ตอนที่แล้วบทที่ 12 “ป้ากักขังคนของผมไว้ที่นี่”
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 14 ปลาสเตอร์สีชมพู

บทที่ 13 รู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากเขา


ในที่สุดโจวจิงเจ๋อก็พาเธอกลับไปที่โรงเรียน เซิ่งหนานโจวและคนอื่น ๆ ก็อยู่ในห้องซ้อมเรียบร้อยแล้ว นับ ๆ ดูแล้ว นี่เป็นการมาเยือนโรงเรียนการบินปักกิ่งครั้งที่สองของสวี่สุย ทันทีที่เดินเข้าไปในประตูโรงเรียน เขาก็ได้พบกับอีกทีมที่เพิ่งฝึกซ้อมเสร็จ พวกเขาสวมเครื่องแบบสีฟ้าน้ำทะเล หน้าตาดูมีสง่าราศี ราวกับคลื่นใหญ่กำลังก่อตัว

“ทำไมฉันไม่เห็นนายใส่เครื่องแบบนักบินเลยล่ะ” สวี่สุยถาม

ทุกครั้งสวี่สุยจะเห็นเขาสวมแต่ชุดสีดำ ถ้าไม่ใช่แจ็คเก็ตสีดำก็จะเป็นเสื้อสเวตเตอร์ ไม่เคยเห็นเขาสวมชุดเครื่องแบบเลย “นั่นเป็นเพราะเธอเห็นฉันในเวลาที่ไม่เหมาะสม” โจวจิงเจ๋อเอียงศีรษะมองมาที่เธอและหัวเราะเล็กน้อย “ทำไม เธออยากเห็นฉันใส่เหรอ?”

สวี่สุยสบตากับเขา เธอพูดไม่ออกครู่หนึ่ง และพูดตะกุกตะกัก “ไม่ใช่... ฉันเห็นเซิ่งหนานโจวก็... ไม่สวมเหมือนกัน”

เธออธิบายกับโจวจิงเจ๋อชนิดที่ว่าช้างตายทั้งตัวเอาใบบัวมาปิดก็ไม่มิด สายตาของโจวจิงเจ๋อมองตรงไปข้างหน้าในท่าทางที่ฟุ้งซ่าน ไม่รู้ว่าเขากำลังฟังเธออยู่หรือเปล่า

ทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งพุ่งเข้ามาจนเกือบจะชนไหล่ เขายกมือขึ้นและจับข้อศอกของเธอโดยอัตโนมัติ สวี่สุยชะงักทันที จากนั้นเขาก็ดึงเธอออกไปอีกด้านหนึ่ง

คางของสวี่สุยชนเข้ากับไหล่ของเขา ทั้งสองอยู่ใกล้กันมาก ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นก็บังเอิญเห็นกรามที่เรียวยาวของเขา มันค่อนข้างแข็งราวกับกระดูกของผู้ชายที่เติบโตมาแบบป่าเถื่อน มันทั้งบางและทรงพลัง ลมพัดผ่านช่องว่างระหว่างคนทั้งสอง เธอรู้สึกได้ถึงอุณหภูมิของกระดูกของเขา หัวใจของเธอเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้

“มองไปที่ถนน” เสียงทุ้มดังขึ้นเหนือหัวของเธอ

โจวจิงเจ๋อเดินอยู่ด้านหน้า มือล้วงในกระเป๋าเสื้อ สวี่สุยเดินตามหลัง ข้อศอกด้านที่โดนเขายังคงชาอยู่ ราวกับกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน

เธอเปรียบเทียบเงาแผ่นหลังของโจวจิงเจ๋ออย่างเงียบ ๆ เมื่อกี้คางของเธออยู่ใกล้กับไหล่ของเขามาก

เมื่อทั้งสองมาถึงห้องซ้อมก็สายไป 20 นาทีแล้ว เซิ่งหนานโจวโกรธมาก จนอยากจะถอดรองเท้าแล้วตีเขา แต่เขาก็ไม่กล้า เขาตะโกนว่า “หลังจากซ้อมเสร็จนายต้องเลี้ยงข้าว”

“ตกลง” โจวจิงเจ๋อเอาลิ้นดุนแก้มซ้ายแล้วยิ้ม

เซิ่งหนานโจวยืนอยู่หน้าเวทีและเริ่มพูดพล่าม “นอกจากท่านโจว เครื่องดนตรีที่อยู่ในมือของทุกคนคาดว่าน่าจะสนิมกินหมดแล้ว ในการซ้อมครั้งนี้ ทุกคนจะต้องซ้อมเครื่องดนตรีให้ชำนาญก่อน และในครึ่งหลัง เราจะสุ่มเลือกเพลงมาซ้อมด้วยกัน ทุกคนคิดว่ายังไง?”

