ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปบทที่ 2 เรื่องจริงเหรอเนี่ย?

บทที่ 1 ผมเป็นนักเรียน ขอฟรีได้ไหมครับ?


บทที่ 1 ผมเป็นนักเรียน ขอฟรีได้ไหมครับ?

เด็กหนุ่มร่างสูงในชุดนักเรียนยืนอยู่หน้าตู้กระจกใส่อาหารทะเลมาสิบนาทีแล้ว

ถ้าตอนนี้ร้านไม่มีลูกค้า เจ้าของร้านคงเริ่มหงุดหงิดแล้วล่ะ

แต่ว่า...เด็กคนนี้ดูเหมือนจะมีปัญญาซื้อกุ้งมังกรจริงเหรอ?

อย่าบอกนะว่าเดี๋ยวจะพูดว่า "ผมเป็นนักเรียน ขอฟรีได้ไหมครับ?"

ไม่ได้หรอก ต่อให้เกิดใหม่ก็ไม่ได้

"ตายแล้ว"

"ตาย ตายอะไรนะ?"

"ลุงครับ กุ้งมังกรตัวนึงตายแล้วครับ"

"เป็นไปไม่ได้! ของสดใหม่ทั้งนั้น เมื่อกี้ยังดิ้นอยู่เลยนะ" ถึงแม้จะไม่เชื่อ แต่พอได้ยินแบบนั้น เจ้าของร้านก็เดินเข้ามาดู

แล้วก็เห็นกุ้งมังกรน้ำหนักครึ่งโลค่อย ๆ  ลอยขึ้นมาจนถึงผิวน้ำ เจ้าของร้านรีบคว้าสวิงขึ้นมาตักกุ้งมังกรตัวนั้น เมื่อกี้มันยังดิ้นอยู่เลยนะ ก่อนหน้านี้มันยังเป็น ๆ  อยู่แน่นอน

แต่ตอนนี้ มันคงตายจริง ๆ  แล้วล่ะ

"เชี่ย เครื่องเติมออกซิเจนพังเหรอวะ!?  ไอ้บ้าเอ๊ย! มันตายได้ไงวะเนี่ย?  ให้ตายสิวะ"

กุ้งมังกรตัวนึงราคาสองร้อยแปดสิบแปดหยวน ปกติก่อนปิดร้านก็ขายหมดทุกวัน แต่นี่ตายไปตัวนึงก็เหมือนขาดทุนไปสองร้อยแปดสิบแปดหยวนฟรี ๆ  พอนึกถึงเรื่องนี้ เจ้าของร้านก็อดสบถออกมาเป็นชุดไม่ได้

"ลุงครับ ปกติอาหารทะเลที่ตายแล้ว จะเอาไปทำอะไรเหรอครับ?"

"ก็ต้องทิ้งสิ ร้านเราไม่ขายของตายอยู่แล้ว"

ตลาดอาหารทะเลที่นี่มีกฎอยู่ว่า กุ้งตายแล้วอย่างกุ้งขาวขายถูก ๆ  ได้ หรือไม่ก็นำไปแช่แข็ง แต่กุ้งมังกร ปูอลาสก้าแบบนี้ ตายแล้วต้องทิ้งเท่านั้น

"ลุงครับ ผมเป็นนักเรียน..."

"หยุด ๆ  ๆ  ๆ  --"

เจ้าของร้านชี้หน้าขัดขึ้นมาด้วยสีหน้าถมึงทึง เหมือนกำลังจะพูดว่า – ฉันขายอาหารทะเลนะเว้ย แกจะบอกว่าแกเป็นนักเรียนแล้วมาขอฟรีเนี่ยนะ? !

แล้วเด็กหนุ่มก็หยิบธนบัตรสิบหยวนออกมา

เจ้าของร้านมองเงิน มองกุ้ง หลังจากนั้นจึงถอนหายใจออกมา "แค่ค่ากล่องก็เกินสิบหยวนแล้วนะ"

พูดจบ ก็นำกล่องโฟมกับน้ำแข็งมาแพ็คกุ้งมังกรน้ำหนักครึ่งโลกว่าตัวนั้น

ช่างเถอะ คงอยากกินจริง ๆ  นั่นแหละ ไม่งั้นคงไม่จ้องกุ้งมังกรในตู้ตั้งนาน

ยังไงก็ต้องทิ้งอยู่แล้ว ขายถูก ๆ  ให้เด็กมันไปก็แล้วกัน

แต่ไอ้เด็กคนนี้มันโชคดีจริง ๆ  นะ กุ้งมังกรตัวนี้พึ่งตาย ถ้ารีบแช่แข็งแบบนี้ รสชาติแทบไม่ต่างจากตอนเป็น ๆ  เลย จ่ายแค่สิบหยวนก็ได้กุ้งมังกรราคาสองร้อยแปดสิบแปดกลับไป

"ขอบคุณครับ"

เด็กหนุ่มรับถุงพลาสติกมา มองชายร่างท้วมไว้หนวดเคราราว ๆ  สามสิบห้าปีตรงหน้า ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "คุณลุงใจดีจังเลย ขอให้ลุงอายุยืนถึงแปดสิบเจ็ดปีเลยนะครับ"

"ทำไมต้องแปดสิบเจ็ด..."

ไอ้เด็กนี่พูดจาแปลก ๆ  อวยพรซะเหมือนทำนายอนาคต

"เพราะแปดสิบเจ็ดปี ก็ถือว่าอายุยืนแล้วไงครับ"

เฉินหยวนก้าวออกจากร้านขายอาหารทะเล มือถือกล่องโฟมบรรจุล็อบสเตอร์แช่เย็นไว้ข้างใน ดวงตาเหลือบไปเห็นตัวเลขสีแดงมากมายลอยอยู่เหนือศีรษะผู้คน

เด็กชายคนหนึ่งวิ่งผ่านไปพร้อมกับขนมน้ำตาลปั้นในมือ เหนือหัวมีตัวเลข 21224 ซึ่งหมายถึง อายุขัยอีกประมาณ 58 ปี ตามมาด้วยคุณยายผมสีเงินใจดีผู้เอ่ยปากให้เด็กชายช้า ๆ  ลงหน่อย เหนือหัวคุณยายปรากฏตัวเลข 2934 หมายถึง อายุขัยอีกราว 8 ปี

คู่รักคู่หนึ่งเดินควงแขนสวนทางมา ฝ่ายหญิงมีตัวเลข 24321 ส่วนฝ่ายชายมีเพียง 242 เฉินหยวนรีบก้มหน้าหลบสายตาชายหนุ่มก่อนจะเดินผ่านไป

เขา...มองเห็นเวลาตายของคนอื่น

หน่วยวัดเป็นวัน

ความสามารถนี้เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อเช้าวันจันทร์ เวลาหกโมงครึ่ง ตอนที่เขาตื่นนอนแล้วออกจากบ้าน ก็พบว่ามีตัวเลขอารบิกสีแดงลอยอยู่เหนือทุกสิ่ง ราวกับสลักอยู่บนแก้วตาของเขา มันชัดเจนจนน่าตกใจ

ตอนแรกเฉินหยวนคิดว่าตาฝาด แต่หลังจากขยี้ตาหลายครั้ง เขาก็ยอมรับความจริง

มันเหมือนกับที่มนุษย์ต่างดาวสามตาฉายภาพลงบนดวงตา ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่หายไป

ไม่ใช่แค่มนุษย์ แต่ยังรวมถึงแมว สุนัข สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ต่าง ๆ  แม้กระทั่งพืช ตราบใดที่ยังมีชีวิต ก็จะมีตัวเลขลอยอยู่เหนือหัว

เมื่อพบว่าตัวเลขนี้แปรผกผันกับอายุ เขาก็พอจะเดาความหมายเบื้องหลังได้

แต่สิ่งที่ทำให้เขาแน่ใจ คืออุบัติเหตุอันน่าสยดสยอง

สุนัขพันธุ์พุดเดิลตัวหนึ่งมีตัวเลข 0.00001 ลอยอยู่เหนือหัว วินาทีต่อมา มันก็ถูกรถบรรทุกทับจนแบน

หนึ่งวันมี 86400 วินาที 0.00001 วัน เท่ากับ 0.864 วินาที

ปัญหาของความสามารถนี้คือมันแสดงผลลัพธ์เป็น “วัน”

โชคดีที่ตอนเด็ก ๆ  เฉินหยวนถูกแม่บังคับให้เรียนลูกคิดในใจ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้ช่วยเรื่องการเรียน แถมยังทำลายตรรกะทางคณิตศาสตร์ แต่ถ้าต้องแปลงวันเป็นปีล่ะก็ ลูกคิดในใจนี่แหละสะดวกสุด ๆ

เหมือนกับการยิงปืนแบบส่ง ๆ  ตอนเด็ก หลายปีต่อมากลับยิงเข้าหัวล็อบสเตอร์อย่างแม่นยำ

แน่นอนว่าความสามารถเท่ ๆ  แบบนี้ไม่ได้มีประโยชน์เสมอไป

อย่างเช่นตอนนี้

เฉินหยวนยืนอยู่ตรงสี่แยกถนนจินหลิง เมืองเซี่ยไห่ โลกในสายตาของเขาราวกับถูกปนเปื้อน น่าขยะแขยงสิ้นดี

ตึกสูงระฟ้าผุดขึ้นราวกับป่าเหล็ก แบ่งแยกเหล่ามนุษย์เงินเดือนและนักเรียนที่วุ่นวายของเซี่ยไห่ไว้ในสี่แยกที่พลุกพล่านแห่งนี้

สถิติระบุว่ามีคนผ่านสี่แยกนี้มากกว่าสองพันคนต่อนาที

หมายความว่าแค่รอไฟแดงนานกว่าหนึ่งนาที ก็จะมีตัวเลขบิดเบี้ยวโผล่ขึ้นมาเหนือหัวคนมากกว่าสองพันคน ตัวเลขเหล่านั้นซ้อนทับกัน เคลื่อนไหวไปพร้อมกับฝูงชน ดูราวกับหนอนสีแดงเลือดกำลังเต้นระบำ

หายใจเข้า หายใจออก

หลับตาทำสมาธิสักครู่

เฉินหยวนยังไม่ชินกับความสามารถนี้ โดยเฉพาะในที่สาธารณะ

แต่เขารู้สึกว่าถ้าต้องอยู่กับพลังวิเศษนี้ไปตลอด ไม่ช้าก็เร็วเขาคงจะเย็นชาขึ้น

หรือพูดอีกอย่างว่า “ด้านชา”

เขาค้นพบความสามารถนี้เมื่อเช้าวานนี้ หลังจากที่ยืนยันว่ามันคือเวลาตาย เขาก็พยายามช่วยเหลือคนเคราะห์ร้ายเหล่านั้น

ลองนึกภาพดูสิ หากอยู่ ๆ  มีคนเดินเข้ามาบอกว่า "เพื่อน ฉันว่านายควรไปตรวจร่างกายนะ ดูท่าทางไม่ค่อยดีเลย" แปดในสิบคนคงคิดว่าคน ๆ  นั้นมีแผนการแอบแฝง ไม่ก็เป็นพวกเซลล์ขายประกัน หรือไม่ก็ขายของจากบริษัทขายตรง

ส่วนอีกสองคนที่เหลือก็คงจะ... "แกนั่นแหละมีปัญหา!"

ถึงแม้เฉินหยวนจะยังไม่เจอคนแปดคนที่คิดว่าเขาจะมาขายของ แต่ก็โดนคนสองคนมองอย่างรำคาญใจมาแล้ว

ที่จริงเขาน่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว ถ้าคนพวกนั้นตรวจร่างกายเป็นประจำ ก็คงรู้ตัวแล้วว่าเป็นโรคร้ายแรง

โรคร้ายแรงในระยะเริ่มต้นหรือระยะกลาง มันต้องมีสัญญาณเตือนอยู่แล้ว ในเมื่อคนพวกนั้นยังทนไม่ไปหาหมอได้ ก็คงมองว่าคำพูดของคนแปลกหน้าอย่างเขาเต็มไปด้วยเจตนาร้าย

ช่างเถอะ เลิกคิดอยากช่วยเหลือคนอื่น เคารพในโชคชะตาของตัวเองดีกว่า

ถ้าไม่ใช่คนที่ใกล้ตายในอีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า เฉินหยวนจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน

จนถึงตอนนี้ มีเพียงเจ้าตูบตัวน้อยที่น่าสงสารตายต่อหน้าต่อตาเขาเท่านั้น เขายังไม่เคยเจอใครที่มีอายุขัยต่ำกว่า 0.1 เลย

สัญญาณไฟแดงเปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว

ผู้คนมากมายหลั่งไหลราวกับจมดิ่งลงสู่ทะเลแห่งตัวเลขสีแดง

หลังจากขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดิน เฉินหยวนก็ใส่หูฟังบลูทูธ หลับตาพักผ่อนบนที่นั่ง แต่ก่อนเขาจะลุกให้คนชรา คนป่วย หรือคนพิการนั่ง แต่ตอนนี้สำหรับเขา ความเป็นความตายกลายเป็นเรื่องธรรมดา จึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น หลายครั้งที่เขาเห็นคุณลุงกล้ามโตผมหงอก มีอายุขัยมากกว่าคนหนุ่มสาวเสียอีก มันช่างน่าเศร้าใจจริง ๆ

พนักงานออฟฟิศยุคนี้ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอย่างเหนื่อยยาก ตายเร็ว ชีวิตแสนสั้นแต่ทรหด

นั่งรถไฟฟ้าจากสถานีถนนจินหลิงมาสิบสองสถานี ครึ่งชั่วโมงต่อมา ก็ถึงสถานีชุมชนแสงตะวัน เฉินหยวนลงจากรถที่นี่

ที่นี่เป็นย่านเมืองเก่า แต่ก็แตกต่างจากย่านที่รอการพัฒนา แม้ว่าสิ่งปลูกสร้างจะเก่าแก่ แต่ถนนหนทางสะอาดสะอ้าน มีสาธารณูปโภคครบครัน สภาพแวดล้อมถือว่าคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับราคา เพียงแต่ไม่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืนเท่านั้น

เฉินหยวนอาศัยอยู่ที่ห้อง 502 ตึกเก่า ๆ  ซึ่งอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามร้อยเมตร

เขาไม่ใช่คนเมืองเซี่ยไห่ แต่เดิมเรียนอยู่ที่อำเภอเหอเสียง หลังจากสอบเข้ามัธยมปลาย แม่ของเขาก็ฝากฝังให้ญาติ ซึ่งเป็นลุงที่ทำงานในสำนักงานเขตการศึกษาของเซี่ยไห่ ช่วยยัดเขาเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายหมายเลข 11 ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด

แต่เพราะเข้ามาด้วยเส้นสาย จึงต้องเรียนแบบไป-กลับ

ห้องพักแถวโรงเรียนมัธยมปลายหมายเลข 11 แม้แต่ห้องเดี่ยวก็ราคาเริ่มต้นที่ 2,000 หยวน เขาจึงต้องหาห้องเช่าเล็ก ๆ  ราคา 700 หยวนในชุมชนแสงตะวัน

พ่อแม่ของเขาเป็นพนักงานบริษัทในอำเภอเหอเสียง ไม่มีเวลามาดูแลเขา เขาจึงได้ใช้ชีวิตแบบพระเอกนิยาย ไม่มีน้องสาว ไม่มีบ้าน พ่อแม่ทำงานยุ่ง

โชคดีที่ดูเหมือนจะไม่ใช่นิยายแนวยอดฮิต ไม่งั้นพ่อแม่คงต้องโดนรถชนตายตามพล็อตนิยาย

ตอนนี้หกโมงครึ่งเย็นแล้ว ต้องรีบกลับบ้านทำอาหาร ต้มกุ้งมังกร แล้วเปิดแอร์ 26 องศา จิบเบียร์เย็น ๆ  แล้วดูอนิเมะเรื่อง "คังหยวนตู่" สักตอน

คิดได้ดังนั้น เฉินหยวนก็เร่งฝีเท้าขึ้นบันได ไม่ถึงครึ่งนาทีก็ขึ้นไปถึงชั้นห้า

ขณะที่เขากำลังล้วงหยิบกุญแจเพื่อไขประตูห้องพัก หญิงสาวนักเรียนมัธยมปลายผู้พักอาศัยอยู่ห้องตรงข้ามก็กำลังเสียบกุญแจเข้าไปในรูกุญแจเช่นกัน

ทั้งสองหันหน้ามองสบตากันด้วยความงุนงง

เหนือศีรษะของหญิงสาว เฉินหยวนมองเห็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับตัวเลขบนหัวเจ้าหมาน้อยที่ตายไปตัวแรก

【0.05】

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด