บทที่ 11
ซังเหยียนหลับตาลงถอดรองเท้าออกอีกเป็นครั้งที่สอง เขาเดินตรงไปหาซังจื้อแล้วแย่งโทรศัพท์หวังจะกดวางสาย
เขาเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาแต่กลับไม่ใช่หน้าจอโทรออกอย่างที่เขาคิดไว้
แต่เป็นเพียงโฮมสกรีนเท่านั้น
แล้วก็ไม่มีประวัติการโทรขึ้นด้วย
ขณะนี้เขาโกรธและหัวเราะออกมา: “นี่ยัยบ้า เธอล้อฉันเล่นหรอ?”
ซังจื้อกระพริบตาปริบ แล้วพูดขึ้นอย่างไม่รู้ไม่ชี้: “ก็ไม่ได้บอกว่าจะโทรจริงๆนี่”
ซังเหยียนพูดเสียงเย็น: “แล้วเมื่อกี้เธอพูดกับใคร”
ซังจื้อพูดพลางย้ายตัวเองไปอีกข้างของโซฟา: “เมื่อกี้ซ้อมการแสดงน่ะ”
“……”
“เมื่อกี้นายพูดว่าให้ฉันรอไปจนตาย ไม่ได้พูดเล่นนะ คราวนี้ฉัน” ซังจื้อนึกขึ้นได้ว่าโทรศัพท์ของเธอโดนแย่งไปและอยากจะแย่งมันกลับคืนมา “ตอนนี้ฉันซ้อมเสร็จแล้ว คราวนี้ฉันจะโทร”
ซังเหยียนมองเธอพักหนึ่ง เขาไม่ได้ห้ามเธอแต่กลับส่งโทรศัพท์คืนเธอแต่โดยดี
“ก็เอาสิ โทรเลย”
นี่มันไม่เหมือนกับที่ซังจื้อคิดไว้สักเท่าไหร่ เธอมองเขาอย่างสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่เธอก็ไม่อยากจะเผยให้เขาเห็นว่าเธอกำลังจะแพ้ จึงได้แต่เปิดหน้ารายชื่อผู้ติดต่อขึ้นมาอย่างช้าๆ
เมื่อเห็นท่าทางของเธอแบบนั้น ซังเหยียนจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ: “โทรเสร็จแล้วก็จะได้ถึงตาฉันบ้าง”
“ฉันไม่ได้ทำผิดอะไรซะหน่อย” ซังจื้อว่าพลางขมวดคิ้ว “นายจะบอกพ่อกับแม่ว่าฉันทำไมหรอ?”
“ไม่ได้หมายถึงเธอ” ซังเหยียนพูดพลางยิ้มแต่ก็เหมือนไม่ยิ้ม “ฉันหมายถึงเสร็จแล้วฉันจะทุบเธอต่างหาก”
“……”
“ไม่เป็นไร เธอก็ฟ้องไปสิ” ซังเหยียนลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง ปิดม่าน “อยากพูดอะไรพูดให้หมดเลย จะพูดยังไงก็เชิญ พูดจบแล้วก็จะได้ถึงตาฉันบ้าง”
บรรยากาศภายในห้องมืดครึ้มลงไม่น้อย
ความมั่นใจของซังจื้อนั้นหดหายลงไปและเริ่มจะกังวลขึ้นมา: “……ถ้าทุบฉันล่ะก็ พ่อเอานายตายแน่”
“ได้เลย” ซังเหยียนพูดอย่างไม่ใส่ใจอะไรทั้งสิ้น “ฉันรอให้พ่อกลับมาตีฉันเลย”
“……”
ซังเหยียนไม่มองเธอแต่กลับมองไปรอบๆห้องรับแขก สุดท้ายเขาจึงหยิบไม้ขนไก่ที่วางอยู่บนทีวีแล้วลองหวดๆกับอากาศทีสองที : “ยัยตัวดื้อ เธอจะให้พี่เดินเข้าไปหาหรือจะมาเอง”
ซังจื้อมองสิ่งที่อยู่ในมือของเขา เธอไม่ตอบ
ซังเหยียนก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ต้องการคำตอบจากเธออยู่แล้ว: “งั้นพี่เข้าไปนะ?”