ไม่มีใครสนใจเขา

เซิ่งหนานโจวหันไปใช้สายตาขอความช่วยเหลือจากสวี่สุยซึ่งเป็น คนที่มีอัธยาศัยดี เธอไว้หน้าเซิ่งหนานโจวจึงพูดว่า “โอเค”

ห้องซ้อมใหญ่มาก สวี่สุยนั่งอยู่หน้ากลอง หมุนไม้ตีกลองในมือ และเริ่มลองฝึกซ้อม ทุกคนเริ่มฝึกเครื่องดนตรีในมือ และในขณะที่เธอกำลังฝึกซ้อม เธอก็ใช้โอกาสนี้ฟังต้าหลิวร้องเพลงไปด้วย

ต้าหลิวรูปร่างสูงโปร่ง ใบหน้าของเขาดูดุเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าเสียงของเขาจะไพเราะและนุ่มนวลขนาดนี้ ช่างเป็นภาพที่ดูตรงข้ามกันจริง ๆ

ขณะที่ทุกคนกำลังฝึกซ้อมเครื่องดนตรีชนิดต่าง ๆ ทันใดนั้น เสียงทุ้มต่ำของเชลโล คล้ายกับการได้พักผ่อนอย่างหนักในวันที่ฝนตกก็ดังขั้น ทำให้ผู้คนตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว เสียงเชลโลไพเราะมาก

ทุกคนในห้องซ้อมวางเครื่องดนตรีลงโดยไม่รู้ตัว และมองไปยังโจวจิงเจ๋อซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าซึ่งกำลังเล่นเชลโล เนื่องจากการเคลื่อนไหวของทุกคนเหมือนกันและสายตาของพวกเขาต่างก็ชื่นชมโจวจิงเจ๋อ เซิ่งหนานโจวจึงถามว่า “ตอนที่ฉันเล่นหีบเพลงไม่หล่อเหรอ?”

“เหมือนนายกำลังเล่นไม้ถูพื้น นายคิดว่ากำลังถือไม้กวาดของแฮร์รี่พอตเตอร์อยู่เหรอ?” หูเชี่ยนซีเตือนสติให้เขาตื่นจากฝัน

สวี่สุยมองไปที่แผ่นหลังของโจวจิงเจ๋อและตกตะลึง เขานั่งอยู่ด้านหน้าสวี่สุย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอสามารถมองเขาอย่างเปิดเผย ในช่วงมัธยมปลาย เขานั่งในแถวสุดท้าย ครูขอให้นักเรียนคนอื่น ๆ ยืนขึ้นเพื่อตอบคำถาม เธอจึงแกล้งทำเป็นหันหน้าไปมองเพื่อนร่วมชั้นคนนั้น

อันที่จริงเธอกำลังมองไปที่โจวจิงเจ๋อ

ในสายตาของเธอมีแต่เขา

ไม่รู้ว่าโจวจิงเจ๋อถอดเสื้อคลุมออกตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวเพียงตัวเดียว พับแขนเสื้อจนสุดแขน เข่าซ้ายแนบด้านซ้ายของเชลโล ขายาวอีกข้างประกบกับตัวเครื่องสีแดงเข้ม มือขวาจับสายและสีสายช้า ๆ มือซ้ายกด ที่ด้านบนของสายคอร์ด

ความคิดฟุ้งซ่านของโจวจิงเจ๋อจางหายไปทันที หลังของเขาตั้งตรงราวกับคันธนู ดวงตาของเขามุ่งมั่นราวกับมีแสงพุ่งไปที่ขนตา เขาดูเป็นสุภาพบุรุษมาก

เสียงเชลโลไพเราะมาก ราวกับสัมผัสของสายฝนและสายลม ความรู้สึกมากมายรวมอยู่ภายในเสียงนั้น สวี่สุยนั่งอยู่ด้านหลังและฟังอย่างเงียบ ๆ นึกถึงช่วงครึ่งเทอมแรกของมัธยมศึกษาปีที่สอง เนื่องจากคิดวิธีแก้โจทย์ไม่ได้ วันแล้ววันเล่า เธอมักจะอิจฉาช่วงเวลาที่ได้ทำอะไรไร้สาระของคนอื่น

