ตอนที่แล้วบทที่ 12
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14

บทที่ 13


หลังจากที่พูดจบแล้ว หากแต่ไม่ได้มีเสียงวางสายดังขึ้นซึ่งเหนือความคาดหมายของเขา ต้วนเจียสวี่เองก็ไม่ได้พูดอะไรเพียงแต่กวาดสายตาไปตามชั้นวางสินค้า

ผ่านไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น: “นี่เพื่อน”

ต้วนเจียสวี่ไม่ใส่ใจเขานัก

จากนั้นก็ได้ยินสียงผลักเก้าอี้ออก ตามมาด้วยซังเหยียนที่พ่นลมหายใจครั้งหนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า: “หรือไม่ฉันก็ไปซื้อด้วยกันกับนายไหมล่ะ?”

“……”

“เอางงี้” น้ำเสียงของซังเหยียนเครียดเล็กน้อย “นายกับฉันไปด้วยกัน โอเคไหม?”

-

เขาเดินมาโซนหนึ่งในร้านค้าที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาก่อน

ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนเจียสวี่พึ่งจะเคยมาที่ร้านค้านี้เป็นครั้งแรก เขาเดินหาอยู่นานสองนาน สุดท้ายเขาก็เจอของเล็งหา ที่ชั้นสินค้าด้านข้างน้ำยาซักผ้า ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไปนั้น ก็สังเกตเห็นผู้หญิงยืนอยู่หลายคน มิหน่ำซ้ำยังมีพนักงานร้านค้ายืนคำแนะนำสินค้ากับพวกเธอ

เขาหยุดยืนอยู่ครู่หนึ่ง

เมื่อนึกถึงซังจื้อที่กำลังรอเขาอยู่ ต้วนเจียสวี่กระพริบตาถี่ เขาไม่ได้มีเวลาให้มาคิดมากนัก ได้แต่ด้านหน้าเข้าไว้ เขาเดินเข้าไปหยุดตรงหน้าชั้นวางซ้ายสุด เขาโน้มตัวมองดูห่อบรรจุภัณฑ์เนื้อแมทตรงหน้า

กะว่าจะหยิบๆมาสักห่อหนึ่งแต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างๆไรดี

ไม่นานนักซังเหยียนก็หาเขาเจอแล้วเดินเข้ามายืนข้างๆ

ขณะเดียวกัน ต้วนเจียสวี่ก็หยิบห่อสีฟ้าขึ้นมาห่อหนึ่งแล้วยื่นมาที่หน้าเขา: “หรือว่าจะเป็นอันนี้?”

ซังเหยียนปล่อยวางสิ่งที่อยู่ในใจลงก่อน แล้วมองดู: “แบบกลางวันหมายถึงอะไร ใช้ตอนกลางวันหรอ?”

“……”

“มันแบ่งกลางวันกลางคืนด้วยหรอ?” ซังเหยียนกัวหัวแกรก แล้วชี้ไปอีกทาง “ตอนนี้ก็ดึกแล้วนะ? หรือไม่ก็เอาห่อสีดำนั่นมั้ย มันบอกต้วนเจียสวี่ไล่สายตาอ่านว่าใช้ตอนดึก”

ต้วนเจียสวี่กวาดสายตาอ่าน: “400 มม. ก็คือยาว 40 เซ็นติเมตรหรอ?”

“……”

“ไม่ใหญ่ไปหน่อยหรอ?”

ซังเหยียนอ่านตัวหนังสือที่อยู่บนห่อ แล้วขมวดคิ้ว: “ผิวสัมผัสตาข่ายแบบแห้งหมายถึงอะไรอีกอะ”

ต้วนเจียสวี่:“ไม่รู้สิ”

“ยังมีสัมผัสฝ้ายนุ่มนวล ——”

พวกผู้หญิงที่ยืนอย่ข้างๆในทีแรกได้ซื้อเสร็จไปแล้ว พนักงานขายจึงเปลี่ยนเป้าหมายมายังพวกเขา เมื่อเดินมาถึงพวกเขาสองคนจึงเอ่ยปากถามว่า: “พวกคุณมาซื้อไปให้แฟนหรอคะ?”

