บทที่ 10 มดปลวกใต้ฝ่าเท้าปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ
บทที่ 10 มดปลวกใต้ฝ่าเท้าปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ
ได้ยินประโยคนี้
ซูโหย่วไฉ่และเหยาโหย่วเฉียนต่างก็ตกตะลึง
ท่านอธิการบดี ท่านมาที่นี่เพื่อไกล่เกลี่ย หรือมาที่นี่เพื่อจะเป็นผู้นำกันแน่?
นักเรียนคนนี้ดีขนาดนั้นเลยเหรอ?
อย่าพูดถึงปรมาจารย์ระดับเพชรข้างนอก
เขาคือปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ แล้วเขาก็คือเสาหลักแห่งมหานครเวทมนตร์ เขาจะมาแย่งนักเรียนกับทุกคนด้วยจริงๆ เหรอ?
“ท่านอธิการบดี...แบบนี้มัน...แบบนี้มันไม่สมควรนะครับ?” เหย่าโหย่วเฉียนพูดตะกุกตะกัก
“ไม่สมควรตรงไหนกัน?” อธิการบดีไป๋ซูพูดอย่างใจเย็น “เวลามันไม่เคยรอใคร เดี๋ยวอีกหน่อย เวทย์มนตร์มิติของฉันก็จะถูกทำลายโดยคนพวกนั้น”
ถ้าเขาไม่ได้ใช้เวทย์มนตร์มิติกักขังปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำอีกสองคนในมหานครเวทมนตร์เอาไว้ชั่วคราว ตัวเขาก็คงจะต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาทั้งสามพร้อมๆ กัน
ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งล่อใจจากจางเหอตงที่สองมันช่างยิ่งใหญ่...
เมื่อได้ยินประโยคนี้
ดวงตาของเหยาโหย่วเฉียนและซูโหย่วไฉ่ก็แทบจะถลนออกมา
พวกเขาเผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยไม่รู้ตัว
มีเพียงสองคนในมหานครเวทมนตร์ที่สามารถทำลายเวทย์มนตร์มิติของท่านอธิการบดีได้...
นักเรียนคนหนึ่งทำให้เสาหลักทั้งสามของมหานครเวทมนตร์ต่อสู้กัน...
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้
ซูโหย่วไฉ่ก็ทำหน้าเหยเกทันที “ท่านอธิการบดี ผมขอโทษจริงๆ อุปกรณ์ตรวจสอบพังจริงๆ แต่ผมให้ไฟล์ต้นฉบับของบันทึกการเข้าออกให้กับ เลอวั่นอี้ ครูใหญ่ชั้นปีหนึ่งไปแล้วครับ”
“เลอวั่นอี้?? เด็กสาวจากตระกูลเลองั้นเหรอ?”
เมื่อไป๋ซูได้ยินว่าของทั้งหมดอยู่ในมือของเลอวั่นอี้ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ถ้าหากมันอยู่ในมือของเลอวั่นอี้ ด้วยสถานะของเขา การจะชิงมันไปคงไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม
จากนั้นเขาก็ลูบเคราของตัวเองพลางนับนิ้ว
เขาเริ่มคำนวณ สุดท้ายแล้วก็พบว่าเรื่องนี้มันเหมือนกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ดูเหมือนว่าจะมีคนใช้เวทย์มนตร์ที่ทรงพลังกว่าของเขาเพื่อปกปิดเรื่องนี้เอาไว้...
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ” มุมปากของไป๋ซูยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย ในโลกนี้ มีไม่กี่อย่างหรอกนะที่ทำให้เขาสนใจ
“ถ้าอย่างนั้น ก็ปล่อยไปตามธรรมชาติเถอะ”
เหยาโหย่วเฉียนเห็นไป๋ซูวางแผนจะรอดูสถานการณ์
ซูโหย่วไฉ่ถามอย่างกังวลใจ “ท่านอธิการบดี แล้วพวกเราจะบอกอะไรกับเหล่าปรมาจารย์ที่อยู่ข้างนอกว่าอะไรล่ะครับ?”
“พวกเขาน่ะเหรอ?? ทำไมฉันต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับพวกเขาด้วย?”
พูดจบไป๋ซูก็โบกมือไปที่ประตูเบาๆ
ในตอนนั้นเองเหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งหมดที่ยืนอยู่ในลานก็ถูกดึงดูดโดยพลังที่มองไม่เห็น
ไม่มีใครขัดขืนได้ พวกเขาทั้งหมดถูกเทเลพอร์ตกลับไปยังที่ที่จากมาก
หลังจากถูกส่งกลับไป ก็มีเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้นที่วนเวียนอยู่ในใจของทุกคน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามใครทำการค้นหาโดยเด็ดขาด การประเมินผลขั้นสุดท้ายจะมีคำตอบให้กับทุกคนเอง”
ฮั่วเหวินซุนก็ถูกเทเลพอร์ตกลับไปที่ลานบ้านของเขาโดยเวทย์มนตร์มิติของไป๋ซู
เขายืนนิ่งอยู่ภายในลานบ้าน
เขารู้ดีว่าใครอยู่เบื้องหลังการเคลื่อนย้ายมิติขนาดใหญ่ในครั้งนี้
ในเมื่อไป๋ซูได้พูดออกมาแบบนี้แล้ว พวกเขาจะทำอะไรได้?
นั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หากพวกเขายังคงค้นหานักเรียนคน
พวกเขาก็เท่ากับว่ากำลังขัดคำสั่งไป๋ซู
แม้ว่าปรมาจารย์ระดับแพลทินัมและเพชรเหล่านี้จะเป็นปรมาจารย์มีพรรค
แต่พวกเขาก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะท้าทายปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำอย่าง ไป๋ซู ผู้อยู่บนจุดสูงสุดของพีระมิดได้
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฮั่วเหวินซุนก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ
ตัวเขาก็เป็นได้แค่มดปลวกใต้ฝ่าเท้าปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องที่เกินจริงเลย...
“อาจารย์...ศิษย์น้องของผมล่ะครับ??” หวงตงตง ศิษย์สายตาสั้น รีบวิ่งเข้ามา
ฮั่วเหวินซุนมองไปที่ศิษย์สายตาสั้น เขาโกรธมากจนอยากจะลงโทษศิษย์คนนี้อีกครั้ง
แต่ทันใดนั้นเขาก็เปลี่ยนใจ
ฮั่วเหวินซุนยิ้มออกมา “ตงตง อาจารย์รู้แล้ว พื้นฐานของแกยังอ่อนหัดไป อาจารย์เลยวางแผนจะให้แกกลับไปฝึกฝนใหม่ที่ชั้นปีหนึ่ง เริ่มตั้งแต่วันพรุ่งนี้ เก็บกระเป๋าแล้วไปรายงานตัวที่ชั้นปีหนึ่งได้เลย”
หากเขาไม่ได้ไปตามหาเด็กคนนั้นด้วยตัวเอง เขาก็แค่ให้ศิษย์ของตัวเองไปวางรากฐานใหม่ที่ชั้นปีหนึ่ง ไปตามหาคนคนนั้นด้วยตัวเอง แบบนี้ก็คงไม่ถือว่าผิดสัญญาหรอกมั้ง?
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฮั่วเหวินซุนก็ลูบเคราของตัวเองด้วยความภาคภูมิใจ นี่แหละที่เขาเรียกว่าสติปัญญา!!
“อ่า แต่ อาจารย์ครับ ผมควรจะไปที่ชั้นเรียนไหนดีครับ?”
“แกน่ะเหรอ? จะไปห้องไหนก็ได้ที่แกจะได้รับการสั่งสอน”
พูดจบฮั่วเหวินซุนก็หาว และแล้วเขาก็เดินเข้าไปในห้องด้านใน
ปล่อยให้หวงตงตงยืนโดดเดี่ยวท่ามกลางสายลม
วันรุ่งขึ้น
การชุมนุมของปรมาจารย์มากมายในมหานครเวทมนตร์ที่สถาบันเกาอู่ กลายเป็นเหมือนพายุที่พัดผ่านทุกซอกทุกมุมของโรงเรียน
“นี่นายได้ยินเรื่องเมื่อวานนี้รึเปล่า? ปรมาจารย์มากมายมารวมตัวกันที่โรงเรียนของเรา”
“ฉันสัมผัสได้เลยแหละ ถึงแรงกดดันของปรมาจารย์พวกนั้น แม้แต่สุนัขที่เดินผ่านไปมาในรัศมีสิบไมล์ ยังต้องคลานหนี”
“ตอนนั้นฉันอยู่ที่สนามเด็กเล่น แรงกดดันน่ากลัวจริงๆ โชคดีที่ฉันใจแข็ง ฉันเลยทนมาได้”
“อย่ามาโกหกเลย กางเกงเปียกๆ ของแกยังแขวนอยู่ในหอพักเลย”
“ปรมาจารย์มากมายในมหานครเวทมนตร์มารวมตัวกัน ครั้งสุดท้ายที่พวกเขามารวมตัวกันแบบนี้คือตอนที่เกิดสงคราม”
“ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าสงครามกำลังจะเริ่มขึ้นน่ะ??”
“ใช้สมองคิดซะบ้างสิ หากสงครามใกล้จะเริ่มขึ้นจริง ทำไมพวกเขาถึงมารวมตัวกันที่โรงเรียน แทนที่จะไปรวมตัวกันที่แนวหน้าล่ะ?”
“ฉันได้ยินมาว่าสุดท้ายแล้ว ท่านอธิการบดีก็ลงมือจัดการด้วยตัวเอง พลังมิติที่ท่านอธิการบดีใช้นั้นน่าทึ่งจริงๆ ขนาดปรมาจารย์ระดับเพชรยังต้านทานไม่ไหว พวกเขาต่างก็ถูกส่งกลับบ้าน”
“มดปลวกใต้ฝ่าเท้าปรมาจารย์ผู้เลิศล้ำ นายคิดว่ามันเป็นเรื่องตลกหรือไง?”
การรวมตัวกันของเหล่าผู้แข็งแกร่งในสถาบันเกาอู่แห่งมหานครเวทมนตร์เมื่อวานนี้ ได้จุดประกายความคิดเห็นของสาธารณชน
นักเรียนทุกคนในโรงเรียนต่างก็พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้
โดยเฉพาะชั้นเรียนห่วยๆ อย่าง ห้อง 2 ชั้นปีที่ 1 พวกเขากลับไม่สนใจการเรียน พวกเขามัวแต่ถกเถียงเรื่องนี้ 24 ชั่วโมงต่อวัน
ส่วนต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด
เย่เหรินกำลังนั่งอยู่บนแท่นบรรยาย เขากำลังมองดูนักเรียนที่กำลังคุยกันอย่างสนุกสนาน
เย่เหรินผู้ซึ่งมีระบบครูชื่อดังอยู่ในหัว มองไปที่นักเรียนที่อยู่ตรงหน้า เขากำลังเห็นว่านักเรียนทั้งหลายกำลังน่ารักมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่นี่ไม่มีนักเรียนที่ไร้ประโยชน์ พวกเขาก็คือไข่มุกที่ยังไม่ถูกขัดเกลาก็เท่านั้น
เพียงแต่ว่าแนวคิดของไข่มุกเหล่านี้ค่อนข้างจะบิดเบี้ยวไปหน่อย
พวกเขาไม่ได้สนใจการฝึกฝนเลย
ถ้าต้องการพัฒนาความแข็งแกร่งโดยรวมของชั้นเรียน เขาก็ต้องหาวิธีที่จะแก้ไขชั้นเรียนสุดห่วยนี้ให้ได้
เย่เหรินมองนักเรียนด้วยแววตาที่กระตือรือร้น เขากำลังจ้องไปที่นักเรียนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“พวกนายคิดว่าครูเย่โดนอะไรมากระตุ้นรึเปล่า?”
“ฉันก็รู้สึกแบบนั้น มันเหมือนกับว่า ตั้งแต่ที่เขาโดนอาจารย์ใหญ่เลอดุ ครูเย่ก็เปลี่ยนไปเยอะเลย”
“ใช่ ถึงแม้ว่าครูเย่จะดูมีพลังมากขึ้น แต่วิธีที่ครูเย่มองพวกเรานั้นแตกต่างจากเดิม”
“ไม่ใช่แค่ครูเย่ที่เปลี่ยนไปหรอก แม้แต่หัวหน้าชั้นของพวกเราก็เปลี่ยนไป สองวันที่ผ่านมาเขาหายไปไหนกันแน่?”
“วันก่อนฉันไปหาเขา แต่ฉันไม่รู้ว่าดาชุนเป็นอะไร ปากของเขามีกลิ่นคาวปลา แถมยังพูดพึมพำทุกวันว่า เหลืออีกกี่จินๆ อะไรนั่นน่ะ?”
“เฮ้อ ดาชุนเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก แต่หลังจากที่โดนครูเย่พาตัวไป สองวันต่อมาเขาก็เสียสติไปซะแล้ว”
“นี่มันเหมือนกับเสียงกระซิบจากเทพโบราณ ฉันขอขนานนามครูเย่ว่าเทพเจ้าองค์ใหม่”
“บ้าไปแล้ว บ้าไปแล้ว บ้ากันไปหมดแล้ว ยังไงชั้นเรียนนี่ก็ไม่ควรจะมีอยู่แต่แรกแล้ว”
“ชู่ว เบาๆหน่อย ก้มหัวลงเร็ว ครูเย่มาแล้ว”
การพูดคุยกันอย่างสนุกสนานของนักเรียนก็หยุดลงทันทีเมื่อเย่เหรินก้าวลงจากแท่นบรรยาย
ทุกคนต่างก้มหัวลง พวกเขากลัวที่จะสบตากับเย่เหริน
แต่เย่เหรินกลับเดินผ่านพวกเขาไป
เย่เหรินหยุดเดินเมื่อไปถึงแถวหลังสุด
เย่เหรินมองดูหญิงสาวที่นั่งตัวตรงและกำลังท่องตำราอยู่แถวหลังสุดด้วยความสนใจ
ท่ามกลางนักเรียนที่กำลังนอนหลับ เธอกลับนั่งตัวตรง ในสภาพแวดล้อมที่แสนวุ่นวายแบบนี้ เธอก็ยังตั้งใจท่องตำรา
ไม่ว่ามองยังไง เธอก็ดูไม่เหมาะกับชั้นเรียนแบบนี้เอาซะเลย
ครั้งแรกที่ได้เห็นหญิงสาวคนนี้
เย่เหรินนึกถึงประโยคหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
‘ถึงเป็นบัวที่เกิดในโคลนตม ก็ยังเป็นบัวที่พ้นน้ำ’