ตอนที่แล้วบทที่ 11
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 13

บทที่ 12


วิทยุบนรถบรรเลงเพลงเฮฟวี่เมทัล ทำเอาใจของซังจื้อนั้นสั่นสะเทือนจนชา

นั่นก็ทำให้ความรู้สึกอึดอัดลดลงเล็กน้อย

เป็นเพราะนั่งเบาะหลัง ต้วนเจียสวี่จึงไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ตำแหน่งที่นั่งเขาไม่ได้ใกล้ขนาดนั้น เขาเพียงแต่นั่งโน้มไปด้านหน้าเล็กน้อย ยังคงมีพื้นที่ว่างที่ขั้นกลางระหว่างทั้งสองอยู่

ไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป

ลมหายใจของซังจื้อตอนนี้หยุดไปชั่วขณะ ไม่รู้จะต้องแสดงออกอย่างไรดี คำพูดของเขานั้นมันสะกิดใจเธอเข้าอย่างจัง แต่เธอก็รู้ว่าเขาเพียงแต่ล้อเธอเล่น ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น

เมื่อโดนคนอายุมากกว่าปั่นหัวเข้าซังจื้อก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

ซังจื้อหยุด ก่อนจะพูดด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง: “พี่หล่อตรงไหนฮะ?”

สมองของเฉียนเฟยยังคงให้ความสำคัญกับคนด้านหลัง เมื่อได้ยินดังนั้น เขาจึงหันกลับไปมองที่ซังจื้อ พร้อมพูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ: “ใช่ นี่ ต้วนเจียสวี่นายน่าจะรู้จักอายบ้างนะ น้องเขาจะเขินได้ยังไง?”

ด้วยเพลงที่ดัง ซังเหยียนจึงไม่ได้ทันฟังสิ่งที่พวกเขาพูดก่อนหน้า แต่ฟังจากสิ่งที่เฉียนเฟยพูดแล้วเขาก็พอจะเดาได้ว่าเมื่อครู่ต้วนเจียสวี่พูดอะไร เขาปรับระดับเสียงลงเล็กน้อย แล้วกวาดตามองผ่านกระจกหลัง

“หมอนี่ก็เป็นแบบนั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง?”

“ก็จริง” ฉียนเฟยดึงสติกลับมาที่ด้านหน้าแล้วกลอกตา: “ตอนทดสอบสมรรถภาพคราวก่อนนะ ฉันวิ่งเป็นกิโล หอบเป็นหมาเลย พอหมอนี่เห็นฉัน ก็ถามฉันว่า เห็นฉันแล้วทำไมต้องเขินด้วย”

ซังจื้อ:“……”

ต้วนเจียสวี่กลับไปนั่งพิงเบาะอีกครั้ง เขานั่งหลังเหลวราวกับไม่มีกระดูก เมื่อได้ยินเฉียนเฟยพูดดังนั้นแล้วเขาก็หัวเราะออกมาโดยไม่มีข้อแก้ตัว

เฉียนเฟยยิ่งพูดยิ่งเคือง: “ตอนแรกก็หายใจไม่ทันอยู่แล้วนะ เจอหมอนั่นพูดงี้เข้าไปเกือบขาดใจตาย”

“อย่าว่าแต่คนเลย” ซังเหยียนหักพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทาง พร้อมทั้งพูดเผาต้วนเจียสวี่ด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยัน “กับหมาหมอนั่นก็พูดแบบนี้แหละ”

“ฮะ?” เฉียนเฟยอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะระเบิดหัวเราะออกมาไม่หยุดหย่อน “นายพูดกับหมาว่า เจอพี่ทำไมเขินทุกทีเลยล่ะคะ หรอ”

“……”

ซังจื้อจินตนาการถึงภาพนั้น

เฉียนเฟยยกนิ้วโป้งให้ต้วนเจียสวี่: “แม่ย้อยเจ๋งโคตร”

พูดจบ เขาก็หันมาพูดกับเธออย่างเอาใจ: “น้องหนู อย่าไปสนใจมันเลยนะ พี่คนนั้นน่ะไม่ใช่คนดีหรอก เล่นโทรศัพท์ไปเถอะเดี๋ยวก็ถึงแล้ว”

ซังจื้อมองต้วนเจียสวี่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้ารับ

ต้วนเจียสวี่พูดด้วยน้ำเสียงขี้คร้าน: “เฉียนเฟย ทำไมนายต้องยุด้วยล่ะ?”