คำพูดของซังเหยียนถูกขัดจังหวะ พลางสายตาของทั้งสองก็มองไปในทางเดียวกัน

เวลานี้ คนที่ควรจะตอบควรจะเป็นซังเหยียน เพราะยังไงคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซังจื้อมากที่สุดก็คือเขา ต้วนเจียสวี่เบนสายตาไปทางอื่นและยืนเงียบ

“อ่อ ไม่ใช่ครับ” ซังเหยียนมาแผนเหนือเมฆ เขากวาดตามองเรือนร่างของต้วนเจียสวี่รอบหนึ่ง ก่อนจะชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า: “อย่ามองจากภายนอกแบบนั้นนะครับ”

เขาหยุดครู่หนึ่ง “จริงๆแล้วเธอเป็นผู้หญิงน่ะครับ” เขาพูดเสริมอย่างหน้าตาย

“……”

ต้วนเจียสวี่ถึงกับค้าง

ท่าทางของพนักงานเห็นได้ชัดว่าตัวแข็งทื่อ: “คะ?”

ซังเหยียน: “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิครับ ถึงเธอจะดูเถื่อนๆไปสักหน่อยแต่เธอเป็นผู้หญิจริงๆนะครับ”

ครู่หนึ่ง ต้วนเจียสวี่จึงเงยหน้าขึ้น เผยดวงตาดอกท้อคู่งามดูลึกซึ้งและอ่อนโยน หลังจากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มขี้เล่นออกมาก่อนจะ เอ่ยปากเรียก: “ที่รัก?”

ซังเหยียนขนลุกไปทั้งตัว: “………”

“เธอจะสาธยายอะไรเยอะแยะฮะ” ต้วนเจียสวี่ยิ้มอ่อนพลางหยิกแกมของเขา “เธอไม่ต้องพูดฉันก็รู้อยู่แล้วว่าฉันน่ะสวยที่สุดในใจของนาย”

“………”

-

ความรู้สึกแปลกพิกลบ่งบอกออกมาจากสายตาของคุณพนักงงานขายพลางพูดแนะนำสินค้าตามหน้าที่ ซังเหยียนพยายามอย่างยิ่งที่จะคงสีหน้าให้เรียบนิ่งเอาไว้  ก่อนจะซื้อมาทั้งแบบกลางวันกลางคืน

หลังจากเดินออกมาจากโซนนั้นแล้ว ซังเหยียนยิ้มเย็นชา: “นายนี่มันทุเรศชะมัด”

ซังเหยียนเลิกคิ้ว: “งั้นหรอ”

ซังเหยียน: “ฉันจะอ้วก”

“ก็นายบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือไง?” ต้วนเจียสวี่ส่งรอยยิ้มอบอุ่นราวกับเทพบุตร แล้วพูดขึ้นอย่างนุ่มๆ “ฉันว่าถ้าฉันจะต้องเป็นผู้หญิงละก็ต้องสวยมากแน่ๆว่ามั้ย?”

“……”

ทั้งสองคนเดินมาถึงโซนขายชุดชั้นใน ซังเหยียนเลือกมากล่องหนึ่งแล้วไปจ่ายเงิน

ต้วนเจียสวี่ย้ำเตือน: “ซื้อเสื้อผ้าด้วย”

“เสื้อผ้าก็เปื้อนหรอ?” ซังเหยียนย้อนถาม

ต้วนเจียสวี่ : “อืม”

ซังเหยียนพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก

ทั้งสอนเลี้ยวไปยังโซนเสื้อผ้า ซังเหยียนกวาดตามองไปรอบๆ เหลือบไปเห็นเสื้อผ้าที่ไซส์กำลังพอดี ยังไม่ทันที่เขาจะได้หยิบ ต้วนเจียสวี่ก็ชี้นิ้วไปที่เดรสอีกชุดหนึ่ง: “เอาตัวนี้เถอะ”

ซังเหยียนมองๆไปแล้ว

ไซส์ก็กำลังดี

ส่วนสีก็เหมือนกับชุดที่ซังจื้อใส่มาวันนี้เด๊ะ ดูเผินๆก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกันมากนัก

ซังเหยียนไม่ได้ถามถึงเหตุผลและไม่ได้จะใส่ใจอะไรกับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ เขาเพียงแต่หยิบชุดนั้นลงมา

หลังจากออกจากร้าน ทั้งสองก็ลงไปที่ห้องน้ำของชั้นหนึ่ง

ซังเหยียนเรียกผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แล้วเอ่ยถามอย่างสุภาพ: “สวัสดีครับ รบกวนช่วยเอาของอันนี้ไปให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่ชื่อว่าซังจื้อที่อยู่ข้างในให้หน่อยได้ไหมครับ?”

หญิงสาวอึ้งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบรับ: “ได้ค่ะ”

ซังเหยียน: “ขอบคุณครับ”

ก่อนที่ผู้หญิงคนนั้นจะเดินเข้าไป ต้วนเจียสวี่ก็พูดเสริมขึ้น: “อ้อ รบกวนอีกเรื่องด้วยครับ คือเธออายุยังน้อยน่ะครับ อาจจะยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องพวกนี้”

“ฮะ?”

ต้วนเจียสวี่เอามือลูบท้ายทอยครู่หนึ่ง: “ช่วยสอนเธอใช้ด้วยได้ไหมครับ? น้องเขาเป็นคนขี้เกรงใจ อาจจะไม่กล้าพูดน่ะครับ”

ผู้หญิงสาวพอจะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น พลางยิ้ม: “ไม่มีปัญหาค่ะ”

-

ซังจื้อที่รออยู่ในห้องน้ำมาสักครู่ใหญ่ๆ

ห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ออกแบบตามความต้องการผู้ใช้บริการเป็นอย่างดี ภายในห้องน้ำก็มีที่นั่งรออีกด้วย แต่เธอไม่กล้านั่งเพราะกลัวสิ่งที่เปื้อนกระโปรงเธออยู่จะทำเก้าอี้เลอะเทอะเอาได้

แต่เธอก็เกรงใจที่จะโทรไปเร่งต้วนเจียสวี่เช่นกัน จึงทำได้แต่ยืนรอ

ผ่านไปสิบกว่านาที

มีหญิงสาวแปลกหน้าตัวผอมๆคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอกวาดตามองรอบห้องน้ำรอบหนึ่งก่อนจะมองมาที่ซังจื้อแล้วเดินเข้ามาหาเธอ: “น้องสาวจ๊ะ ชื่อซังจื้อรึเปล่า?”

ซังจื้อรีบพยักหน้า

“พี่ชายน้องให้พี่เอาของมาให้น่ะ” หญิงสาวหยิบถุงยื่นให้เธอแล้วนึกครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า: “น้องรู้ใช่ไหมว่าใช้ยังไง?”

ซังจื้อรับถุงมาแล้วพยักหน้า: “รู้ค่ะ ขอบคุณนะคะพี่”

เมื่อเห็นตาของเธอแดงๆ หญิงสาวจึงปลอบใจเธอ: “ไม่เป็นไรนะ ใครๆก็เกิดเรื่องแบบนี้ได้ทั้งนั้น ไม่ต้องร้องนะ รีบไปเปลี่ยนเถอะ”

ซังจื้อพูดขอบคุณอีกครั้ง แล้วจึงถือถุงเดินเข้าห้องน้ำไป เธอดูของในถุง เห็นของที่ต้องใช้ครบถ้วน เธอจึงถอนหายใจโล่งอก

เธอตั้งใจจัดการตัวให้สะอาดเรียบร้อย เธอเปลี่ยนผ้าอนามัยอย่างเก้ๆกังๆ ก่อนจะรีบออกจากห้องน้ำ เธอไม่รู้ว่าจะออกไปเจอหน้า

ต้วนเจียสวี่อย่างไรดี เธอล้างมืออยู่ครู่หนึ่ง

สุดท้ายอะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเธอจึงเดินออกจากห้องน้ำไป

เมื่อออกมาด้านนอก เธอมองไม่เห็นต้วนเจียสวี่ และแทนที่จะเป็นเขากลับเป็นคนที่ตั้งแต่ลงจากรถก็ไม่โผล่หัวมาอย่าง

ซังเหยียน ความรู้สึกอายและประหม่าของซังจื้อก็พอจะเจือจางลงไปบ้าง

เมื่อเห็นเธอออกมา ซังเหยียนจึงกวักมือเรียก

ซังจื้อเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าเขาอย่างเงียบๆ

เห็นตาที่แดงก่ำของเธอแล้ว ซังเหยียนจึงโน้มตัวลง แล้วถามขึ้น: “นี่ยัยดื้อ ร้องไห้ทำไม?”

