พี่เหรียญนึงสิ?”
“…….” ซังจื้อหันหน้ามา พูดอย่างไม่เต็มใจนัก: “แล้วทำไมพี่ต้องมาเอาเหรีญหนูด้วยอะ”
ต้วนเจียสวี่ยิ้ม: “ก็พี่ไม่มีตัง”
เธอชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วซังจื้อก็ยื่นเหรียญให้กับเขา
ต้วนเจียสวี่ยืนหน้าตู้คีบ แล้วถามเธอ: “จะเอาตัวไหน?”
ซังจื้อชี้ไปที่ตุ๊กตาที่ใส่หมวกสีแดงและอดไม่ได้ที่จะพูด: “หนูคีบมาตั้งหกครั้งแล้วยังคีบไม่ได้เลย”
ต้วนเจียสวี่: “อื้ม เดี๋ยวพี่คีบให้”
ซังจื้อยืนมองอยู่ข้างๆ เขาเล็งที่คีบไปยังตุ๊กตาตัวนั้น แล้วกดปุ่มเบาๆ จากนั้นตะขอคีบก็ทิ้งตัวลงมาเกี่ยวตุ๊กตาตัวนั้นยกขึ้นมาแต่แล้วก็ร่วงลงเสียก่อน
“……”
ซังจื้อหันมองหน้าต้วนเจียสวี่
ต้วนเจียสวี่ไม่ได้รู้สึกประหม่าแม้แต่น้อย เพียงแต่หันหน้ามาทางเธอแล้วพูดขึ้น: “เอามาให้พี่อีกได้ไหม?”
“……”
จากนั้น เธอก็ยืนอยู่ข้างๆเขาอย่างเงียบๆ ดูต้วนเจียสวี่ที่ขอเหรียญเธอเล่นต่อไป จนครั้งสุดท้ายแล้ว เขาถึงจะคีบตุ๊กตาอกมาให้เธอได้สำเร็จ
ต้วนเจียสวี่ก้มลงหยิบตุ๊กตาออกมาจากตู้: “คีบตุ๊กตานี่ไม่ง่ายเลนแฮะ”
ซังจื้อ: “ไปซื้อเอาเหอะ”
“พี่ไม่เคยเล่นเลยนี่” ต้วนเจียสวี่เงยหน้าขึ้นแล้วส่งตุ๊กตาให้เธอ: “ไม่ชอบขนาดนั้นเลย?”
ปลายนิ้วของซังจื้อกระดิกเล็กน้อยแต่ไม่ยื่นมือออกไปรับ
ต้วนเจียสวี่ก็นิ่งอยู่อย่างนั้น
ครู่หนึ่ง ซังจื้อหลุบตาลงล่างก่อนจะรับมันมา: “ขอบคุณค่ะพี่”
ต้วนเจียสวี่ส่งยิ้มบาง: “ยัยเด็กขี้งอน”
“……”
“คีบตุ๊กตาได้แล้ว” ต้วนเจียสวี่ยืดตัวขึ้นแล้วลูบหัวเธอ “ไม่ต้องร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วนะ”
คำพูดเช่นนี้เหมือนกับคำพูดที่ซังเหยียนพูดกับเฉียนเฟยเมื่อครู่
แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่เหตุผลนั้น ที่ทำราวกับลืมเรื่องราวทั้งหมด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ก็เพราะแคร์ความรู้สึกของเธอ
เธอรู้สึกเหมือนว่าลำคอและหูของเธอร้อนผ่าว ซังจื้อค่อยๆกระชับตุ๊กตาแน่น ก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้าให้กับเขา
-
เนื่องจากเฉียนเฟยเมาหนัก ซังเหยียนขับรถไปส่งเขาถึงบ้าน แล้วพากันพยุงเขาขึ้นไปกับต้วนเจียสวี่ จากนั้นจึงขับรถมาจอดอยู่หน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยหนานอู๋
ต้วนเจียสวี่ลงจากรถจากนั้นก็โบกมือให้กับสองพี่น้องแล้วเดินกลับเข้ามหาลัยไป
กลางคืนที่มืดสนิท ไฟที่ประตูหน้าสว่างไสวและไฟด้านในที่สลัวลง แผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มค่อยๆกลืนไปในความมืดจนลับตา
เมื่อเขาเดินลับตาไปแล้วจึงออกรถ
ซังจื้อหันกลีบมาถาม: “พี่ พี่เจียสวี่เขาอยู่ที่มหาลัยเลยหรอ?”
ซังเหยียน: “อืม”
“ทำไมไม่กลับบ้านอะ?”
“บ้านหมอนั่นไม่ได้อยู่ฝั่งนี้น่ะ”
“ตอนนี้ปิดเทอมไม่ใช่หรอ?”
“ไม่รู้” ซังเหยียนขี้เกียจจะต่อความยาวสาวความยืดกับเธอ “ทำไมเธอพูดมากจังฮะ”
ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นหัวเข้าไปใกล้ๆแล้วถามว่า : “ตอนนั้นที่พี่เฉียนเฟยบอกว่ามีคนมาหาเขาแล้วถามเบอร์พี่น่ะ จริงปะ?”
ซังเหยียน: “ไร้สาระ”
ซังจื้อ: “แล้วไงต่ออะ”
ซังเหยียน: “ก็ไม่ไงต่อ”
“อ้อ” ซังจื้อคิดครู่หนึ่ง “ดีนะไม่ให้ไป”
ซังเหยียนใส่แผ่นซีดีและไม่ได้พูดอะไรอีก
อีกครู่หนึ่งผ่านไป ซังจื้อก็พูดขึ้นว่า: : “หนูว่า พวกเธออาจจะมาหาพี่เฉียนเฟยเพื่อมาขอเบอร์พี่ เพื่อเอาช่องทางติดต่อพี่เจียสวี่ก็ได้”
“……”
“ดูสภาพตัวเองหน่อยน่า”
“เงียบน่า”
“อย่าให้พวกเธอมาทำให้พี่ขายหน้าน้า”
“……”
“ถึงแม้ว่าพี่จะขี้เหร่ที่สุดในบ้าน แต่ว่า” ซังจื้อหยุดเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง และพูดอย่างนุ่มนวล: “แต่ว่า อยู่ข้างนอกพี่ก็ขี้เหร่เหมือนกันอีกนั่นแหละ”
“……”