บทที่ 10 อดีตของเหลียงเฉิน (2)
แต่แล้วเธอก็มีหลานชายแท้ ๆ ของเธอเอง ไม่เพียงแค่นั้น เธอยังค้นพบว่าพ่อของเหลียงเฉินแทบจะไม่เคยกลับมาเลย
เหลียงเฉินเป็นลูกของครอบครัวคนอื่น สำหรับคนคนนี้ การมีหลานชายสำคัญขนาดไหนกัน? คนคนนี้กำลังยุ่งอยู่กับการเลี้ยงหลานชายของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถดูแลเขาได้ เธอไม่ได้อาศัยอยู่ข้างบ้านของเขาแล้วด้วยซ้ำ เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น เธอจะมาหาอะไรให้กินหรือให้เงินสองสามหยวนเพื่อให้เขาไปซื้อซาลาเปากินเอง....ในตอนนั้นเขาเพิ่งจะอายุเพียงเก้าขวบเท่านั้น
ถ้าในตอนนั้นเขาบอกเรื่องเหล่านี้กับพ่อก็คงไม่เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น แต่เขาโตขนาดนี้แล้ว แทบไม่มีปฏิสัมพันธ์กับพ่อเลย คุณย่าที่คอยดูแลเขายังสนิทกับเขามากกว่าพ่อเสียอีก ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องพ่อได้อย่างไรกัน
ดังนั้น เรื่องนี้ก็เลยยิ่งรุนแรงมากขึ้น
ในตอนที่เขาอายุได้เก้าขวบ เธอจะมาซักเสื้อผ้าให้เขาอาทิตย์ละครั้งและทำอาหารให้เขาบ้าง แต่ช่วงหลัง ๆ เธอก็ดูแลเขาน้อยลงเรื่อย ๆ จะให้เงินเขาเพียงเล็กน้อยเพื่อซื้ออาหารเอง หากมีเรื่องอะไร เช่น กิจกรรมที่โรงเรียนต้องการความช่วยเหลือจากผู้ปกครอง และเขาต้องไปหาเธอ เธอก็จะรู้สึกว่ามันวุ่นวายเกินไป หากที่โรงเรียนมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเติม เธอก็ไม่ยอมที่จะช่วยเขาจ่าย หากไม่ใช่เพราะพ่อของเขาทิ้งเงินไว้ให้เขาในช่วงตรุษจีนสองสามร้อยหยวน ในเวลานั้นเขาก็คงต้องไปขอเงินใครสักคนแทน
และในตอนนั้นเองก็เป็นตอนที่สภาพของเขาเริ่มแย่ลงเรื่อย ๆ ...
ใบหน้าของเหลียงเฉินแดงขึ้นทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงเรียนประถมของตน
ในตอนนั้นเขายังเด็ก และไม่มีใครสอนเขาเรื่องงานบ้าน แม้ว่าเขาจะเรียนรู้เรื่องการซักผ้าด้วยตนเองก็ตาม แต่ก็ซักไม่สะอาดเลยสักนิด ส่วนเรื่องการอาบน้ำสระผมนั้น...เด็ก ๆ หากไม่มีใครกระตุ้นให้อาบน้ำก็คงไม่มีใครเต็มใจที่จะอาบนัก
ในตอนนั้นเขาสกปรกมาก โดยเฉพาะในช่วงป.สี่ ป.ห้า ช่วงเวลาสองปีนั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เพื่อนร่วมห้องทุกคนเกลียดเขาและอยู่ห่างจากเขา
กระทั่งอาจารย์ยังไม่ชอบเขาเลย เขามักจะถูกจัดให้นั่งคนเดียวที่มุมหลังห้องเสมอ ไม่มีใครอยากจะคุยกับเขา จากนั้นเขาก็เงียบลงเรื่อย ๆ และก็ค่อย ๆ เริ่มพูดติดอ่างมากขึ้น
หากไม่ใช่เพราะในเวลานั้นเขาชอบจัวเซ่า เกรงว่าเรื่องแบบนั้นก็จะยังเป็นเช่นนั้นอยู่อีกนาน
จัวเซ่าดีเกินไป ราวกับว่าเขาจะสามารถส่องแสงออกมาได้ ส่วนเขากลับย่ำแย่เกินไป...
เขาพยายามอย่างมากที่จะเปลี่ยนตัวเอง เริ่มอาบน้ำ สระผม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ได้มากมายอะไร ในตอนนั้นเขาเห็นใครบางคนส่งการ์ดอวยพรให้จัวเซ่า...
เขาก็อยากจะซื้อการ์ดอวยพรที่มีเนื้อเพลงอยู่ในนั้นให้จัวเซ่า แต่เขาไม่มีเงิน
หากเขาจะส่งการ์ดอวยพรให้จัวเซ่า...เขาก็อยากจะอาบน้ำ ตัดผม เปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ด้วย...
หลังจากคิดกลับไปกลับมาอยู่หลายวัน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจโทรหาพ่อเพื่อขอเงิน
และนี่ก็เป็นการโทรศัพท์ที่เปลี่ยนชีวิตเขา
ในปีนั้นพ่อของเขาได้เริ่มต้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แล้ว และในทุก ๆ ปีเขาทำเงินได้มากมาย และเขายังได้ให้เงินจำนวนมากกับคนดูแลของเหลียงเฉินด้วย แต่ผลที่ได้ก็คือลูกชายของเขากลับไม่มีเงินใช้...
พ่อของเขากลับมาที่บ้าน ทำความสะอาดและขายห้องนี้ทิ้ง จากนั้นก็ซื้อบ้านใหม่ให้เขาอยู่อาศัย หลังจากแน่ใจว่าเขาสามารถอยู่ด้วยตนเองได้แล้ว พ่อก็ให้เงินกับเขาโดยตรง และตอนนั้นก็เป็นตอนที่เขาอยู่ชั้นป.หก
เขาไม่อยากให้จัวเซ่ารู้เรื่องเหล่านี้ แต่ตอนนี้คนพวกนี้กลับพูดออกมาจนหมด...
เหลียงเฉินแทบอยากจะมุดดินหนีให้รู้แล้วรู้รอด
“หุบปาก!” จัวเซ่ามองคนที่อยู่ตรงหน้าตนด้วยสีหน้าเย็นชา เขาเกลียดคนที่พูดถึงคนอื่นแบบนี้ที่สุด “นายมาแกล้งเพื่อนแบบนี้ ไม่กลัวอาจารย์รู้หรือไง?”
คนที่ขวางจัวเซ่าเอาไว้ต่างก็เป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมิน พวกเขากังวลเล็กน้อยว่าจัวเซ่าอาจจะเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอาจารย์ เมื่อเห็นว่าจัวเซ่าเริ่มโกรธแล้ว พวกเขาก็รีบวิ่งหนีไปทันที
หลังจากที่คนพวกนั้นวิ่งหนีไป จัวเซ่าก็มองไปยังเหลียงเฉินแล้วเอ่ยถาม “นายไม่เป็นไรใช่ไหม?”
“ฉะ...ฉะฉะฉะฉันไม่เป็นไร” เหลียงเฉินเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย ตอนนี้เขาอยากจะร้องไห้ออกมาให้รู้แล้วรู้รอดและเอ่ยอธิบายกับจัวเซ่าสักสองสามประโยค “ตะ…ตอนนี้ฉันไม่มีเหาแล้ว ฉัน…ฉันยังอาบน้ำทุกวัน เสื้อก็มีเครื่องซักผ้า…”
หลังจากขึ้นมัธยม เขาก็เปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่าง เขาตัดผมสั้น ไม่มีเหาอีกแล้ว และยังอาบน้ำทุกวัน เสื้อผ้าก็ใช้เครื่องซักผ้าซัก…แต่เพราะเด็กที่โรงเรียนประถม หลังจากเรียนจบแล้วก็เข้าเรียนชั้นมัธยมต้นที่โรงเรียนมัธยมต้นเป่ยเหมินกัน แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือเปลี่ยนไปอย่างไร ก็ไม่มีใครรู้สึกประทับใจในตัวเขาเลย
และเขายังอ้วนอีก…ในโรงเรียนไม่มีใครชอบคนอ้วน
ศีรษะของเหลียงเฉินตกลงเรื่อย ๆ …เขารู้สึกแย่มากที่จัวเซ่าต้องมารู้เรื่องราวในอดีตของตน…จัวเซ่าจะรู้สึกรังเกียจเขามากไหมนะ?
“อืม ตอนนี้นายดีขึ้นมากแล้ว” จัวเซ่าเอ่ย ตบไปเบา ๆ ที่ไหล่ของเหลียงเฉิน
ตัวเด็กสกปรก โดนพื้นฐานแล้วเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ จะไปตำหนิเด็กได้อย่างไรกัน
ในตอนที่จัวเซ่าตายในชีวิตก่อน เขาอายุสามสิบห้าปีแล้ว หากเขาไม่ได้ติดคุกก็คงไม่ได้พบกับเหลียงซิน และก็คงได้แต่งงาน มีลูกเร็วแน่ ๆ เด็กก็อาจจะโตเท่า ๆ กับเหลียงเฉินแล้ว…
“ฉันเชื่อว่าต่อไปนายจะยิ่งดีมากกว่านี้” จัวเซ่าเอ่ยให้กำลังใจเด็กคนนี้อีกประโยค
เหลียงเฉินมองไปยังจัวเซ่าด้วยความตื่นเต้น แต่จัวเซ่าต้องรีบไปรับจัวถิง “ฉันมีบางอย่างต้องทำ ไปก่อนนะ”
เมื่อบอกลาเหลียงเฉิน จัวเซ่าก็รีบวิ่งไปยังโรงเรียนประถม แต่เมื่อไปถึงโรงเรียนประถม ภายในห้องเรียนกลับเหลือจัวถิงอยู่เพียงลำพัง
โชคดีที่ในเวลานี้มีอาจารย์บางคนลงมาสอนพิเศษให้กับนักเรียนต่างชาติ ดังนั้นจัวถิงจึงไม่ใช่คนที่เหลืออยู่ในโรงเรียนเป็นคนสุดท้าย
“พี่ชาย ทำไมมาช้าจัง?” จัวถิงเอ่ยถาม
“พี่บังเอิญเจอจัวเจียเป่าน่ะ” จัวเซ่าเอ่ย เห็นใบหน้าของจัวถิงแสดงความหวาดกลัวออกมา เขาจึงเอ่ยปลอบใจไป “ถิงถิงไม่ต้องกลัว พี่ชายไม่เป็นไร แต่จัวเจียเป่าถูกพี่จัดการไปแล้ว”
จัวถิงไม่เชื่อแม้แต่น้อย จัวเซ่าจึงเอ่ยเสริมอีก “ถิงถิง จริง ๆ แล้วพี่ชายเจ๋งมากเลย เราลืมไปหรือเปล่าว่าเมื่อคืนพี่เพิ่งจะทำให้ลุงกับป้าสะใภ้กลัวหัวหดไปน่ะ?”
เมื่อจัวถิงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอก็ยิ้มออกมา
จัวเซ่ารู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
วันนี้เขาจัดการจัวเจียเป่าไป หลังจากกลับไป เกรงว่าคงจะต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายอีกแน่…
เขาหวังว่าชวีกุ้ยเซียงจะหาเรื่องวุ่นวายมาให้เขามากกว่านี้ แต่เขาไม่ต้องการให้จัวถิงได้รับผลกระทบ
จัวเซ่าคิดว่าเมื่อตนทุบตีจัวเจียเป่าไปแบบนี้ พอกลับไปคงถูกชวีกุ้ยเซียงเล่นงานแน่ แต่หลังจากกลับถึงบ้านในคืนนั้น ชวีกุ้ยเซียงกลับไม่ได้ทำอะไรเขา แค่ไม่ให้พวกเขากินอาหารเย็นเท่านั้น