ได้ยินดังนั้น น้ำตของซังจื้อก็เริ่มจะเอ่อออกมาอีกครั้ง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นสะอื้น: “ก็มันหน้าอายอะ”

ซังเหยียน: “ใครบอกว่าเธอว่ามันหน้าอาย?”

“ก็มันอายอะ” ซังจื้อปาดน้ำตาด้วยหลังมือ “ฮือๆ….ฮือ แล้วนายเล่นใส่ถุงใสมาแบบนี้…..คนอื่นก็มองเห็นหมดแล้ว……”

“ก็พนักงานแคชเชียร์เขาให้มาแบบนี้นี่” ซังเหยียนนึกแล้วก็ตลก “ทำไมมาโทษฉันล่ะ ไปโทษพนักงานแคชเชียร์โน่น”

“ฉันไม่สน....ฮือๆๆ....” ซังจื้อร้องสะอึกสะอื้น และพูดอย่างจะเอาเสียให้ได้ “พี่ต้องไปหาถุงทึบๆมา.....”

“แล้วฉันจะไปหาจากไหนให้เธอได้ล่ะ” ซังเหยียนที่รำคาญ จึงยืดตัวขึ้นแล้วยื่นมือไปหาเธอ “โอเค เดี๋ยวฉันถือให้ คราวนี้คนที่ต้องอายก็มีแค่ฉันคนเดียวแล้ว โอเค”

ได้ยินดังนั้น ซังจื้อจึงมองที่เขาด้วยสายตาที่เหมือนว่าจะเห็นด้วยกับแนวคิดนั้น เสียงร้องไห้ของเธอค่อยๆเบาลงไป น้ำตาเธอหยดเผาะพลางยื่นถุงนั้นให้กับเขา

ซังเหยียนรับถุงมา อีกมือหนึ่งก็จับที่ข้อมือของเธอ แล้วพูดล้อ: “แล้วยังจะมาบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็กแล้ว อะไรๆก็ยังร้องไห้อยู่เลย”

ซังจื้อเงียบพลางเอามือที่ปาดน้ำตาไปเช็ดเสื้อของเขา

น้อยครั้งที่ซังเหยียนจะไม่โกรธเธอ เขาเพียงแค่พูดว่า: “ไม่คิดว่ามันจะสกปรกบ้างหรือไง?”

ซังจื้อพูดเสียงอู้อี้: “ไม่ได้เช็ดขี้มูกซะหน่อย”

ซังเหยียนพูดเสียงเญ้นก่อนจะมองเธอครู่หนึ่ง: “เธอกล้าเหรอ”

ฃพูดจบซังจื้อก็คว้าชายเสื้อของเขาทันที แล้วทำท่าเหมือนจะสั่งน้ำมูก

ซังเหยียน: “.......”

ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันและกัน

ซังเหยียนเป็นฝ่ายยอมถอยให้เธอก่อน เขาควบคุมอารมณืแล้วพาเธอไปยังห้องน้ำของชั้น 3 ให้เธอไปล้างหน้าล้างตา พร้อมกับจัดการเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อย

เมื่อกลับมาถึงร้านบาร์บีคิว ก็เป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว

ซังจื้อเดินตามซังเหยียนเข้าไป เธอแอบมองข้างหน้า เห็นต้วนเจียสวี่นั่งอยู่กับเฉียนเฟยที่โต๊ะสี่ที่นั่ง

ต้วนเจียสวี่นั่งพิงเก้าอี้อยู่ที่ที่นั่งด้านใน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มดูสบายๆ พลางฟังเฉียนเฟยพูดแล้วตอบรับเป็นพักๆ

ท่านั่งที่ไม่ตั้งตรง แลดูขี้เกียจเป็นพ่อพวงมาลัยนั่งเอ้อระเหยลอยชาย

แต่นั่นกลับมีเสน่ห์อย่างอธิบายไม่ถูก

ซังจื้อไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆถึงเปลี่ยนเป็นซังเหยียนที่มาหาเธอ เธอเดาว่าต้วนเจียสวี่คงจะโทรไปบอกซังเหยียน แค่เพียงแต่คิดว่าเขาไม่ได้ไปซื้อของทั้งหมดให้เธอเพียงคนเดียวก็ทำให้เธอประหม่าลดลงแล้ว

ซังเหยียนให้ซังจื้อนั่งที่นั่งด้านใน

เมื่อทั้งสองกลับมา เฉียนเฟยก็ถามอย่างสงสัย: “พวกเธอสองคนไปไหนกันมา? ฉันกินจะอิ่มหมดแล้วเนี่ย”

ซังจื้อได้แต่อ้าปากค้าง ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี

ซังเหยียนเอาถุงวางไว้ที่เก้าอี้ด้านข้างแล้วมองซื้อจื้อครู่หนึ่ง ก่อนจะหลับหูหลับตาพูดไป: “ก็ยัยดื้อนี่น่ะสิไปเล่นตู้คีบตุ๊กตาไม่ยอมกลับ”

เฉียนเฟยไม่คิดอะไรมาก อาจะเป็นเพราะสีเดรสที่ใกล้เคียงกับเดรสตัวที่ซังจื้อใส่ก่อนหน้านี้จึงไม่ได้สังเกตว่าเธอนั้นเปลี่ยนเสื้อไปแล้ว เขาเพียงแต่ถามอย่างสงสัย: “แล้วคีบไม่ได้สักตัวเลยหรอ”

“ใช่น่ะสิ” ซังเหยียนพูดช้าๆ “คีบไม่ได้ เลยร้องไห้ขี้มูกโป่งเลยเนี่ย”

“หา?” เฉียนเฟยมองซังจือครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปลอบใจเธอ “น้องหนู ไม่เป็นไรนะ กินเสร็จแล้วเดี๋ยวพี่ไปคีบให้ตัวนึง”

ซังจื้อทำเป็นไม่ได้ยิน แล้วเธอก็สบตาเข้ากับต้วนเจียสวี่ที่นั่งตรงข้ามเธอพอดี

ครู่หนึ่งเธอก็หลบสายตาไปทางอื่น

เฉียนเฟยไม่ได้ถามคำถามอะไรต่อ เพียงแต่ชี้มือชี้ไม้ไปที่เมนูที่อยู่ด้านข้าง: “’งั้นก็สั่งเพิ่มอีกหน่อยสิ”

“โอเค” ซังเหยียนเอาเมนูมาวางไว้ที่หน้าเธอ “อยากกินอะไรก็สั่งเอา”

เฉียนเฟยกัดบาร์บีคิวแล้วถามขึ้น: “ซังเหยียน ดื่มไหม? สักกรึ๊บเหอะ ดื่มคนเดียวไม่สนุก”

ซังเหยียนพูดไปตามตรง: “ไม่อะ เดี๋ยวฉันต้องขับรถ”

เฉียนเฟยมองบน: “อะไรวะนายไม่ดื่ม ต้วนเจียสวี่ก็ไม่ดื่ม ใครเขากินบาร์บีคิวไม่กินเหล้าบ้าง?”

ซังเหยียน: “ก็เห็นแล้วไม่ใช่หรอ?”

ซังจื้อค่อยๆเงยหน้าขึ้นมอง

ครั้งนี้ไม่ได้บังเอิญสบตาเขาพอดีแบบนั้นอีก ต้นเจียสวี่หลุบตาลงต่ำ เขาเทน้ำร้อนลงในแก้วแล้วจึงผสมน้ำธรรมดาลงไป จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา ซังจื้อจึงรีบหลบสายตากลับมา

ครู่หนึ่ง หางตาของเธอก็เหลือบไปเห็นว่า น้ำแก้วนั้นวางอยู่ตรงหน้าของเธอ

ซังจื้อเงยหน้าขึ้น: “ขอบคุณค่ะ” เธอเอ่ยแต่โดยดี

ครู่หนึ่ง ซังจื้อก็สั่งอาหารก่อนจะส่งเมนูคืนให้ซังเหยียน

ซังเหยียนกวาดตามองรอบหนึ่ง ก่อนจะเรียกพนักงาน พบว่าในลิสต์อาหารมีสองไม้นั่นอยู่ เขาหันกลับมาถาม: “เอาอันนี้อ่อ?”

ซังจื้อ: “ใช่”

“รู้ตัวเองหน่อยสิ” ซังเหยียนหยิบปากกามาขีดทิ้ง “อย่าให้ต้องเตือน”

ซังจื้อไม่สบอรมณ์ แต่ก็ไม่กล้าจะเปิดศึกต่อหน้าคนอื่น ได้แต่บ่นงึมงำ : “กินนิดกินหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า สั่งไม้เดียวก็ได้”

ซังเหยียนพูดอย่างเหลืออด: “อย่าแม้แต่จะคิด วันวันฉันไม่ได้ว่างมีแรงมาดูแลยัยตูดหมึกอย่างเธอมากขนาดนั้น”

เฉียนเฟยแย้ง: “ซังเหยียน น้องสาวนายอยากกินอะไรทำไมไม่ให้กินว๊าฮะ? ไม่เป็นไร น้องหนู สั่งเลย พี่เลี้ยงเอง”

“หุบปากน่า” ซังเหยียนพูด “เธอแพ้เนื้อแกะกับวัว”

“อ่อ” เฉียนเฟยรีบแก้คำ “งั้นน้องหนู สั่งอย่างอื่นเถอะ ป่วยขึ้นมาไม่คุ้มกัน”

ปกติก็ไม่ได้แพ้อะเยอะอยู่แล้ว กินนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกน่า

แต่ซังเหยียนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจ จึงได้แต่ยอม เธอจิบน้ำแก้วตรงหน้าและฟังบทสนทนาของชายหนุ่มทั้งสามคนในเรื่องที่เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกสนใจเลยสักนิด

ครู่หนึ่ง

ซังจื้อเริ่มทนไม่ไหว จึงกระทุ้งแขนขอซังเหยียน: “พี่”

ซังเหยียนหันมา: “อะไร”

“ฉันหิว”

ร้านนี้มันจะเซิร์ฟอาหารช้าเกินไปแล้วนะ

ซังเหยียนกวาดตามองบนโต๊ะรอบหนึ่ง ก่อนจะหยิบจานเส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วเนื้อวัวมาวางไว้ตรงหน้าเธอ: “กินอันนี้รองท้องไปก่อนแล้วกัน”

ซังจื้อตอบรับครั้งหนึ่งก่อนจะหยิบตะเกียบขึ้นมา

ในขณะที่เธอกำลังคีบมาใส่ในถ้วยของเธอนั้น เธอสังเกตเห็นว่าผัดซีอิ๊วจานนี้นั้นมีเนื้อวัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว ราวกับเจอขุมทรัพย์ ซังจื้อลอบมองซังเหยียน ต้วนเจียสวี่และเฉียนเฟยก่อนรอบหนึ่ง

พบว่าทั้งสามคนนั้นไม่ได้มองมาทางเธอแม้แต่น้อย

ราวกับว่าเธอแอบขโมยของ ซังจื้อคีบเนื้อวัวขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วซุกไว้ในเส้น

เธอกะว่าจะกินมันเข้าไปด้วยกันเลยทีเดียว

เท่านี้ก็ไม่มีใครรู้แล้วว่าในถ้วยของเธอมีเนื้อวัวอยู่แล้วก็ไม่มีใครรู้ด้วยว่าเธอแอบกิน

—— เนียนไร้ที่ติ

ในขณะที่เธอกำลังจะคีบมันขึ้นมา

ต้วนเจียสวี่ก็เรียกเธอไว้เสียก่อน

“ตัวเล็ก”

ตะเกียบของซังจื้อคลายออก เธอเงยหน้าขึ้น: “ฮะ?”

ต้วนเจียสวี่ยกยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงติดจะยืด: “ให้พี่คีบก่อนได้ไหม?”

ซังจื้อหยุดครู่หนึ่ง ก่อนจะเก็บตะเกียบลงอย่างเงียบๆ: “โอ้”

จากนั้นจึงผลักจานไปตรงหน้าของเขา

ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนต่างพูดคุยกันไปและไม่ได้สังเกตการกระทำของทั้งสองคน

ต้วนเจียสวี่ฉีกตะเกียบคู่ใหม่แล้วค่อยๆคลุกผัดซีอิ๊วอย่างช้าๆ ซังจื้อมองสิ่งที่เขากำลังทำ

จากนั้น ก็เห็นว่าเขาไม่ได้คีบเส้นไปเลยสักนิด เพียงแต่คีบเนื้อวัวที่อยู่ข้างในออกมาใส่ถ้วยของตัวเองไม่เหลือเนื้อเลยสักชิ้น

หลังจากคีบเนื้ออกจดหมดเกลี้ยงแล้ว จึงดันจานกลับมาให้เธอ: “เรียบร้อย”

“……”

กินสิ

“……”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด