บทที่ 11 น่าสนใจนิดหน่อย
โจวจิงเจ๋อมองดูสวี่สุยโดยไม่พูดอะไร ความสนใจในดวงตาของเขาค่อย ๆ เพิ่มขึ้น เซิ่งหนานโจวตกใจจนคางกระแทกลงบนโต๊ะ ถั่วลิสงในจานที่วางอยู่บนโต๊ะสั่นสะเทือนจนหล่นลงบนพื้น
“สวี่สุย เรื่องของเธอไม่น่าเชื่อพอ ๆ กับเรื่องต้าหลิวเคยสวมเสื้อผ้าผู้หญิง” เซิ่งหนานโจวกล่าว
“จริงสิ มันนานมาแล้วตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมัธยมต้น แต่ตอนนี้ขึ้นสนิมไปหมดแล้วล่ะ” สวี่สุยอธิบายพร้อมกับปิดหน้าจอโทรศัพท์มือถือของเธอลง
ไม่มีใครรู้ว่าสวี่สุยเคยตีกลอง เมื่อเธอยังเด็ก พ่อของเธอส่งเธอไปเรียน แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิต แม่ของสวี่ไม่ยอมให้เธอเรียนรู้เรื่องอะไรแบบนี้ แต่ให้เรียนรู้การเป็นลูกสาวที่ดี
ใบหน้าของสวี่สุยยังคงร้อนอยู่หลังจากเธอพูดเสร็จ พระเจ้ารู้ว่าเธอมีความมุ่งมั่นแค่ไหนเพื่อที่จะรวบรวมความกล้านี้
เธอแค่อยากให้โจวจิงเจ๋อเห็น
“โอเค งั้นตกลงตามนี้ เหลือเวลาอีกหนึ่งเดือน เราจะซ้อมด้วยกันในวันหยุดสุดสัปดาห์หรือเมื่อเรามีเวลา” เซิ่งหนานโจวตัดสินใจ
โจวจิงเจ๋อยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณให้พนักงานเสิร์ฟเช็คบิล พนักงานเสิร์ฟหยิบสมุดเล่มเล็ก ๆ เพื่อตรวจสอบตัวเลข
โจวจิงเจ๋อเลิกคิ้ว “คิดผิดหรือเปล่าครับ ผมว่าพวกเราสั่งมาเยอะกว่านี้นะ”
“คิดไม่ผิดค่ะ ทางเราให้ส่วนลดครึ่งหนึ่ง เครื่องดื่มฟรีค่ะ” ทันใดนั้นเสียงที่อยู่ไม่ไกลก็ดังขึ้น
เถ้าแก่เดินเข้ามาและตบไหล่โจวจิงเจ๋อ “เรื่องคราวที่แล้วต้องขอบคุณนายมากนะ”
ทุกคนหันหลังกลับไปที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่ เถ้าแก่ตัวสูงโปร่ ผมสกินเฮดและมีรอยสักที่ด้านหลัง มองแวบแรกเหมือนพวกอันธพาล จู่ ๆ เขาก็เดินเข้ามาขอบคุณโจวจิงเจ๋อ จึงเป็นภาพที่ค่อนข้างแปลก
เถ้าแก่ทักทายโจวจิงเจ๋อสองสามคำก็เดินจากไป โจวจิงเจ๋อยิ้มและหันหน้ากลับมา เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าของกลุ่มคนที่ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้าน
“คราวที่แล้วมีเรื่องเกิดขึ้นกับลูกชายของเขา ฉันเลยช่วยจัดการให้” โจวจิงเจ๋ออธิบายอย่างเรียบง่าย ขี้เกียจพูดมากไปกว่านี้
เซิ่งหนานโจวพยักหน้า เขายังคงคิดเกี่ยวกับเรื่องวงดนตรี “เฮ้ พวกเรายังไม่ได้ตั้งชื่อเลย จริงสิ เราตั้งวงดนตรีนี้ขึ้นตอนกินบาร์บีคิว ฉันดูรายการทีวีชื่อค่ำคืนแห่งวัยเยาว์ และค่ำคืนแห่งชัยชนะ ถ้าอย่างงั้นวงพวกเราชื่อว่า ค่ำคืนแห่งบาร์บีคิวดีมั้ย”
หูเชี่ยนซี : ? ? ?
ต้าหลิว : ? ? ? ? ? ? ?
สวี่สุย :
“เจ้าโง่” โจวจิงเจ๋อด่าเขาโดยไม่ลังเล
ในวันอังคาร สวี่สุยกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียนในชั้นเรียนภาษาอังกฤษ ระหว่างพัก ขณะที่เธอนั่งอยู่บนเก้าอี้และกำลังจดโน้ตอยู่นั้น เพื่อนร่วมชั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงประตูจู่ ๆ ก็ขยิบตาให้เธอ “สวี่สุย รุ่นพี่ซือเยว่เจี่ยมาหาน่ะ”
หญิงสาวพูดเสียงลากยาวและเสียงดัง เสียงเพื่อนที่อยู่ใกล้ ๆ หายวับไปทันที ทุกคนมองไปที่ประตูพร้อม ๆ กัน และส่งเสียงเอะอะโวยวาย
ซือเยว่เจี่ยคือใคร? หนุ่มสุดฮอตจากมหาวิทยาลัยแพทย์เป็นประธานนักศึกษา มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี หน้าตาดีและได้รับรางวัลทุนการศึกษาของโรงเรียนเป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน ที่สำคัญเขาเป็นคนดีมากในมหาวิทยาลัยการแพทย์ เพื่อนร่วมชั้นที่เคยรู้จักกับเขา ไม่มีใครพูดถึงเขาไม่ดีเลย
สวี่สุยเดินออกมาสีหน้าเรียบนิ่ง ซือเยว่เจี่ยสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาว เขายืนอยู่ข้างหน้าเธอและพูดว่า
“ประกาศจะออกในบ่ายนี้ โรงเรียนจะชี้แจงการสอบและลงโทษไป่อวี๋เยว่ด้วย”
“ขอบคุณค่ะรุ่นพี่” สวี่สุยกล่าว
ซือเยว่เจี่ยพยักหน้า เขานึกบางอย่างขึ้นได้ จึงยิ้มและพูดว่า “ยินดีด้วยนะ เธอได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันทักษะทางการแพทย์”
“โชคช่วยน่ะ” เมื่อสวี่สุยหัวเราะ ลักยิ้มทั้งสองข้างของเธอก็ปรากฏชัดเจน
“ไม่รบกวนเวลาเรียนของเธอแล้ว เข้าไปข้างในเถอะ มีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ” ซือเยว่เจี่ยพูดอย่างอ่อนโยน
“ขอบคุณค่ะ” สวี่สุยพยักหน้า
เมื่อสวี่สุยเข้าไปข้างใน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้นอีกครั้ง จะโทษพวกเขาไม่ได้หรอก ซือเยว่เจี่ยโดดเด่นจริง ๆ อีกทั้งเขาเป็นคนตามหาสวี่สุย ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกคนไม่คิดอะไร
ผู้คนรอบข้างต่างพากันอมยิ้ม สวี่สุยกลับมายังที่นั่งด้วยท่าทางสงบ หญิงสาวแถวหน้าขอยืมไส้ดินสอ เธอจึงค้นกล่องดินสอ เมื่อพบแล้วจึงยื่นให้
หญิงสาวแถวหน้าถามเธอว่า “เธอไม่ตื่นเต้นหรอที่รุ่นพี่มาหา?”
“ฉันไม่ได้รู้สึกอะไรนะ” สวี่สุยส่ายหัว
หูเชี่ยนซีก็อยู่ในคาบเรียนนั้นด้วย นักศึกษาคณะสัตวแพทยศาสตร์ของเธอก็มาเข้าเรียนด้วย ทั้งหมดเป็นเพราะความหล่อของคุณครูสอนภาษาอังกฤษ พวกเธอล้วนมาที่นี่เพื่อสิ่งนี้ สวี่สุยคาดไม่ถึงว่าจะเจอกับเรื่องแบบนี้
หูเชี่ยนซีเงยหน้าขึ้นจากหนังสือเมื่อเธอได้ยินคำเหล่านั้น และมองไปที่สวี่สุยราวกับว่าเธอพบอะไรบางอย่าง
คนส่วนใหญ่เห็นสวี่สุยเป็นคนนิสัยดี ประพฤติตัวดี มีความสามารถ เมื่อเจอปัญหาจะสงบนิ่ง มีความแปลกแยกอย่างเย็นชา ยกเว้นต่อหน้าโจวจิงเจ๋อ ดูเหมือนว่าสวี่สุยจะประหม่าและขี้อายได้ง่าย
โจวจิงเจ๋อเป็นเหมือนหายนะ
เหลียงส่วงนั่งข้างสวี่สุย หยิกแก้มของเธออย่างเคยชิน “สวี่สุยของเราฮอตจริง ๆ”
“ไม่มีอะไร เขามาหาฉันเพื่อบอกฉันเกี่ยวกับไป่อวี๋เยว่” สวี่สุยปรบมือ
“บ้าเอ้ย พูดถึงเธอฉันก็รู้สึกโกรธขึ้นมา หลังจากที่ไป่อวี๋เยว่และโจวจิงเจ๋อเลิกรากัน ฉันรู้สึกว่าเธอไม่เหมือนเดิม” เหลียงส่วงขมวดคิ้ว
“โชคดีที่เธอเลือกที่จะเปลี่ยนหอพักเอง”
เมื่อคำชี้แจงออกมา ทุกคนมีมติตรงกัน แต่ไป่อวี๋เยว่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เธอยอมรับการลงโทษอย่างใจเย็น วันรุ่งขึ้น เธอก็ยื่นขอเปลี่ยนหอพัก
เรื่องที่ทำให้สวี่สุยประหลาดใจมากที่สุดไม่ใช่เรื่องนี้ แต่เป็นการที่ไป่อวี๋เยว่ขอโทษเธอด้วยน้ำเสียงที่จริงใจ
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ สวี่สุยหยิบโทรศัพท์มือถือของเธอออกมาและจ้องไปที่ข้อความขอโทษของไป่อวี๋เยว่อีกครั้ง เหตุผลคืออะไรกันแน่ ครั้งสุดท้ายซือเยว่เจี่ยยังบอกว่าเธอจะไม่ขอโทษเด็ดขาด
สวี่สุยไม่คิดว่าไป่อวี๋เยว่จะยอมก้มศีรษะของเธอลง
ในตอนเย็น หลังจากกลับมาที่หอพัก สวี่สุยพบว่าตัวเองถูกดึงเข้ากลุ่ม โจวจิงเจ๋อกับหูเชี่ยนซีก็อยู่ในนั้น เธอเดาว่าคงเป็นกลุ่มการแข่งขันวงดนตรี
เซิ่งหนานโจวส่งข้อความเข้ามาในกลุ่ม “สุดสัปดาห์นี้ว่างมั้ย เวลา 5 โมงเย็น สถานที่ซ้อมคือห้อง C ที่โรงเรียนของเรา ไม่มีปัญหากันใช่มั้ย”
ในกลุ่มไม่มีใครพูดแม้แต่คนเดียว
เซิ่งหนานโจวส่งอั่งเปาหลายฉบับติดต่อกัน พวกเขาทั้งหมดได้รับในเวลาไม่กี่วินาที จากนั้นคนในกลุ่มก็เริ่มคล้อยตามกัน “ได้รับแล้วกัปตันเซิ่ง”
ต้าหลิว “ขอบคุณครับกัปตันเซิ่ง วันอาทิตย์ก็ต้องว่างอยู่แล้ว”
หูเชี่ยนซี “ฉันก็เหมือนกัน”
โจวจิงเจ๋อพูดแค่คำเดียว “ขอบคุณ”
เซิ่งหนานโจวส่งสติกเกอร์ชูนิ้วกลาง สวี่สุยมองไปที่หน้าจอโทรศัพท์และยิ้ม “ฉันไม่มีปัญหา ฉันจะกลับมาหลังจากไปสอนในวันหยุดสุดสัปดาห์”
เซิ่งหนานโจวบ่นในกลุ่ม “ทุกคน วงของเรายังไม่ได้ตั้งชื่อ ทุกคนช่วยกันตั้งทีสิ”
ไม่มีใครสนใจเขาเลย เซิ่งหนานโจวจึงส่งอั่งเปาจำนวน 500 หยวน หลังจากได้รับอั่งเปาแล้ว ในกลุ่มก็เริ่มพูดอย่างกระตือรือร้นราวกับเครื่องจักร
ต้าหลิวที่ร้องเพลงไม่เก่งไม่ใช่ต้าหลิว : “ชื่อว่าโฉมงามกับอสูรเป็นไง?”
ฉันคือกัปตัน ฟังฉันนะ : “ที่นี่มีแต่นายเท่านั้นแหละที่เป็นอสูร”
เจ้าหญิงซีซี : “ไม่เอา เรียกว่าแหล่งกำเนิดระเบิดดีกว่ามั้ย?”
“หรือจดหมายรักสามสิบหกฉบับดีล่ะ?”
ฉันเป็นกัปตัน ฟังฉันนะ : “ฉันคิดออกสองสามชื่อพวกเธอลองดูสิ รถไฟสายสีเขียว กาแฟขี้แมว บาร์บีคิวไนท์ แล้วชื่อพวกนี้ล่ะเป็นยังไง?”
ทุกคนพูดคุยกันอย่างยาวเหยียด สวี่สุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และแสดงความคิดเห็นท่ามกลางคำตอบต่าง ๆ แต่ก็ถูกปัดทิ้งไปอย่างรวดเร็ว
เธอถอนหายใจและกำลังจะวางโทรศัพท์ลง แต่เมื่อเห็นหน้าจอโทรศัพท์ ตาของเธอก็ค่อย ๆ โตขึ้น โจวจิงเจ๋อซึ่งเงียบมาเป็นเวลานานกล่าวว่า “ที่สวี่สุยเสนอมาก็โอเคนะ ถ้าอย่างนั้นวงเราชื่อ อารมณ์ของคาร์บอนไดออกไซด์ แล้วกัน”
สวี่สุยเข้าร่วมวงดนตรีของโจวจิงเจ๋ออย่างเร่งรีบโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่า นี่คือการแข่งขันแบบไหน
จนกระทั่งสวี่สุยลงมาจากตึกอุดมการณ์การเมืองในช่วงบ่าย และเห็นจากเว็บบอร์ดถึงเพิ่งรู้ว่าการแสดงดนตรีนี้จัดขึ้นโดยความร่วมมือทั้งสองโรงเรียนเพื่อส่งเสริมมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนฉันมิตรระหว่างทั้งสองโรงเรียน นักเรียนของทั้งสองโรงเรียนสามารถร่วมมือกันแสดงบนเวทีได้อย่างอิสระ
ข่าวกิจกรรมนี้แพร่หลายไปทั่วโรงเรียน สวี่สุยยืนอยู่หน้าเว็บบอร์ดพร้อมกับหนังสืออยู่ในอ้อมแขนและกำลังอ่านกฎของการแข่งขัน เงาหนึ่งก็ปกคลุมลงมา และเสียงที่อ่อนโยนก็ดังขึ้น “สนใจหรอ?”
หลังจากที่สวี่สุยเอียงศีรษะมองว่าเป็นใคร เธอจึงทักทายอย่างสุภาพ “รุ่นพี่”
“สนใจนิดหน่อยค่ะ” สวี่สุยกล่าว
ซือเยว่เจี่ยยกมุมปากขึ้น และยกมือจับแว่นตา “ทุกคนต่างบอกว่าถ้าชวนนักเรียนแพทย์ได้ อาจจะเกิดฟ้าผ่า บางทีพระเจ้าอาจเห็นว่าพวกเราลำบากเกินไป โรงเรียนคงอยากให้พวกเราผ่อนคลาย”
“พี่กำลังตัดสินใจจะลงสมัครอยู่พอดี ไม่รู้ว่าน้องสวี่ต้องการคนร่วมแสดงมั้ย?” น้ำเสียงของซือเยว่เจี่ยฟังดูผ่อนคลายและราบเรียบ หารู้ไม่ว่าเขากำลังใช้แรงหักข้อนิ้วของตัวเองอยู่
สวี่สุยเข้าร่วมทีมของเซิ่งหนานโจวแล้ว เธอกำลังจะปฏิเสธ จู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงแทรกขึ้นมา “รุ่นพี่ ถ้าอย่างนั้นพี่ก็มาช้าไปแล้วล่ะ สวี่สุยได้เข้าร่วมวงดนตรีกับโรงเรียนการบินปักกิ่งที่อยู่ติดกันเรียบร้อยแล้ว”
“เธอรู้ได้ยังไง?” สวี่สุยขมวดคิ้ว
หญิงสาวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขย่าโทรศัพท์มือถือของเธอไปมา และพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “โพสต์ของทั้งสองโรงเรียนแพร่กระจายไปทั่วแล้ว และใช่ อีกฝ่ายหนึ่งคือโจวจิงเจ๋อ ถึงเล่นดนตรีไม่เป็นก็ต้องกัดฟันเล่นแล้วล่ะ”
“รุ่นพี่ อย่าเปลืองแรงเลย ไม่ทันไรพวกเราก็เข้าข้างคนอื่นแล้ว” ใครบางคนพูดขึ้น
สวี่สุยไม่อยากโต้แย้ง เมื่อเธอกำลังจะชี้แจงให้ชัดเจน ซือเยว่เจี่ยก็พูดว่า “สวี่สุยต้องการเข้าร่วมอะไรก็เป็นสิทธิ์ของเธอ ฉันได้ยินมาว่าแม้อยู่ในสถานการณ์กดดันทางวิชาการ เธอก็ยังได้เกรด A+ เธอคงไม่คิดเข้าข้างคนอื่นหรอก พวกเธอคิดว่าไง?”
น้ำเสียงของซือเยว่เจี่ยเป็นเหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิ ไม่เร็วหรือช้าจนเกินไป และอบอุ่นเสมอ
ไม่คิดว่าจะเจอกับความเย็นชาแบบนี้ พวกเธอรู้สึกอัปยศอดสูและเดินออกไปด้วยใบหน้าที่เขินอาย
หลังจากที่ฝูงชนแยกย้ายกันไป ซือเยว่เจี่ยและสวี่สุยเดินเคียงข้างกันบนถนนของมหาวิทยาลัย เมื่อถึงครึ่งทาง นักเรียนสองคนขี่จักรยานและกดกระดิ่งไปตลอดทาง ซือเยว่เจี่ยจึงให้เธอเข้าไปเดินข้างใน
“สิ่งที่พวกนั้นพูด เธอไม่ต้องเอามาใส่ใจหรอกนะ” ซือเยว่เจี่ยพูดปลอบใจ
สวี่สุยส่ายหัว ขณะที่ลมพัดผ่านใบไม้สีเหลืองก็ร่วงลงมา เธอเอื้อมมือออกไปจับ ดวงตาของเธอราวกับเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ
“ไม่หรอก ทุกคนมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นของตัวเอง เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ฉันเคยได้รับความทุกข์ทรมานจากความอาฆาตพยาบาทที่แย่กว่านั้น แต่ตอนนี้ ฉันปกป้องตัวเองได้เป็นอย่างดี”
“งั้นก็ดี” ซือเยว่เจี่ยพยักหน้า
ซือเยว่เจี่ยและสวี่สุยเดินเคียงข้างกันครู่หนึ่ง เมื่อพวกเขากำลังจะข้ามสี่แยก เขาก็พูดขึ้นทันทีว่า “สวี่สุย เธอกับโจวจิงเจ๋อสนิทกันมากมั้ย?”
ซือเยว่เจี่ยใช้คำที่ปลอดภัยมากเพื่อทดสอบให้แน่ใจ สวี่สุยส่ายหัวและพูดว่า “ฉันไม่รู้”
โจวจิงเจ๋อควรปฏิบัติต่อเธอในฐานะเพื่อนสนิทของหลานสาวของเขา