บทที่ 11 มาสร้างเรื่องที่โรงเรียน (2)
ผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับชวีกุ้ยเซียงกลอกตามองบน จากนั้นจึงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้นเหรอ? ชวีกุ้ยเซียงไม่ให้พวกเธอกินข้าวเหรอ?”
จัวเซ่าพยักหน้า “ในครัวไม่มีข้าวเลยครับ...”
“เธอกับน้องสาวเข้ามากินข้าวที่บ้านป้าเถอะ เดี๋ยวป้าจะให้ลุงทำผัดมาม่าให้พวกเธอ” หญิงคนนี้เอ่ยและตะโกนเข้าไปในห้อง “เหลาจ้าว คุณลุกขึ้นมาผัดมาม่าสักสองห่อ...สามห่อให้หน่อย!”
หลังจากนี้อีกสิบกว่าปี สิ่งนี้ถึงจะถูกเรียกว่าอาหารขยะ ไม่มีใครเอาของแบบนี้ให้เด็กกิน แต่ในเวลานี้ ผู้คนในมณฑลฟูหยางต่างคิดว่าบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั้นเป็นของดี
ในตอนเช้ายังมีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต้มขายอยู่ตามท้องถนนอีกด้วย
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปชามละหนึ่งหยวน ถ้าใส่ไส้กรอกแฮมลงไปจะชามละหนึ่งหยวนห้าเหมา เด็กหลายคนชอบกินสิ่งนี้ในตอนเช้า
หลังจากที่เธอร้องเรียกสามีให้ทำผัดมาม่าให้ เธอก็มองมายังจัวเซ่าและเอ่ยถาม “ป้าสะใภ้เธอล่ะ? ป้าจะไปคุยกับเธอสักหน่อย!”
“ผมก็ไม่รู้ว่าป้าอยู่ที่บ้านไหม...” จัวเซ่าเอ่ยและพาคนคนนี้ขึ้นไปที่ชั้นบน
จัวเซ่าใช้กุญแจไขเปิดประตูเข้าไป หญิงสาวก็รีบเดินเข้าไป กวาดตามองไปรอบ ๆ
ในครัวไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ไม่เพียงไม่มีข้าวเท่านั้น แม้แต่น้ำมัน เกลือ ซอสปรุงรส และน้ำส้มสายชูก็ถูกเก็บไปจนเรียบ
“ชวีกุ้ยเซียงไม่ได้ทำอาหารเช้าให้พวกเธอเหรอ?” หญิงคนนั้นเอ่ยถาม
จัวเซ่าส่ายศีรษะ “ก่อนหน้านี้ป้าทำผักดองกับโจ๊กไว้ครับ แต่เมื่อวาน...ผมกลัวว่าน้องสาวจะหิว เลยเอาให้เธอกินไปแล้วครับ”
“ชวีกุ้ยเซียง ชวีกุ้ยเซียง! นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? นี่เธอไม่แม้แต่จะให้ข้าวเด็กสองคนนี้กินเลยเหรอ!” หญิงสาวมองไปยังจัวเซ่าด้วยความสงสาร หลังจากได้ยินเรื่องเหล่านี้เธอก็เดินไปยังประตูห้องของชวีกุ้ยเซียง เปิดประตูห้องอย่างแรงจนได้ยินไปทั้งชั้นบนชั้นล่าง
ในเวลานี้จัวหรงหมิงออกไปดื่มเหล้าแล้ว แต่ชวีกุ้ยเซียงยังคงอยู่ในห้อง...
เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อจากนี้ ไม่เกี่ยวข้องกับจัวเซ่าแล้ว
เมื่อจัวเซ่าและจัวถิงกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแล้ว เขาก็ไปส่งจัวถิงที่โรงเรียน ส่วนหนังสือชุดเรื่องราวห้าพันปี เขายืนยันที่จะให้คุณป้าเก็บเอาไว้
เมื่อจัวเซ่ายืนกรานเช่นนั้น ป้าที่เถียงกับชวีกุ้ยเซียงอยู่ก็อดที่จะชื่นชมในตัวจัวเซ่าไม่ได้
วันนี้ที่โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน
ตอนเวลาประมาณสิบโมงเช้า มีผู้ปกครองคนหนึ่งมาที่ประตูโรงเรียน บอกว่ามีเรื่องเร่งด่วนต้องมาหาลูก หลังจากเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่ในป้อมยามถามชื่อและชั้นเรียนของลูกผู้ปกครองคนนั้นแล้ว ก็อนุญาตให้เข้าไปได้เหมือนอย่างเคย
หลังจากนั้นไม่นาน คนคนนั้นก็มาถึงห้องปี 3 ห้อง 2 และในเวลานี้จัวเซ่าก็กำลังเรียนคาบเรียนที่สามของช่วงเช้า
คาบนี้เป็นคาบวิชาภาษาอังกฤษ
การพูดภาษาอังกฤษของจัวเซ่าดีมาก ไม่มีปัญหาเรื่องการอ่านหรือการเข้าใจความหมาย แต่ยังต้องใส่ใจในเรื่องของไวยากรณ์...และเมื่อชวีกุ้ยเซียงมาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าต่าง จัวเซ่าก็กำลังอ่านสรุปและอ่านเรื่องไวยากรณ์ที่เรียนไปในคาบที่แล้ว
เขากำลังอ่านหนังสืออย่างใจจดใจจ่อ และทันใดนั้นเองก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นขึ้นมา “จัวเซ่า แก ไอ้เด็กสารเลว! ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”
ในห้องเรียนเริ่มเกิดความโกลาหล นักเรียนที่เดิมกำลังทบทวนบทเรียนของคาบก่อนมองไปยังผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็มองไปยังจัวเซ่า
จัวเซ่ามักจะอยู่คนเดียวตลอดเวลา แต่เพื่อนร่วมห้องก็ไม่ได้เกลียดเขา เด็กในวัยนี้ต่างก็ชื่นชมคนที่มีผลการเรียนดี แต่จู่ ๆ กลับมีคนมาด่าสาปแช่งจัวเซ่า ทำให้ทุกคนได้แต่อ้าปากค้างและมองไปยังจัวเซ่าด้วยความสงสัย
“ไอ้เด็กสารเลว ไอ้หมาป่าตาขาว ฉันเลี้ยงแกมาตั้งนาน แกไม่รู้จักขอบคุณก็แล้วไปเถอะ แกยังกล้ามาทุบตีพี่ชายแก แล้วยังจะขโมยของอีก!” ชวีกุ้ยเซียงรีบพุ่งเข้าไปในห้องเรียนและเอ่ยกับอาจารย์ที่ยืนอยู่บนโพเดียม “อาจารย์ คุณต้องสั่งสอนจัวเซ่าให้ดี ๆ สิ!”
อาจารย์สอนภาษาอังกฤษเป็นหญิงสาวอายุยี่สิบกว่าปีที่เพิ่งเรียนจบได้ไม่นาน ตอนนี้เธอสับสนเล็กน้อย แต่ชวีกุ้ยเซียงกลับร้องไห้และเอ่ยตอบ “จัวเซ่า ไอ้เด็กสารเลวนี่ไม่มีพ่อแม่ ฉันเลี้ยงเขาด้วยความหวังดี แต่มันกลับมาขโมยของของฉัน!”
คนอื่น ๆ ในห้องต่างตกตะลึง จัวเซ่ามองไปยังชวีกุ้ยเซียงและถอนหายใจด้วยความโล่งอก
มาแล้ว
สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันอย่างกะทันหันในชีวิตก่อนได้เกิดขึ้นแล้ว
ชวีกุ้ยเซียงเป็นคนมีพรสวรรค์จริง ๆ โดยปกติคงมีเพียงไม่กี่คนที่จะไร้ยางอายได้เท่าเธอ การกระทำเช่นนี้ของเธอเป็นประโยชน์กับเขามากจริง ๆ
ในชีวิตก่อนเธอพบว่าการก่อเรื่องที่โรงเรียนทำให้จัวเซ่าไม่สามารถมาเรียนหนังสือได้ เธอประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำมากจริง ๆ
ครั้งนี้เธอมาก่อเรื่องที่โรงเรียน อยากจะไล่จัวเซ่าออกจากบ้าน และเธอก็จะประสบความสำเร็จอีกเช่นกัน
แต่ถึงอย่างนั้นจัวเซ่าจะไม่จากไปมือเปล่า ต้องได้อะไรติดไม้ติดมือไปด้วยสักหน่อย…
เสียงของชวีกุ้ยเซียงดังเกินไปแล้ว ทั้งร้องไห้ทั้งโวยวาย อาจารย์สอนภาษาอังกฤษกังวลเล็กน้อย วิ่งไปหมายจะห้ามเธอเอาไว้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย และในเวลานี้ อาจารย์ห้องข้าง ๆ ก็เดินมาดู มีนักเรียนสองสามคนตามมาด้วย
ทุกคนต่างก็ได้ยินสิ่งที่ชวีกุ้ยเซียงว่ากล่าวจัวเซ่า
“ฉันทำอาหาร ซักผ้าให้แก แต่แกกลับมาขโมยเงินฉัน จัวเซ่า แก ไอ้เด็กสารเลว!”
“พี่ชายมาเพื่อตักเตือนแก แกกลับทุบตีเขา ตอนนี้เขายังนอนพักฟื้นอยู่เลย!”
“แก ไอ้สารเลว ไอ้ตัวซวย…”
……
โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินขอเพียงมีทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอก็สามารถเข้าเรียนได้ แต่ในเวลานี้คนที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในอำเภอล้วนพื้นฐานครอบครัวไม่เลวนัก ไม่ค่อยได้ยินภาษาหยาบคายเช่นนี้
พวกเขาต่างดูมึนงงเล็กน้อย และมองไปที่จัวเซ่าอย่างไม่อยากจะเชื่อนัก
จัวเซ่า...ทำเรื่องพวกนี้จริง ๆ อย่างนั้นเหรอ?