ตอนที่ 7 เป้าหมายหายไป
ตู้ม!
โทนี่ยิงพลุขึ้นไปบนฟ้า
พลุสว่างวาบเป็นเส้นโค้งพุ่งขึ้นไปบนอากาศสูงกว่ายี่สิบเมตรแล้วค่อยๆ ร่วงหล่นลงมา
แสงสว่างสีแดงนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษในทะเลทรายยามค่ำคืน สว่างพอที่จะส่องให้เห็นใบหน้าของคนทั้งสองบนพื้นได้อย่างชัดเจน
"เอาล่ะ รออีกไม่กี่นาทีก็จะมีคนมารับเราแล้ว" โทนี่โยนพลุไฟทิ้ง
หากมีพลุสัญญาณปรากฏขึ้นใกล้ฐานทัพ สหรัฐฯ จะต้องใช้ดาวเทียมตรวจสอบอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้นก็จะพบเขาที่นี่และส่งทีมกู้ภัยมาในทันที
โทนี่มองไปที่อีธาน "ไปอเมริกากับฉันสิอีธาน แล้วก็พาครอบครัวไปด้วย"
เขาเห็นว่าอีธานดูลังเลที่จะพูดอะไรบางอย่างมาตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว
แววตาของอีธานดูสับสน "ครอบครัวของผมเสียชีวิตหมดแล้ว ที่จริงโทนี่ ผมอยากจะกลับไปอิหร่านมากกว่า ไปช่วยเหลือคนที่ต้องการความช่วยเหลือให้มากที่สุด"
คำพูดที่โทนี่คิดไว้ในใจถึงกับติดอยู่ในลำคอ เขารู้สึกได้ว่าผู้มีพระคุณที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นมีอดีตที่น่าเศร้ากว่าเขาเสียอีก
งั้นเขาก็ยิ่งต้องพาอีธานกลับอเมริกาไปด้วยกัน
"อีธาน..." เขาพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและรู้สึกผิด "ฉันไม่รู้มาก่อน...เรื่องครอบครัวของนาย ฉันขอโทษ"
อีธานส่ายหัว บอกว่าไม่เป็นไร
โทนี่พูดต่อ "ฉันเข้าใจความรู้สึกที่นายอยากจะกลับบ้านเกิด"
เขาดูออกว่า ที่อีธานอยากกลับบ้านเกิดนั้น มีความคิดอยากตายอยู่ในนั้นด้วย อยากจะทำอะไรบางอย่างโดยยอมเสียสละชีวิต
เขาเว้นช่วงครู่หนึ่ง "แต่ลีออนพูดถูกนะ ที่ฉันกลับไปคราวนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้มากขึ้นเหมือนกัน"
"สิ่งที่ฉันพอจะทำเพื่อโลกใบนี้ได้"
"มันไม่ควรจะเป็นแค่สร้างของที่ระเบิดตูมตามได้อย่างเดียว"
เขาใช้นิ้วเคาะเครื่องปฏิกรณ์อาร์คที่หน้าอก ดวงตาเป็นประกาย "อีธาน นายมาช่วยฉันสิ พวกเราจะได้ช่วยเหลือผู้คนได้มากขึ้น แล้วทำให้โลกนี้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น"
อีธานมองเครื่องปฏิกรณ์อาร์คด้วยสายตาว่างเปล่า มันเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้จริงๆ เขาอดลังเลไม่ได้
วู้ม!
ทันใดนั้นเอง เสียงคำรามของเครื่องยนต์ก็ดังมาจากที่ไกลๆ เสียงนั้นดังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เครื่องบินลาดตระเวนเคลื่อนตัวมาใกล้
"แค่ครึ่งนาที เครื่องบินกู้ภัยก็มาถึงแล้วงั้นหรอ?" อีธานอดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่ง "พวกเขาทำงานกันรวดเร็วจริงๆ!"
จากนั้นเขาก็มองเครื่องบินที่บินผ่านหัวไปไกลลิบๆ อย่างช่วยไม่ได้
"...ดูเหมือนจะไม่ใช่ทีมกู้ภัยนะ เหมือนจะเป็นเครื่องบินลาดตระเวนมากกว่า ฉันว่าพวกเขาคงตามลีออนมาแน่ๆ เลย เขาคงถูกฐานทัพพบตัวแล้วล่ะ"
โทนี่จ้องมองเครื่องบินรบที่บินจากไป "แต่อัตราความเร็วขนาดนั้นยังไม่ถึงความเร็วเสียง พวกเขาตามลีออนไม่ทันหรอก"
"ว่าแต่ ลีออนออกไปแบบนั้นมันเด่นเกินไป พวกนั้นเลยสนใจแต่ลีออน"
"แต่คราวหน้า พอฉันใส่ชุดเกราะฉันต้องเป็นจุดสนใจของพวกหัวโบราณในกองทัพแน่ๆ"
โทนี่เดินวน "แน่นอน นายก็ด้วย ถึงตอนนั้นนายก็ต้องมีชุดเกราะเป็นของตัวเองเหมือนกัน"
"พอถึงตอนนั้น พวกเราจะใช้ชื่อทีมว่า...ทีม MK? ไม่เอาดีกว่า เรียกว่า..."
สามนาทีผ่านไป ขณะที่โทนี่กำลังพูดไม่หยุด ก็มีเสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มอีกครั้งจากท้องฟ้า
เป็นเฮลิคอปเตอร์สามลำบินมาเป็นขบวน
"โอ้! ดูสิ ทีมกู้ภัยของเรามาแล้ว!"
คนทั้งสองที่กระหายน้ำจากการอยู่ในทะเลทรายต่างก็กระโดดโลดเต้นโบกมือให้
อีกด้านหนึ่ง อย่างที่โทนี่พูด เครื่องบินลาดตระเวนไล่ตามลีออนไม่ทัน
เพราะแค่ครึ่งนาที ระยะทางขนาดนั้นก็เพียงพอที่เขาจะบินไปกลับได้หลายรอบแล้ว
ตอนที่เครื่องบินลาดตระเวนตามไปทัน เขาก็บินออกจากอัฟกานิสถานพร้อมกับชุดเกราะมาร์คและแบบแปลนเรียบร้อยแล้ว
แต่ที่ไม่คาดคิดก็คือ เมื่อเข้าสู่แคลิฟอร์เนีย ลีออนถูกเครื่องบินขับไล่กลุ่มหนึ่งสกัดกั้นเอาไว้
——หลังจากที่พบสมบัติของโทนี่จากถ้ำที่ถล่มลงมา
เขาก็บินไปที่ชั้นเทอร์โมสเฟียร์ของชั้นบรรยากาศพร้อมกับชุดเกราะ
จากนั้นก็เร่งความเร็วเป็น 30 มัค
ใช้เวลาเพียงยี่สิบนาทีก็ข้ามฝากโลกกลับมาถึงทวีปอเมริกาเหนือได้
เขาลดระดับความสูงลงเหนือชายฝั่งตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก ลดความเร็วลงเหลือระดับความเร็วเหนือเสียงต่ำ แล้วบินเข้าสู่แคลิฟอร์เนีย
คฤหาสน์ของตระกูลสตาร์คอยู่ที่ชายฝั่งตะวันตกของลอสแองเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย
เขาแค่ต้องข้ามเทือกเขาชายฝั่งในแคลิฟอร์เนียก็ถึงแล้ว
แต่เนื่องจากลดความเร็วลง ทำให้ถูกดาวเทียมที่อยู่ด้านบนถ่ายภาพได้ทันทีที่เข้าประเทศ
...
บนหน้าจอเฝ้าระวังที่ฐานทัพของสหรัฐฯ
ร่างหนึ่งที่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบสองเท่าของเสียงเหนือเทือกเขาได้ดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่
หลังจากซูมเข้าไปดู พวกเขาก็ต้องแปลกใจ
แม้ว่าภาพของอีกฝ่ายจะไม่ชัดเจนด้วยเหตุผลบางประการ (ถูกปกคลุมด้วยสนามพลังชีวภาพ)
แต่ดูเหมือนจะเป็นวัตถุบินได้รูปร่างคล้ายมนุษย์
ทหารรีบรายงานสถานการณ์ให้ผู้บังคับบัญชารับทราบ
"นั่นมันอะไร? เชื่อมต่อกับอีกฝ่าย สั่งให้ลงจอดเพื่อตรวจสอบ! ไม่ว่าจะเป็น CIA หรือหน่วยนาวิกโยธิน ก็ให้ลงมาให้เราดูก่อน!" ผู้บัญชาการสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง
"ท่านครับ ไม่พบสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายครับ!"
"ท่านครับ ทาง CIA และหน่วยนาวิกโยธินเพิ่งติดต่อมาครับ ถามว่าวัตถุบินได้นั้นเป็นของเรารึเปล่า และขอให้เรารายงานข่าวกรอง!"
"ของเรารึเปล่า? พวกเรามีของดีที่ทั้งเล็ก ทั้งเร็วเกือบสองเท่าของเสียง แล้วยังบินได้นานขนาดนั้นด้วยหรือไง?"
"ยังไม่มีครับท่าน!"
"บ้าเอ๊ย! ไปที่แผนกวิจัยอาวุธ เรียกพันเอกโรดส์มา!"
"พันเอกโรดส์กำลังตามหาโทนี่ สตาร์คอยู่ที่อัฟกานิสถานครับท่าน!"
"ให้ตายสิ! งั้นก็เอาฐานข้อมูลมาเปรียบเทียบ! ล็อกเป้าหมายด้วยเรดาร์! ล็อกเป้าหมายด้วยดาวเทียม! เอาภาพดาวเทียมที่ชัดที่สุดมาให้ฉัน!"
"รายงานครับท่าน! ไม่พบข้อมูลที่ตรงกันในฐานข้อมูลครับ! ขนาดเป้าหมายเล็กเกินไป เรดาร์ไม่สามารถล็อกเป้าหมายได้! ภาพดาวเทียมเบลอเนื่องจากมีสัญญาณรบกวนที่ไม่ทราบสาเหตุ! จะให้ทำอย่างไรต่อครับท่าน?"
"...บ้าชิบ! ใครบอกฉันได้บ้างว่าไอ้ของที่โผล่มาจากไหนไม่รู้ แล้วยังบินอยู่เหนือหัวพวกเรานี่มันคืออะไร?"
"ไม่ทราบครับท่าน!"
"บ้าเอ้ย! บริเวณเทือกเขาชายฝั่งตะวันตกมีหน่วยเฝ้าระวังบนที่สูงอยู่ไหม? ส่งพวกนั้นออกไปยิงไอ้เจ้านั่นให้ร่วงซะ!"
"ครับท่าน!"
...
ลีออนกำลังบินไปลอสแองเจลิสอย่างเงียบๆ อย่างเบื่อหน่าย
ทันใดนั้นหูของเขาก็กระดิก เขาหันไปมองด้านข้าง
เขาได้ยินเสียงคำรามของเครื่องยนต์กำลังเบี่ยงเส้นทางและเข้ามาใกล้เขา
"ฉันถูกดาวเทียมเห็นเข้าแล้วเหรอเนี่ย" ลีออนคาดเดาพลางลดความเร็วลงเพื่อดูสถานการณ์ "คงเป็นเพราะฉันไม่เร็วพอนั่นแหละ เลยถูกจับได้ น่ารำคาญชะมัด"
"ถ้าบินต่ำกว่าความเร็วเสียงมันก็ช้าเกินไป ถ้าความเร็วเหนือเสียงต่ำ ดาวเทียมก็จะตรวจจับความผิดปกติได้ง่ายและล็อกเป้าหมายได้ทันที"
"งั้นคราวหน้าฉันต้องลองบินด้วยความเร็วเกิน 10 มัคแล้วล่ะมั้ง"
จากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นในหูของเขาอีกครั้ง
"ล็อกเป้าหมายแล้ว!" เสียงนักบินตะโกนผ่านวิทยุ
"เครื่องยิงขีปนาวุธพร้อมแล้ว รอคำสั่งขั้นสุดท้าย!"
ผู้บัญชาการที่ฐานทัพสหรัฐฯ ออกคำสั่ง "เล็ง! ยิง! ยิงไอ้วัตถุบินได้นั่นให้ฉัน!"
"Global Hawk รับทราบ!"
"ศูนย์บัญชาการเตือนภัยล่วงหน้ารับทราบ!"
เครื่องบินทั้งสี่ลำพุ่งโฉบลงมาจากที่สูง แม้ว่าจะยังเข้าใกล้ลีออนได้ยาก แต่ก็เพียงพอที่จะยิงขีปนาวุธจากอากาศได้
"ยิง!"
ขีปนาวุธถูกยิงออกมาทีละลูก ความเร็วพุ่งทะยานไปถึง 5 มัคภายในไม่กี่วินาที ไล่ตามลีออนมาติดๆ
ลีออนหันกลับไปมองทะลุก้อนเมฆไป เห็นขีปนาวุธที่พ่นไฟอยู่ห่างออกไปหลายพันเมตร
นั่นคืออาวุธทรงพลังที่สามารถทำลายยานพาหนะทางอากาศใดๆ ก็ได้
แต่สำหรับเขาในตอนนี้ มันไม่ต่างอะไรกับยุง
ลีออนอยากจะหยุดแล้วรับขีปนาวุธเอาไว้ จากนั้นก็เดินออกมาจากกองไฟโดยที่ไม่มีรอยขีดข่วน แสดงให้พวกกองทัพสหรัฐฯ เห็นแล้วตกตะลึงเล่น
อย่างที่เขาว่าไว้ มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า "มีของดีก็ต้องอวด"
ความต้องการอวดเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในยีนของมนุษย์
อับราฮัม มาสโลว์เคยจัดให้ความต้องการที่จะอวดเป็นลำดับที่สี่จากห้าลำดับขั้นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์
เมื่อผู้คนมีกินมีใช้ ปลอดภัยในชีวิต และมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในระดับหนึ่ง พวกเขาก็จะอยากอวดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
ลีออนก็หนีไม่พ้นความปรารถนาทางโลกเช่นกัน
แต่พอคิดดูแล้ว
ช่วงเวลาต่อจากนี้ เมื่อโทนี่กลับไป ก็ต้องสร้างชุดเกราะใหม่ขึ้นมาแล้วอวดอย่างแน่นอน
ในหนังก็มีฉากที่โทนี่ถูกเครื่องบินรบของสหรัฐฯ ยิงโจมตีหลังจากที่อวดเก่งล้มเหลวมาแล้ว
ดังนั้นตอนนี้เขาไม่ควรทำตัวเด่น
รอให้โทนี่กลับไปอย่างมุ่งมั่น แต่กลับถูกกองทัพสหรัฐฯ ตบหน้าหงายหลัง แล้วค่อยปรากฏตัวอีกครั้ง แบบนั้นถึงจะสะใจ
เพราะการอวดเก่งต่อหน้าเพื่อนรักเท่านั้น ถึงจะได้ความพึงพอใจทางใจสูงสุด
นึกถึงสีหน้าของโทนี่ในตอนนั้น
ลีออนก็อดแสยะยิ้มไม่ได้
ในเมื่อตอนนี้เขามีพลังเหนือมนุษย์แล้ว เขาก็ไม่อยากเป็นแบบโฮมแลนเดอร์ที่บอกว่า "ฉันไม่กินเนื้อ"
เขาแค่อยากจะเพิ่มพลังของตัวเองต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็ทำอะไรที่ตัวเองชอบระหว่างที่เพิ่มพลัง
เช่น – อวดเก่งต่อหน้าโทนี่ในแบบที่โทนี่อยากทำแต่ทำไม่ได้
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว
ลีออนเงยหน้าขึ้นมองขีปนาวุธที่พุ่งเข้ามาเหนือก้อนเมฆหนาทึบ เขาคิดในใจ ความเร็วของเขาก็พุ่งทะยานไปถึง 20 มัคในทันที หายไปจากการมองเห็นของดาวเทียมสหรัฐฯ
"อะไรกัน! เป้าหมายหายไปแล้ว!" นักบินร้องด้วยความตกใจ
"รายงาน! ขีปนาวุธไม่โดนเป้าหมาย!"
"เป้าหมายหายไป! ย้ำ เป้าหมายหายไป! คาดว่าน่าจะมีฟังก์ชั่นล่องหน!"
ในฐานทัพสหรัฐฯ ดวงตาของผู้บัญชาการเบิกกว้าง "อะไรนะ? เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ค้นหาต่อไปให้ทั่ว ต้องหาตัวมันให้เจอ!"
ภายในห้องบัญชาการโกลาหล
แน่นอนว่า ต่อจากนี้ ทั้งกระทรวงกลาโหมจะต้องหวาดระแวงและวิตกกังวลอย่างแน่นอน