ฝนตกหนักในวันพุธมีหมอกปกคลุมทั่วทั้งห้องเรียน แม้แต่โต๊ะก็ยังเต็มไปด้วยไอน้ำ ฝนตกหนักมาก ในช่วงบ่ายผู้คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะอยู่ที่โรงเรียนในห้องเรียนเสียงดังไม่หยุด ผู้คนบ้างก็เล่นเกม เล่าเรื่องตลก หรือทำการบ้านก็มี

เนื่องจากคะแนนวิชาคณิตศาสตร์ไม่เป็นที่น่าพอใจบวกกับสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่ในห้องเรียน สวี่สุยจึงวิ่งไปที่ห้องเรียนชั้นบนสุดเพียงลำพัง ขณะที่เธอกำลังจะเดินผ่านทางเดินนั้น เธอบังเอิญเห็นโจวจิงเจ๋ออยู่กับคนกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ

ผู้ชายหลายคนและยังมีผู้หญิงที่มีชื่อเสียงในโรงเรียน พวกเขานั่งอยู่ด้วยกันพูดคุยและหัวเราะกัน โจวจิงเจ๋อนั่งตรงกลาง เขาไม่ได้พูดอะไร แค่ยิ้มอย่างเกียจคร้าน แต่กลับมีเสน่ห์ที่สุด

ฉันไม่รู้ว่าใครเป็นคนหยอกล้อระหว่างผู้หญิงคนนั้นหรือโจวจิงเจ๋อ แต่อีกฝ่ายไม่มีความประหม่า กลับถามว่า “นายกล้ามั้ย?”

เขานั่งอยู่บนโต๊ะ หลังพิงกำแพง เสื้อนักเรียนหลวม ๆ ใบหน้ามีความร้ายกาจชัดเจน เมื่อได้ยินคำพูดนั้น เขาก็ยิ้มช้า ๆ วางมือบนเอวของหญิงสาวแล้วใช้ฝ่ามือลูบไล้เบา ๆ

สัมผัสนั้นทำให้เธอสั่นสะท้าน หญิงสาวส่งเสียงร้องออกมา เธอยอมแพ้แล้วซบลงบนบ่าของเขา

กระซิบข้างหูหญิงสาวด้วยเสียงต่ำ ยิ่งทำให้ดูมีเสน่ห์และน่าหลงใหล

มีเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องดังไปทั่วบริเวณ

แม้ว่าจะเป็นเพียงด้านหลัง แต่เธอก็เหลือบไปเห็นรอยสักอันเย่อหยิ่งและสัญลักษณ์ที่หลังมือของเขา และบนเชลโลก็มีตัวอักษร Z สลักอยู่

ไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครล่ะ?

สวี่สุยดึงสายตากลับมาอย่างรวดเร็ว และเร่งฝีเท้าท่ามกลางเสียงคำรามและเสียงหัวเราะของหญิงสาว จากนั้นเดินเข้าไปในห้องเรียนชั้นในสุด ปิดประตูและหอบเล็กน้อย จากนั้นเริ่มตรวจสอบแบบฝึกหัด ท้ายที่สุด ข้อที่ทำผิดก็อ่านไม่เข้าใจ แม้แต่ข้อเดียว ลำคอเธอแห้งมาก

ระหว่างนั้นดูเหมือนว่าโจวจิงเจ๋อจะพูดอะไรบางอย่าง คนกลุ่มนั้นจึงรีบผลักประตูและเดินออกไป เมื่อห้องข้าง ๆ เงียบลง ตอนที่เธอคิดว่าทุกคนออกไปแล้ว จู่ ๆ ห้องข้าง ๆ ก็มีเสียงเชลโลดังขึ้น

มีเพียงโจวจิงเจ๋อคนเดียวที่อยู่ที่นั่น

เขากำลังฝึกเชลโลอยู่ หัวใจของสวี่สุยสงบลงอย่างบอกไม่ถูก เธอหยิบกระดาษแบบทดสอบและสมุดโน้ตจากบนโต๊ะแล้วเดินไปที่ด้านข้างกำแพง เธอนั่งบนพื้นโดยให้หลังพิงกำแพง เริ่มทำสมาธิ ตรวจข้อสอบที่ทำผิดและเขียนแบบฝึกหัด

เธอฟังโจวจิงเจ๋อซ้อมเชลโลเป็นเวลาเกือบหนึ่งชั่วโมง ผ่านกำแพงพร้อมกับเสียงฝน

เดือนที่สองและเดือนที่สามเป็นฤดูฝน ในอากาศเปียกชื้นไปด้วยหมอกหนา ตราบใดที่ตอนเที่ยงฝนตกหนัก สวี่สุยก็จะไปเรียนที่ชั้นบนสุด และฟังโจวจิงเจ๋อเล่นเชลโลไปด้วย

เธอลองเสี่ยงดู บางครั้งเขาก็มา บางครั้งก็ไม่มา

เพื่อนร่วมชั้นบ่นเรื่องความไม่สะดวกในวันที่ฝนตกและความเปียกชื้นที่เกาะตามสิ่งของ แต่เธอชอบมันมาก

เธอยอมให้ฝนตกทุกวัน เพราะเขาอยู่ที่นี่

ตอนนี้สวี่สุยมองไปที่แผ่นหลังของโจวจิงเจ๋อ และคิดว่าในที่สุดเธอก็สามารถดูเขาเล่นเชลโลได้อย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา

กลุ่มของเขาฝึกซ้อมเสร็จก็เป็นเวลาทุ่มกว่าแล้ว และกำลังจะออกไปกินข้าว พวกเขาเดินออกจากห้องซ้อมและพูดคุยกัน ท้องฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม ลมหนาวพัดผ่านมา สวี่สุยขดตัวลงโดยไม่รู้ตัว

โจวจิงเจ๋อเดินอยู่ด้านหน้า ไฟถนนสลัวทอดยาวไปตามเงาของเขา สวี่สุยเดินเข้าไปในเงาของเขาเงียบ ๆ

หลังจากฟังโจวจิงเจ๋อเล่นเชลโลแล้ว ต้าหลิวยิ่งชื่นชมในตัวเขาเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น และเขาก็พูดพร่ำเพื่อไปตลอดทาง

“ท่านโจว ฝีมือของนายเทียบเท่ากับระดับของโรงละครแห่งชาติอย่างสมบูรณ์ ฉันได้ยินว่านายกำลังจะไปเรียนที่ออสเตรียเพื่อเรียนต่อทางด้านดนตรีไม่ใช่เหรอ? ทำไมนายถึงเปลี่ยนใจล่ะ?” ต้าหลิวถาม

สวี่สุยยืนฟังพวกเขาอยู่ข้าง ๆ จริง ๆ แล้วเธอก็สงสัยว่าทำไมโจวจิงเจ๋อถึงทำแบบนี้ เขาทิ้งอนาคตที่สดใส แล้วมาเลือกสาขาวิชาเทคโนโลยีการบินที่มีอนาคตไม่แน่นอนแบบนี้

ย้อนกลับไปในตอนแรก การเปลี่ยนความมุ่งมั่นตั้งใจของโจวจิงเจ๋อ ทำให้เกิดความโกลาหลมากมาย แต่ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น

โจวจิงเจ๋อเดินไปข้างหน้า ก้มหน้าลงไถโทรศัพท์ เมื่อได้ยินดังนั้น เขายิ้มเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไร

ต้าหลิวอยากรู้อยากเห็นมาก จนมองหน้าเซิ่งหนานโจวโดยไม่รู้ตัว เขายักไหล่ “ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยรู้เลยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้ว ถ้ามองออกง่ายขนาดนั้นก็ไม่ใช่ท่านโจวน่ะสิ?”

โจวจิงเจ๋อเตะเซิ่งหนานโจวไปหนึ่งที “จะดีมากเลยถ้านายไม่เล่าเรื่องนี้”

“ฉันอยากใช้เข็มกับด้ายเย็บปากเขาจริง ๆ” หูเชี่ยนซีเห็นด้วย

เมื่อเซิ่งหนานโจวกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ชายหนุ่มที่อยู่ด้านข้างก็เดินเข้ามา เขามีรูปร่างสูงโปร่ง และมีตาสองชั้น เขาเดินไปด้านหน้าหูเชี่ยนซี และพูดอย่างเขินอาย “เอ่อ... ขอเบอร์โทรคุณได้มั้ยครับ?”

กลุ่มของเขาหยุดเดิน ในที่สุดโจวจิงเจ๋อก็ละสายตาจากโทรศัพท์เล็กน้อย และมองไปเห็นคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พอดี

โจวจิงเจ๋อไม่ได้มองไปที่หูเชี่ยนซี เขามองไปที่เซิ่งหนานโจว

เนื่องจากวันนี้หูเชี่ยนซีมีซ้อมวงดนตรี เธอจึงสวมแจ็คเก็ตสีดำ กางเกงสีดำ และแต่งหน้าโทนสโมกกี้อาย กำลังเดินอยู่บนถนนโดยสะพายเบสไว้ที่ด้านหลัง เธอดูเท่จริง ๆ

แตกต่างจากภาพลักษณ์น่ารักที่มีผมหน้าม้าในวันธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

“ฉันเหรอ?” หูเชี่ยนซีชี้ไปที่ตัวเอง

ชายหนุ่มเกาหัว “ใช่ จะไม่รบกวนคุณตอนกลางคืนแน่นอน”

หูเชี่ยนซีเป็นคนตรงไปตรงมา และอีกฝ่ายก็ค่อนข้างหล่อ เมื่อเธอกำลังจะพูดว่า “โอเค” เซิ่งหนานโจวที่อยู่ข้าง ๆ ก็ส่งเสียงดังและถามว่า “นายสายตาเอียงหรือสายตาสั้น? ให้ฉันพาไปหาหมอมั้ย?”

“ห้ะ?”

“เซิ่งหนานโจว!”

ทั้งสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน

“นายคิดได้แล้วหรือยัง ผู้หญิงคนนี้มีข้อบกพร่องมากมาย อย่าถูกหลอกโดยรูปลักษณ์ของเธอ เธอโง่และมีอารมณ์รุนแรง…” เซิ่งหนานโจวพูดอย่างจริงจัง ดุด่าเธอถึงข้อบกพร่องหลายอย่าง

ในที่สุดชายหนุ่มก็เดินจากไป

พวกเขายืนอยู่ด้วยกัน เซิ่งหนานโจวโอบไหล่ของหูเชี่ยนซีและพูดเร่ง “มาเถอะ ไปกินข้าวกัน”

“อย่าแตะต้องตัวฉัน!” เสียงของหูเชี่ยนซีดังขึ้นอย่างกะทันหัน

หูเชี่ยนซีสะบัดมือของเซิ่งหนานโจวออก ยังไม่ทันได้พูดอะไร น้ำตาร้อนก็ไหลลงมาที่หลังมือของเขา ดวงตาเป็นสีแดง “นายคิดว่านายรู้จักฉันดีขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เซิ่งหนานโจวรู้สึกสับสน และอยากจะก้าวไปข้างหน้าเพื่อเช็ดน้ำตา ของเธอโดยไม่รู้ตัว แต่หูเชี่ยนซีก้าวถอยหลังและมองที่เขา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความน้อยใจและคับข้องใจ “ทำไมนายถึงเป็นแบบนี้ตลอด? ในเมื่อนายรังเกียจฉันขนาดนี้ นายจะมายุ่งกับฉันทำไม!”

“ไม่ใช่แบบนั้น……”

โดยไม่รอให้เซิ่งหนานโจวอธิบาย หูเชี่ยนซีพูดจบก็วิ่งหนีไป สวี่สุยเป็นกังวลมาก ตอนแรกเธอกำลังจะก้าวเท้าตามหูเชี่ยนซี แต่มีใครบางคนที่เร็วกว่าวิ่งตามทิศทางที่หูเชี่ยนซีวิ่งหนีไป

“เกิดอะไรขึ้น? พวกเขาไม่ได้ทะเลาะกันแบบนี้ตลอดเหรอ?” ต้าหลิวดูงุนงง

“ใครจะไปรู้ล่ะ” โจวจิงเจ๋อยิ้มอย่างคลุมเครือ

“แล้วพวกเรายังจะไปกินกันอยู่มั้ย?” ต้าหลิวถาม

คำว่า “กิน” ยังไม่ได้ออกมาจากริมฝีปากของโจวจิงเจ๋อ วินาทีถัดมา โทรศัพท์มือถือของเขาก็ดังขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาเดินออกไปไม่ไกลนักเพื่อรับโทรศัพท์

สองนาทีต่อมา โจวจิงเจ๋อกลับมาพร้อมกับขมวดคิ้ว และพูดด้วยน้ำเสียงรีบร้อนว่า “มีเรื่องนิดหน่อย ฉันไปก่อนนะ”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด