บทที่ 14 เมาเกินกว่าที่จะดื่มต่อไปได้ (1)
แม้ว่าเธอจะรู้ว่า เธอจะได้กลับมาพบพวกเขาอีกครั้ง แต่เซี่ยเย่ก็คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเร็วขนาดนี้
เมื่อใกล้ชั่วโมงเร่งด่วน ผู้คนต่างก็มารายล้อมกันอยู่ที่ New Era Plaza และทุกคนต่างก็รีบก้มหน้าก้มตาเดินผ่านสายลมไปตามถนนที่มีคนเดินอยู่พลุกพล่านอย่างรวดเร็ว
ร่างสูงของฮานอี้เฟิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความมั่นคง ใบหน้าที่เย็นชาของเขายังคงหล่อเหลาเหมือนเช่นเคย ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวจากเมื่อสามปีก่อนก็คือที่วุฒิภาวะที่เพิ่มขึ้น
ซีเซี่ยเย่คิดกับตัวเองว่า “มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ทำเหมือนว่าฉันไม่รู้จักเขาเท่านั้นเอง”
เธอละสายตาจากเขา จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาจดจ่ออยู่กับเอกสารของตัวเอง แต่ในขณะที่เธอกำลังก้มหน้าลง และแสร้งทำเป็นว่าเธอไม่เห็นใคร ก็มีเสียงๆ หนึ่งเรียกเธอเอาไว้เสียก่อน
“เซี่ยเย่!”
เซี่ยเย่หยุดชะงักฝีเท้าลง และกำเอกสารในมือเอาไว้แน่นจนนิ้วของเธอซีดไปหมด จากนั้นเธอก็ฝืนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ก่อนที่จะเดินต่อไป ผู้ช่วยของเธอก็เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่เดินตามเธอไปเพียงเท่านั้น
สีหน้าของฮานอี้เฟิงถมึงทึงขึ้นมาในทันที จากนั้นเขาก็เดินมาจับไหล่ของเซี่ยเย่อย่างรวดเร็ว “เซี่ยเย่! หยุดก่อน มาคุยกันหน่อย!”
เมื่อมีแรงมาฉุดที่ไหล่ ฝีเท้าของเซี่ยเย่จึงหยุดลง เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา และคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งว่า “เรามีอะไรที่จะต้องพูดกันอีกเหรอ?”
น้ำเสียงของเธอที่เปล่งออกมามันฟังดูสงบนิ่ง เธอสะบัดไหล่เพื่อให้พ้นจากมือของฮานอี้เฟิง เขามองตรงไปที่เธอที่กำลังปิดเอกสาร และส่งมันไปให้กับผู้ช่วย
“ระมัดระวังเกี่ยวกับส่วนหลังของการดำเนินการด้วย แล้วก็ทำแบบสำรวจตลาดสดในเช้าวันพรุ่งนี้ แล้วเอามาส่งให้ฉันในวันจันทร์หน้า ส่งเฟสที่สามของโครงการ Grand Waves Villa มาให้ฉันด้วย ฉันต้องการมันภายในพรุ่งนี้เช้า” ซีเซี่ยเย่สั่งงานออกไปอย่างเรียบง่าย
“รับทราบค่ะ ผู้อำนวยการซี!”
ผู้ช่วยเสี่ยวเหม่ยพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ผู้อำนวยการซีคะ ตอนนี้เสี่ยวซงส่งข้อมูลเกี่ยวกับ Imperial Sky Entertainment City มาให้แล้ว ลองตรวจเช็กดูอีกทีนะคะ!”
เสี่ยวเหม่ยยื่นแฟ้มสีฟ้าส่งมาให้เซี่ยเย่
เซี่ยเย่รับมันมาเปิดพลิกดูอย่างผ่านๆ เธอสแกนดูมันอย่างคร่าวๆ จากนั้นจึงพยักหน้า “อืม... เหมือนจะโอเคแล้วนะ งานวันนี้พอแค่นี้แหละ ส่งของกลับไปที่สำนักงานและคุณก็เลิกงานได้ ไปเอารถมาที่นี่หน่อยนะ”
เธอปิดเอกสารและส่งกุญแจรถไปให้กับเสี่ยวเหม่ย
“ได้ค่ะ ผู้อำนวยการซี!”
…
เธอเปลี่ยนไปมากในช่วงระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา
ซีเซี่ยเย่ครั้งหนึ่งที่เคยสงบนิ่งและคงจะหาที่ไหนไม่ได้อีก แต่สิ่งที่เข้ามาแทนที่เธอตอนนี้ก็คือ เซี่ยเย่ที่ดูห่างเหินและกลายมาเป็นศัตรูกับเขาในปัจจุบัน เธอเปล่งออร่าของคนที่แยกแยะเรื่องส่วนตัวกับงานออกจากกัน มีความสามารถและให้ความรู้สึกมั่นคง
ฮานอี้เฟิงมองลงไปที่เสาไฟข้างถนนที่เย็นยะเยือก จากนั้นก็หันกลับมามองที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขา หลังจากที่ครุ่นคิดมาได้ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าไปหาเธอ
“เซี่ยเย่ ผมยอมรับว่าในอดีตผมเคยทรยศคุณ…”
เขาหยุดอยู่ที่ด้านหลังของเธอ แล้วมองตามทิศทางที่เธอกำลังมองอยู่ ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้ม มีเมฆหนาปกคลุมปรากฏเป็นสีเทา เขากระพริบตาถี่ ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา “ขอโทษนะ เซี่ยเย่… ถ้ามันจะทำให้คุณดีขึ้น คุณก็หวังว่าคุณจะโทษผม... อย่าไปโทษคนอื่นเลย...”
ชั่วขณะหนึ่ง เซี่ยเย่รู้สึกว่าบริเวณหน้าอกของเธอราวกับมีอะไรบางอย่างมากดทับมันอย่างแรง และทำให้เธอเกือบจะสลบล้มลงไป
แต่ถึงอย่างงั้นความเย่อหยิ่งและดื้อรั้นของเธอมันก็ไม่ยอมให้เธอแสดงความอ่อนแอออกไปให้ใครเห็น เธอหัวเราะออกมาโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าเขาเลยแม้แต่น้อย และเอาแต่จ้องมองไปที่ท้องฟ้าสีเทา “ฉันคิดว่าการที่คุณถามฉัน มันก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่มักจะถามฉันว่า 'สวัสดี คุณสบายดีไหม?' แต่มันกลับดูเหมือน…”
เธอไม่อยากจะคิดถึงเรื่องที่ว่าใครทรยศเธออีกต่อไปแล้ว เธอไม่อยากจะหวนกลับไปนึกถึงความทุกข์ทรมานที่เธอได้ประสบมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอไม่ต้องการที่จะรับรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับพวกเขาอีก แต่หัวใจของเธอมันยังรู้สึกเหมือนกับเมฆสีเทา หากไม่มีฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก หรือพายุทอร์นาโดที่พัดผ่านมาอย่างรุนแรง ฝนก็ไม่อาจจางหายไปได้
ซีเซี่ยเย่ เธอประเมินความมุ่งมั่นของเธอสูงเกินไปนะ
ทำไมเธอต้องเศร้าด้วยล่ะ?
เพราะเธอไม่เคยหยุดที่จะสนใจมันงั้นเหรอ
ทำไมล่ะ?
ฉันไม่เข้าใจเลย…
เธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหันกลับไปมองดูเงาที่เย็นยะเยือกเบื้องล่าง แล้วก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้มันท้องฟ้ามืดลงแล้ว และเสาไฟริมถนนก็เริ่มสว่างขึ้น ทำให้เกิดแสงที่หักเหสะท้อนลงไปบนพื้น
เธอมองดูฝูงชนที่เดินสวนกันไปมาในลานกว้าง และถอนหายใจออกมา “ฉันหวังจริงๆ ว่า… เราสองคนจะไม่รู้จักกัน… และก็คงจะดีถ้าฉันไม่เคยพบคุณ อย่างน้อยฉันก็จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานแบบนี้”
เธอหมุนตัวกลับ และเดินไปตามเสาไฟริมถนน เธอไม่ได้มองเขาเลยแม้แต่น้อย และร่างเพรียวของเธอก็เดินผ่านถนนยามเย็นไป “ฉันปล่อยวางแล้ว ต่อจากนี้ไปเราทั้งสองคนต่างก็เป็นได้แค่คนแปลกหน้า โปรดอย่ามารบกวนฉันอีกเลย และฉันก็จะทำแบบนั้นด้วยเหมือนกัน…”
เธอพูดทิ้งท้ายเอาไว้ และร่างเล็กของเธอค่อยๆ หายไปท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องมาตามถนนที่มันดูอ้างว้างราวกับสายลม
เมื่อฮานอี้เฟิงมองตามร่างเล็กของเธอที่ค่อยๆ หายไปจากสายตาของเขา มันก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมาในใจของเขา เหมือนกับว่ามันมีบางอย่างกำลังจะจากเขาไป เขากำหมัดแน่นราวกับว่าเขากำลังพยายามไขว่คว้ามันเอาไว้ แต่มือของเขากลับว่างเปล่า เขาไม่สามารถจับอะไรได้เลย…
เขาเงยหน้ามองขึ้นไปมองไฟริมถนนที่เงียบเหงา และจู่ๆ ก็นึกไปถึงเหตุการณ์หลายสิ่งหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านั้นขึ้นมา...
หลายปีก่อน มีเด็กสาวคนหนึ่งกำลังกำตั๋วหนังสองใบยืนอยู่ใต้แสงไฟริมถนน และรอเขาทั้งคืนเพื่อที่จะชวนเขาไปดูหนัง
เมื่อนานมาแล้ว เด็กสาวคนนั้นต้องเดินทางไปหลายพันกิโลผ่านเมืองต่างๆ เพื่อไปเอาซีดีพร้อมลายเซ็นของอีสัน ชาน มาให้เขา
และเมื่อนานมาแล้ว
ย้อนกลับไปในตอนนั้น สิ่งต่างๆ นั้นมันเรียบง่ายมากจริงๆ และพวกเขาก็ยังไร้เดียงสามากเช่นกัน
เขารู้สึกขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอเคยทำให้กับเขา และตลอดเวลาที่เขาอยู่ต่างประเทศ บางครั้งเขาก็ขอร้องให้เพื่อนของเขามาดูเธอว่าเป็นยังไงบ้าง และเขาก็รู้สึกโล่งใจเมื่อรู้ว่าเธอสบายดี
ความกตัญญูไม่ใช่ความรัก หลายคนสามารถละเว้นความกตัญญูต่อผู้อื่นได้ แต่ไม่ใช่กับความรัก เขาทำได้เพียงแค่กล่าวขอโทษซีเซี่ยเย่เพียงเท่านั้น
แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อเขาเห็นเธอหันหลังให้และจากไป ในใจของเขากลับรู้สึกเศร้าขึ้นมา ราวกับว่าเขาเพิ่งสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่างไป สิ่งที่เขาไม่สามารถเอามันหวนกลับคืนมาได้อีก…