เมื่อตระหนักได้ว่าตอนนี้สถานการณ์ได้พลิกไปแล้ว “พี่” ซังจื้อร้องเรียก
“ได้ พี่จะเข้าไปหาเธอเอง” ซังเหยียนตอบรับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไม่รีบร้อน
มองเขาที่ก้าวเข้ามาหาเธอเรื่อยๆ ทีละก้าว ซังจื้อเงียบครู่หนึ่ง ดวงตาคู่นั้นของเธอจ้องไปที่เขาแล้วพูดขึ้นอย่างรู้งาน: “หนูผิดไปแล้ว”
“……”
“หนูขอโทษ วันหลังจะไม่ทำอย่างงี้อีกแล้ว”
“……”
เธอเอาตัวรอด
“พูดตั้งแต่แรกก็จบแล้ว” ด้วยความที่ซังเหยียนเป็นใจอ่อน เขาจึงโยนไม้ขนไก่ทิ้งไป “ต้องเป็นเด็กดี ไม่ทะเลาะกันแล้วพี่จะทำอาหารอร่อยๆให้กินทุกวัน เข้าใจไหม?”
ซังจื้อตอบรับอย่างไม่เต็มใจนัก
ซังเหยียน: “งั้นพี่ไปละนะ?”
ซังจื้อหันไปมองเขาก่อนจะถามขึ้นว่า: “พี่ ไปเล่นกับใครหรอ”
ซังเหยียนผู้ใส่รองเท้าเป็นหนที่สาม “พวกรูมเมทน่ะ” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ซังจื้อ: “อ้อ”
“ไม่มีเรื่องอะไรแล้วใช่ไหม? อยู่บ้านทำการบ้านไปนะ” ซังเหยียนพูด “อย่าเข้าครัว อย่าต้มอะไรเองนะ ในบ้านของกินเยอะแยะ ถ้าหิวก็หาเอา จะออกไปซื้อกินข้างนอกก็ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรมาแล้วกัน”
“……”
“อ้อ แล้วก็” ซังเหยียนเกาแก้มพลางพูดเสริม “อย่าเปิดประตูให้คนแปลกหน้าล่ะ”
ซังจื้อพยักหน้า
ครู่หนึ่ง ซังเหยียนก็ได้ออกไป
หลังจากเสียงปิดประตูดังขึ้น บรรยากาศก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง
การ์ตูนทีวีก็ได้จบไปแล้ว ตอนนี้ปรากฏเพียงเพลงที่ขึ้นในตอนจบเท่านั้น ซังจื้อเริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมาเล็กน้อย เธอวางมันฝรั่งทอดไว้บนโต๊ะน้ำชาก่อนจะเดินไปปิดทีวีแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่อล้างมือ
พลางนึกถึงสิ่งที่ซังเหยียนพูด “รูมเมท”
ใจของซังจื้อเหมือนถูกสะกิดทำให้ความรู้สึกคันยุบยิบเกิดในใจ เธอรู้สึกว่าโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดนั้นอยู่แค่เอื้อม หัวใจของเธอเต้นระรัว ก่อนจะข่มใจกดลง
เธอเดินไปหยิบน้ำเย็นขวดหนึ่งออกมาจากตู้ออกมาดื่ม
ซังจื้อกลับมาที่ห้อง
เป็นจังหวะเดียวกันกับยินเจินหรูได้โทรหาเธอพอดี: “ซังจื้อ!”
ซังจื้อ: “อะไร”
“อาทิตย์หน้าที่จะถึงเป็นวันเกิดของฟู่เจิ้งชูไง” ยินเจินหรูเอ่ย “พวกนั้นบอกว่าจะไปร้องเกะกัน ให้มาถามว่าเธอจะไปไหม”
“วันไหน?”
“วันพุธ”
“อ้อ” ซังจื้อพูด “ไว้ถึงเวลาเดี๋ยวลองดูอีกทีนะ”
“เธอจะเตรียมของขวัญให้ฟู่เจิ้งชูด้วยหรือเปล่า?”
“ต้องเตรียมของขวัญด้วยหรอ?” ซังจื้อครุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง “งั้นฉันไม่ว่าง”
“......” ยินเจิยหรูหมดคำพูด “ก็ไม่ใช่ว่าต้องเตรียมหรอกแต่นี่ก็ไม่ใช่วันเกิดคนอื่นไกลซะหน่อยใช่ไหม? เตรียมไปนิดๆหน่อยๆเถอะ ไม่งั้นถ้าไปแต่ตัวคงจะกระอักกระอ่วนแย่”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ” ซังจื้อพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง “เพราะงั้นฉันไม่ไปแล้ว”
“ไม่งั้นจะไม่มีใครเตรียมไปเลยนะ” ยินเจินหรูที่ไม่อยากจะไปคนเดียวจึงรีบพูดขึ้น “เธอไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนักหรอก ถึงเวลาก็บอกว่าเป็นของขวัญของเราสองคนซื้อด้วยกันก็ได้”
ซังจื้อหยิบหนังสือการ์ตูนออกมาจากโต๊ะเขียนหนังสือของตน: “ถึงเวลาค่อยว่ากัน เธอไม่ต้องไปเรียนพิเศษหรือไง”
“เฮ้ย” น้ำเสียงของยินเจินหรูร้อนรนขึ้นมาทันใด “ฉันลืมไปเลย! งั้นแค่นี้นะ ฉันต้องไปแล้ว!”
พูดจบเธอก็วางสาย
ซังจื้อนอนคว่ำบนเตียงพลางเปิดหน้ารายชื่อพูดติดต่อในโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วมองไปยังเบอร์โทรที่เธอได้บันทึกชื่อเอาไว้ “ต้วนXX” เธอเปิดหน้าส่งข้อความขึ้นอย่างลังเล นิ้วของเธอขยับยุกยิกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุด
แล้วถ้าจะส่งไป จะบอกว่าอะไรดีล่ะ?
สุขสันต์วันหยุด?
แต่ในช่วงนี้ก็ดูเหมือนจะมีแต่วันกองทัพเทศกาลเดียวที่พึ่งจะผ่านไป
งั้นก็------ สุขสันต์วันกองทัพย้อนหลัง!
“……”
แปลกชะมัด
หรือว่าจะแกล้งทำเป็นส่งผิดดี
นั่นมันก็ออกจะปลอมเกินไปหน่อย
ไม่อย่างนั้นก็โทรหาซังเหยียนบอกว่าเราจะไปหา? ไม่แน่ว่าอาจจะเจอเขาก็ได้
ซังจื้อโยนโทรศัพท์ทิ้งไปแล้วมาอ่านหนังสือการ์ตูนแต่ในหัวก็คิดไปเรื่อยเปื่อย สุดท้ายเธอก็โยนหนังสือการ์ตูนทิ้งไปแล้วซุกตัวในผ้าห่มเตรียมตัวนอนกลางวัน
แล้วทำไมจะต้องไปเจอด้วย
ไปเจอหมอนั่นก็ไม่เห็นจะมีอะไรดีเลย ไปให้โดนแกล้งน่ะสิ อายุก็ห่างกันตั้งเยอะ ตอนที่พูดกับเขาก็รับรู้ได้ถึงช่องว่างระหว่างวัย
แทบจะคุยกันคนละภาษา
จะไปสู้นอนอยู่บ้านได้ยังไง
ใช่
หมอนั่นไม่เห็นจะสำคัญเลยสักนิด
ในขณะที่เธอกำลังจะเคลิ้มหลับ—— หมอนั่น! ไม่ได้! สำคัญอะไรสักหน่อย!
ซังจื้อตื่นขึ้นมาดื่มน้ำ เธอพยามจะสงบสติอารมณ์ของตนลง หลังจากนั้นก็กลับไปนอนหงายผึ่งบนเตียงสบายใจ สายตาของเธอจับจ้องไปที่เพดาน แล้วเธอก็เริ่มสะกดจิตตนเอง: “ไม่มีอะไรหรอก”
“ก็แค่หล่อเอง ปกติทั่วไปเวลาเจอคนหล่อๆใครๆก็มองกันทั้งนั้นแหละ ก็เหมือนอย่างกับเวลาเจอหมาที่หน้าตาดีๆหน่อย ก็อยากจะลูบๆดูนั่นแหละ”
บรรยากาศเงียบนิ่งไปครู่หนึ่ง
ซังจื้อพ่นลมออกทางปากและสะกดจิตตัวเองต่อไป: “ช่างมันเถอะน่า เธออาจจะได้เจอคนที่หล่อกว่า แล้วฉันก็จะเปลี่ยนไปชอบคนนั้น”
“อย่างตอนนี้ ไม่ได้เจอกัน ฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเจอเขาขนาดนั้นซะหน่อย” ซังจื้อพยักหน้ากับตนเองปัดเป่าความคิด “นี่หมายความว่า ก็แค่ความรู้สึกปลอมๆชัดๆ”
พูดจบ เธอก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย แล้วก็ล้มตัวลงนอนอ่านการ์ตูนอีกครั้ง
แล้วเธอก็หลับไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โทรศัพท์ที่วางอยู่บนหัวนอนของเธอก็ดังขึ้น
โทรศัพท์ดังขึ้นต่อเนื่องอยู่ครู่หนึ่ง ซังจื้อที่ถูกปลุกขึ้นจากเสียงดัง เธอปรือตาขึ้นแล้วมองจ้องเพดานครู่หนึ่งก่อนจะหยิบโทรศัพท์แล้วตัดสาย
จากนั้นหน้าจอโทรศัพท์ของเธอก็สว่างจ้าขึ้นมาอีกครั้ง
ซังจื้อนอนแช่อยู่บนเตียงอยู่พักหนึ่ง รอจนโทรศัพท์ดังขึ้นเป็นครั้งที่สามจึงจะกดรับสาย: “ฮัลโหล?”
ปลายสายเป็นเสียงบ่นอุบของซังเหยียน: “นี่เธอทำะไรอยู่? ทำไมตั้งนานไม่รับ”
“ก็ฉันนอนอยู่” ซังจื้ออารมณ์เสีย “ก็กดวางไปรอบนึงแล้วก็ไม่ควรจะโทรมาแล้วไม่ใช่หรือไง”
ซังเหยียนพ่นลมหายใจ: “ไม่โทรมาเธอก็จะฟ้องฉันอีกน่ะสิ? ลุกได้แล้ว ฉันจะไม่กินข้าวเย็นกับเพื่อนข้างนอก เธอจะมาด้วยกันหรือจะให้ฉันซื้อกลับไปให้”
ไม่ทันที่ซังจื้อจะตอบ
จู่ๆก็มีอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมา: “เอ้ย ต้วนเจียสวี่ดูเหมือนจะสอนพิเศษอยู่แถวๆนี้นะ นายอยากให้ชวนหมอนั่นไปสักหน่อยมั้ย”
ซังเหยียน: “แล้วแต่”
“งั้นฉันชวนละนะ”
ซังจื้อเม้มปากไปมาครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบ “ฉันจะไปกินด้วย”
ซังเหยียน: “แน่ใจ?”
“อื้ม” ซังจื้อลุกขึ้นจากเตียงก่อนจะพยามนึกเหตุผลที่สมเหตุสมผล “ก็ฉันหิวแล้ว กว่านายจะกลับก็ดึก”
“โอเค งั้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ” ซังเหยียนพูด “ถ้าถึงแล้วเดี๋ยวโทรไป”
หลังจากวางสาย ซังจื้อดินไปหยุดที่หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วมองเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ก่อนจะหยิบกระโปรงออกมาใส่ ซังจื้อเดินเข้าห้องน้ำไปล้างหน้า พอดีกับที่ซังเหยียนโทรมา เธอกุลีกุจอใส่รองเท้าออกจากห้องไป
ซังจื้อเดินเข้าไปในลิฟต์
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะนอนเยอะเกินไปหรืออะไร หลังจากตื่นนอนเธอรู้สึกไม่สบายตัวนัก
โดยเฉพาะท้องไส้ของเธอ
ซังจื้อรู้สึกเหมือนว่าท้องไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอรู้สึกเสียดายที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าห้องน้ำมาก่อนสักรอบนึง
เธอเดินมาถึงประตูด้านล่าง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นรถของซังหรง ซังเหยียนนั่งอยู่เบาะคนขับโดยข้างๆมีชายรูปร่างอ้วนท้วนนั่งมาด้วย
ซังจื้อเดินไปนั่งที่เบาะหลัง
แล้วชายที่นั่งอยู่เบาะข้างคนขับก็หันหน้ามากล่าวทักทายเธอ: “น้องหนู จำกันได้หรือเปล่า?”
เขาคือรูมเมทของซังเหยียน เฉียนเฟย
ซังจื้อพยักหน้า
ซังเหยียนหันกลับไปมองน้องสาวครู่หนึ่ง: “คาดเข็มขัดด้วย”
หลังจากเห็นซังจื้อคาดเข็มขัดนิรภัยเรียบรอยแล้ว ซังเหยียนจึงออกรถ
เป็นเพราะว่าเธอออกมากินข้าวกับซังเหยียน เธอจึงไม่ได้พกอะไรติดตัวมาเลยนอกเสียจากโทรศัพท์มือถือ เธอดูโทรศัพท์แล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่างและถามขึ้น “พวกเรากำลังจะไปไหนกันหรอ?”
เฉียนเฟย: “ไปรับพี่อีกคนนึงน่ะ”
ซังจื้อตอบรับครั้งหนึ่งและไม่ได้ถามอะไรอีก
ซังเหยียนมองไปที่เฉียนเฟย: “โทรถามหมอนั่นซิว่าอยู่ไหนแล้ว”
“หมอนั่นบอกว่าอยู่ตรงป้ายรถเมล์จตุรัสตงกว๋างฉ่าง——” เฉียนเฟยชี้ไปที่ที่ไม่ได้ไกลมากนัก “เฮ้ย นั่นปะ?”
ได้ยินดังนั้นซังเหยียนจึงมองไปตามที่เฉียนเฟยชี้แล้วขับรถเข้าไป
เขาจอดรถ เธอมองต้วยเจียสวี่เดินเข้ามาจากหน้าต่างรถแล้วเปิดประตูหลังรถแล้วเข้ามานั่งข้างๆเธอ เธอหลุบตาลงแล้วเบนสายตาไปทางอื่น
เฉียนเฟยพึมพำ: “นายสอนม.ปลายหรอ?”
ต้วนเจียสวี่เพียงแต่ตอบรับด้วยน้ำเสียงขี้เกียจเท่านั้น
ซังจื้อแอบปรายตามองเขา
เขาดูเหนื่อยล้า พอขึ้นรถมาแล้วเขาก็นั่งพิงเก้าอี้ ตาปรือปิดลงครึ่งหนึ่ง ปอยผมที่สะเปะสะปะลงมาปรกหน้าผาก ดูไปแล้ววันนี้เขาดูไม่จืดเลยทีเดียว แสงสีเหลืองของไฟถนนสาดลงบนตัวของเขาสลับกับเงาไปมาทำให้เห็นไม่ชัดนัก
ครู่หนึ่ง
ต้วนเจียสวี่เงยหน้าแล้วมองมาที่เธอ
ราวกับรู้ว่าเธอแอบมองเขาอยู่
เธอเองก็ไม่ทันได้ตั้งตัว
ซังจื้อกำกระโปรงแน่น เธอเกรงว่าหากเธอหลบสายตาเขาเธอจะดูเลิ่กลั่ก เธอจึงตัดสินใจไม่หลบ และมองตอบเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงทำเป็นก้มลงมองโทรศัพท์อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เห็นอย่างนั้น ต้วนเจียสวี่จึงเงยหน้าขึ้นแล้วนึกสนุกขึ้นมาแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะแหย่เธอยังไงดี เขาค่อยๆนั่งยืดตัวตรงแล้วเท้าศอกบนหน้าต่างรถก่อนจะเอ่ยถามเธออย่างยิ้มๆ : “ตัวเล็ก ไม่ทักกันหน่อยหรอ?”
ซังจื้อมองเขาครู่หนึ่งก่อนจะ พูดทักเขาแต่โดยดี: “พี่”
เฉียนเฟยหันหน้ามาอย่างเซ็งๆ: “อ้าว ทีพี่ไม่เห็นทักกันบ้างเลย”
ซังจื้อหยุดครู่หนึ่งก่อนจะทักทาย: “หวัดดีค่ะพี่”
ราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงของเฉียนเฟย ต้วนเจียสวี่จ้องมองเธอด้วยดวงตาประกายเย้ายวนคู่นั้น หากแต่ไม่ได้มีเจตนาในทางนั้นแต่อย่างใด
เขาทำเป็นได้ยินไม่ชัด แล้วถามเธอว่า: “อะไร ‘ค่ะพี่’ นะ?”
ซังจื้องงเล็กน้อย : “ก็หวัดดีค่ะพี่ไง”
ได้ยินดังนั้น ต้วนเจียสวี่หัวเราะ คราวนี้เขาได้ยินมันชัดเจนแต่กลับทำเป็นเอียงคอฟังแล้วแกล้งพูดซ้ำขึ้นมาอีกรอบ: “อ๋อ หล่อดีค่ะพี่หรอ?”
“……”
“แปลกจังเลยน้า——” ต้วนเจียสวี่ที่จู่ๆก็กระเถิบเข้ามาใกล้ๆเธอ แล้วเลิกคิ้วขึ้น “พอเจอพี่ทำไมเขินทุกทีเลยล่ะคะ”