เฉียนเฟยตอบรับครั้งหนึ่ง ก่อนจะย้อนถาม: “ฉันยุหรอ?”

ไม่รอคำตอบ เขาก็หันหน้าไปถามซังจื้อ : “น้องหนู พี่ยุหรอ?”

ซังจื้อส่ายหน้า: “ไม่นี่คะ”

เฉียนเฟยทำท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

ซังจื้อกำเข็มขัดนิรภัยแน่น แล้วพูดเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง: “พี่คนนี้เขาก็ดูไม่น่าจะใช่คนดีอยู่แล้วนี่คะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น ต้วนเจียสวี่ก็กระพริบตาปริบก่อนจะมองไปทางซังจื้อ ราวกับว่าเมื่อกี้ตนหูฝาดไป เขาทวนคำพูดของเธออย่างช้าๆ: “พี่ดูไม่น่าจะใช่คนดี?”

ซังจื้อทำเป็นไม่สนใจ

“โอเค” ต้วนเจียสวี่ยกยิ้มแล้วพูดว่า: “พี่ม่ใช่คนดี”

ซังจื้อทำเป็นไม่ยินแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง

ครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเขาพูดขึ้น

“ยัยคนไม่รู้จักบุญคุณ”

-

ซังเหยียนขับรถเจ้าไปใกล้กับย่านร้านค้า

ย่านร้านค้านี่พึ่งจะสร้างเสร็จ จึงทำให้มีพื้นที่ยังไม่เปิดให้เช่าอีกจำนวนมาก ดังนั้นจึงยังไม่มีร้านรวงเปิดให้บริการ ตอนนี้จึงมีร้านรวงที่เปิดอยู่เพียงไม่กี่ร้านดูไปแล้วก็เงียบเหงาพอสมควร

ซังเหยียนเกรงว่าที่ตรงนี้จะจอดรถไม่ได้จึงให้ทั้งสามคนลงไปก่อนแล้วไปหาที่จอดรถที่ลานจอด

หลังจากลงจากรถแล้ว ซังจื้อรู้สึกไปๆมาๆยิ่งรู้สึกปั่นป่วนแต่ความรู้สึกนี้กลับไม่เหมือนกับท้องเสียซะทีเดียว เธอเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีแล้วไปเดินรั้งท้ายสุดอย่างเงียบๆ

เมื่อเด็กหญิงอายุราวๆเธอ หลีผิงเคยบอกกับเธอเกี่ยวกับเรื่องประจำเดือน เพื่อนหลายคนรอบตัวเธอก็มีประจำเดือนครั้งแรกกันไปแล้ว บางครั้งซังจื้อก็ได้ยินพวกเพื่อนคุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเธอโดดเรียนพละ ด้วยเหตุนี้ทำให้พวกเธอเหล่านั้นต้องกินน้ำอุ่นแม้ในหน้าร้อนและด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องไปห้องน้ำทุกคาบเรียน เธอฟังและเห็นมาเยอะแล้ว

เวลานี้แม้ว่าเธอจะนึกถึงเรื่องนี้ค่อนข้างช้า แต่ตอนนี้เธอเข้าใจมันแล้ว

ฝั่งหลีผิงที่ระมัดระวังในเรื่องนี้ ก็มักจะคอยใส่ซองผ้าอนามัยไว้ในกระเป๋าทุกใบของเธอแผ่นสองแผ่นเสมอเผื่อว่าเธอจะต้องใช้

หากแต่ซังจื้อคิดว่าแค่ออกไปกินข้าวเย็นแค่มื้อเดียวจึงไม่ได้หยิบกระเป๋ามาด้วย สมองของเธอในตอนนี้ขาวโพลน เธอยิ่งเดินก็ยิ่งช้าลง ความหวังอย่างเดียวของเธอตอนนี้คือขอให้เธอคิดมากไปเอง

ต้วนเจียสวี่และเฉียนเฟยเดินนำหน้าเธอไป

เฉียนเฟยกำลังพูดกับเขาอย่างออกรสออกชาติเกี่ยวกับเรื่องเกมที่พึ่งเล่นกับซังเหยียนไปเมื่อครู่

ต้วนเจียสวี่ที่ฟังอยู่ ก็สังเกตเห็นว่าซังจื้อไม่ได้ตามหลังพวกเขามา เขาหยุดฝีเท้าแล้วหันหลังกลับไปถาม:“ตัวเล็กทำไมเดินช้าจังล่ะ?”

ซังจื้อยิ้มแห้งและได้แต่เงียบ

“มาเดินข้างหน้าสิ” ต้วนเจียสวี่กวักมือเรียก “เดินข้างหลังมีคนจับไป พี่ไม่รู้ด้วยน้า”

เฉียนเฟยเกาหัวอย่างเก้อๆ: “เกือบลืมไปเลยว่าน้องสาวซังเหยียนก็มาด้วย…….”

ซังจื้อเดินขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาว่า: “พี่ หนูอยากไปเข้าห้องน้ำ”

เห็นสีหน้าของเธอแล้ว ต้วนเจียสวี่จึงพูดขึ้น: “หน้าซีดเชียว ไม่สบายหรือเปล่า?”

“เปล่า” ซังจื้อกดเสียงต่ำ: “ก็แค่อยากไปเข้าห้องน้ำเฉยๆ”

เห็นดังนั้น ต้วนเจียสวี่ก็พอจะเดาได้ถึงอาการของเธอ : “ท้องไม่ค่อยดี?” เขาถามเสียงต่ำ

ซังจื้อหยุดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าตอบรับ

“เดี๋ยวรอเข้าร้านก่อนนะ” ด้วยกลัวว่าเธอจะอาย ต้วนเจียสวี่จึงไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ: “เดี๋ยวพี่พาไปหาห้องน้ำนะ?”

ทุกคนได้ตกลงกันเรียบร้อยตั้งแต่อยู่บนรถแล้วว่าจะไปกินอาหารเย็นกันที่ร้านบาร์บีคิวเปิดใหม่ซึ่งอยู่บนชั้นสามของห้างสรรพสินค้า ข้างในร้านมีคนเยอะกว่าด้านนอกอยู่เล็กน้อย มีร้านรวงเปิดบริการเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยเลย

ต้วนเจียสวี่ให้เฉียนเฟยเข้าไปจองที่นั่งก่อน

จากนั้น เขาก็มองหาป้ายบอกทางรอบๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า: “ตัวเล็ก เอากระดาษทิชชู่มาไหม”

ซังจื้อเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น: “ไม่มี”

“งั้นเข้าห้องน้ำไปก่อน ดูว่าข้างในมีกระดาษให้ไหม” ต้วนเจียสวี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกว่า “ถ้าไม่มีก็ส่งข้อความมาบอกพี่ เดี๋ยวพี่ไปซื้อแล้วให้พี่ผู้หญิงเอาเข้าไปให้ โอเคมั้ย”

ทั้งสองคนเดินไปตามป้ายบอกทาง

ซังส่ายหัว และพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ปกติ: “หนูไปคนเดียวได้”

“ให้พี่ให้เธอไปคนเดียวเนี่ยนะ?” ต้วนเจียสวี่เลิกคิ้ว ก่อนจะถามขึ้น “เธอพึ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรกไม่ใช่รึไง? ถ้าเธอหายไป แล้วพี่ชายเธอมาหา แล้วพี่จะไปหาเธอที่ไหนล่ะ”

ซังจื้อพูดเสียงอ้อมแอ้ม : “ก็มีโทรศัพท์ไม่ใช่หรือไง?”

ต้วนเจียสวี่ยิ้ม: “แค่ไปเข้าห้องน้ำทำไมพูดมากจังฮึ?”

ซังจื้อถึงกับรูดซิปปากเงียบ

ก่อนจะถึงห้องน้ำสิบเมตร ต้วนเจียสวี่หยุดฝีเท้าลง: “ไปสิ”

ซังจื้อมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปอย่างเงียบๆ โชคดีที่ในห้องน้ำไม่ได้มีคนเยอะมากมายนัก พื้นที่ในนั้นก็นับว่ากว้างขวาง ซังจื้อหาห้องที่ว่างแล้วเดินเข้าไป เธอถกกระโปรงขึ้นแล้วดึงแพนตี้ออกมาดู

และเป็นไปตามคาด

กางเกงในของเธอถูกย้อมไปด้วยสีแดงสดและดูเหมือนว่ากางเกงเล็กกิ้งสีดำของเธอจะเปียกชื้นขึ้นมาเล็กน้อย ซังจื้อในตอนนี้เริ่มกังวลแล้วหันมองดูที่ด้านหลังของกระโปรง

วันที่เธอใส่เดรสสีน้ำเงินเข้ม ทำให้เห็นเป็นปื้นเข้มๆปรากฏอยู่ที่กระโปรงของเธอเล็กน้อย ถ้าไม่สังเกตก็คงจะไม่เห็น

ซังจื้อแทบจะทรุด

เธออยากจะขึ้นไปซื้อผ้าอนามัยที่ร้านค้าชั้นบน แต่เงินติดตัวสักแดงก็ไม่มีและก็ไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับต้วนเจียสวี่ได้เช่นกัน เธอรู้สึกกระอักกระอ่วน จะคิดอะไรก็คิดไม่ออกสักอย่าง

ราวกับโลกจะแตก ซังจื้อยืนค้างทำอะไรไม่ถูกอยู่อย่างนั้น สักพักเธอตัดสินใจดึงกระดาษทิชชู่จากข้างๆมารองซับไว้ในแพนตี้ของเธอ

แล้วก็เดินออกมาจากห้องน้ำ

ต้วนเจียสวี่ก็ยังคงยืนดูโทรศัพท์อยู่ตรงนั้น

เมื่อเหลือบไปเห็นเธอเดินมาจึง เขาจึงเก็บโทรศัพท์มือถือเข้าในกระเป๋ากางเกง: “ไปกัน”

“พี่” ซังจื้อลังเล “พี่ขึ้นไปก่อนเถอะ เดี๋ยวหนูรอพี่มาแล้วค่อยขึ้นไป”

ต้วนเจียสวี่: “พี่เธอขึ้นไปแล้ว”

ความหวังสุดท้ายดับสลาย

ซังจื้อก้มหน้าลง: “.....อ้อ งั้นก็ไปกันเถอะ”

รู้สึกว่าวันนี้เธอจะดูไม่ค่อยปกติสักเท่าไหร่ ทำให้ต้วนเจียสวี่รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเล็กน้อย: “ตัวเล็ก วันนี้เป็นอะไรหรือเปล่า?”

การตัดสินใจออกมากินข้าวนอกบ้านของเธอในวันนี้เป็นการตัดสินใจที่ผิดสุดๆ

ประจำเดือนมาครั้งแรกในวันที่ต้องออกมาอยู่กับผู้ชายโตๆสามคนเนี่ยนะ

ไม่มีใครเข้าใจเธอ

เขารู้สึกเพียงวันนี้เธอเอาแต่ใจ

เธอก้มหน้ารับฟังการเทศนาขนาดย่อมของต้วนเจียสวี่และเอาแต่เดินไปข้างหน้าเงียบๆ

ต้วนเจียสวี่ไม่รู้ว่าเด็กคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ รู้แค่ว่าเธออารมณ์ไม่ดีแต่ก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในระหว่างที่เขาจะเร่งฝีเท้าตามเธอให้ทันนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นบางอย่าง

ตอนนี้ ณ ขณะนี้

เขาสังเกตเห็นที่กระโปรงของเธอที่มีรอยเลอะเป็นปื้น

“…….”

บวกกับปฏิกริยาของซังจื้อก่อนหน้านี้ ต้วนเจียสวี่ถึงกับเอามือลูบหน้า แล้วก็คว้าแขนของซังจื้อเอาไว้ เขาคิดประติดประต่อเหตุการณ์และถามเธอ: “ไม่ได้ท้องเสียใช่ไหม?”

ซังจื้อหยุดฝีเท้าลง เม้มปากมองเขาเผยเบ้าตาที่แดงระเรื่อ เธอรีบก้มหน้างุดไม่พูดไม่จา

ต้วนเจียสวี่เองก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาเหมือนกัน ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นมา: “เธอกลับไปที่ห้องน้ำก่อน เดี๋ยวพี่ไปซื้อมาให้”

ซังจื้อตัวแข็งทื่อ เธอก้มหน้างุดจนไม่เห็นสีหน้าท่าทางของเธอว่าเป็นอย่างไรบ้าง

“เธอเข้าไปอยู่ในห้องน้ำก่อน” ต้วนเจียสวี่พูดปลอบใจ “ไม่เป็นไรนะ เรื่องเล็กน้อย”

ได้ยินดังนั้นแล้ว ความเขินอายของสาวน้อยก็เอ่อล้นขึ้นมาในใจ น้ำตาที่พยายามกลั้นอยู่นานสองนานก็พลันไหลพรากออกมา ซังจื้อยกมือขึ้นปาดน้ำตาแล้วร้องโฮออกมา สองไหล่ของเทอสั่นสะเทิ้มราวกับได้รับความอับอายอย่างยิ่ง

บรรกาศน่าอึดอัดถูกพังลงด้วยการร้องไห้ของเธอ

ต้วนเจียสวี่เองก็ทำตัวไม่ถูก เห็นเธอร้องไห้โฮเช่นนี้ จะยิ้มหัวเราะก็กลัวเธอไม่พอใจ ได้แต่เพียงกลั้นยิ้มเอาไว้แล้วพูดขึ้น: “ทำไมร้องไห้อีกแล้วล่ะ?”

ซังจื่อที่กำลังอายม้วน ก็ก้มหน้าก้มตาร้องไห้ต่อไป

“เอาล่ะๆ ไม่ต้องร้องน้า” ต้วนเจียสวี่พูดกระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรซะหน่อย ไปรอพี่ในห้องน้ำนะ”

เธอเองก็ไม่อยากจะอยู่ข้างนอกเช่นนี้นานนัก จึงได้แต่พยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอันสะอึกสะอื้น: “ขอบคุณนะพี่” แล้วเธอจึงเดินเข้าน้ำไปพลางกลั้นน้ำตาไป

เมื่อเห็นเธอเดินเข้าห้องน้ำไปแล้ว ต้วนเจียสวี่ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วเดินมุ่งหน้าไปที่ชั้นสอง เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้ว เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกหูโทรหาซังเหยียน

ฝ่ายซังเหยียนก็รับโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว: “ทำไมยังไม่มาอีก?”

ต้วนเจียสวี่ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดี

ซังเหยียน: “ฮัลโหล ได้ยินปะเนี่ย?”

ต้วนเจียสวี่ตอบรับ

“กับข้าวมาหมดแล้ว ทำไมยังไม่ขึ้นมาอะ?”

“……”

ซังเหยียน: “ตอบสิครับคุณเพื่อน”

ต้วนเจียสวี่: “เพื่อนคือว่า น้องสาวนาย——”

ซังเหยียน: “ทำไมอะ”

ต้วนเจียสวี่: “เม็นส์มาน่ะ”

“…………”

ปลายสายเงียบลงและเงียบฉี่เหมือนวางสาย

ต้วนเจียสวี่เดินเข้าไปในร้านค้าแล้วกระแอมเบาๆครั้งหนึ่ง

ซังเหยียนจึงเปิดปากพูด: “แล้วทำไงอะ”

“…….” ต้วนเจียสวี่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่ออย่างเหลือเชื่อ “นายถามฉัน?”

ซังเหยียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้น: “ชั้นสองมีร้านอยู่ นายช่วยไปซื้อให้หน่อยสิ น้าเพื่อนน้า”

ต้วนเจียสวี่จนปัญญา: “บางทีเธอคงจะเป็นน้องสาวฉัน?”

ซังเหยียนพูดอย่างจริงจัง: “ฉันเป็นดั่งพี่น้องนายนะ”

ความหมายก็คือ น้องของฉันก็คือน้องของนาย

ต้วนเจียสวี่ปวดหัว: “นายลงมาเลย มาซื้อชั้นใน ฉันไม่รู้ไซส์”

ครู่หนึ่ง

ซังเหยียนก็สบถขึ้น: “ชิบหาย”

ต้วนเจียสวี่: “?”

ซังเหยียน: “สัญญาณไม่ดีเลย”

ต้วนเจียสวี่: “……”

ซังเหยียน: “วางละน้า”

“……”

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด