ตอนที่ 310 สมบัติในตำนาน (ฟรี)
ตอนที่ 310 สมบัติในตำนาน
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่คมชัดดังมาจากด้านนอก
“ลู่เหยาขอพบบรรพบุรุษ”
“เข้ามา” ลู่ซุนพูดอย่างสบายๆ
จากนั้น ร่างของลู่เหยาก็เดินเข้ามา เธอสวมชุดสีขาวราวกับหิมะ และมีใบหน้าที่เย็นชา ซึ่งทำให้เธอดูเยือกเย็น
หลังจากที่ลู่เหยาเข้ามาในห้อง เธอก็ตกตะลึงเล็กน้อย เธอไม่คาดคิดว่าจะมีคนมากมายอยู่ในนี้
“เกิดอะไรขึ้น?” ลู่ซุนเหลือบมองลู่เหยาแล้วถามอย่างสบายๆ
“บรรพบุรุษ ข้าปิดด่านมาสักระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ลวงได้ มันเหมือนกับว่าบางอย่างกีดกั้นอยู่ ข้าสงสัยว่าท่านจะพอช่วยข้าได้หรือไม่” ลู่เหยาโค้งคำนับลู่ซุนเล็กน้อย แล้วพูดด้วยความเคารพอย่างยิ่ง
เธอเป็นคนที่มีระดับพลังยุทธ์สูงสุดในตระกูลลู่มาเป็นเวลานาน แต่ตอนนี้แม้แต่ลู่เซียวเซียวก็แข็งแกร่งกว่าเธอ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย
“ระดับพลังยุทธ์ของเจ้ารุดหน้าเร็วเกินไป ในเวลาน้อยกว่าหนึ่งปี เจ้าได้เปลี่ยนจากคนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตเทียมฟ้าขั้นสูงสุด จึงต้องมีการวางรากฐานให้มั่นคง และไม่สามารถเร่งรีบที่จะบรรลุผลในเร็ววันได้” หลังจากลู่ซุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดกับลู่เหยา
“แต่ผู้อาวุโสสามหรือเซียวเซียวก็เหมือนกับข้ามิใช่หรือ และพวกเขายังก้าวหน้าเร็วกว่าข้าเสียอีก แต่รากฐานของพวกเขาก็ไม่ได้อ่อนแอเลย” ดวงตาของลู่เหยาเต็มไปด้วยความสับสน เธอด้อยกว่าคนอื่นจริงๆ หรือ?
“สถานการณ์ของทั้งสองคนนั้นแตกต่างจากของเจ้า เซียวเซียวได้ปลุกพลังแห่งสายเลือดขึ้น ส่วนลู่ไห่ก็ปลุกกายฮุ่นหยวน เมื่อเทียบกับศักยภาพของพวกเขา ความแข็งแกร่งที่พวกเขามีในตอนนี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น โดยธรรมชาติแล้วรากฐานของพวกเขาจึงยังไม่มั่นคงอยู่” ลู่ซุนพูดช้าๆ
“บรรพบุรุษ ข้าได้ครอบครองกายเซียนหมิงเยว่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้บอกเหรอว่ามันก็ทรงพลังมากเช่นกัน” ลู่เหยากระซิบหลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง
“ก่อนที่กายเซียนหมิงเยว่ของเจ้าจะถูกปลุกอย่างสมบูรณ์ ศักยภาพของมันนั้นมีจำกัดมาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังด้อยกว่ากายฮุ่นหยวนอยู่ไม่น้อย” ลู่ซุนพูดกับลู่เหยา
“บรรพบุรุษ แล้วข้าควรทำอย่างไรดี? ข้าไม่อยากอยู่ในขอบเขตเทียมฟ้าไปตลอดชีวิต” ลู่เหยาพูดด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
"เราแค่ต้องหาทางปลุกกายเซียนหมิงเยว่ของเจ้าขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ จากนั้นระดับพลังยุทธ์ของเจ้าจะเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ คอขวดที่เจ้าติดอยู่จะถูกทำลายลงได้อย่างง่ายดาย" หลังจากลู่ซุนคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็พูดกับลู่เหยา
“บรรพบุรุษ ท่านมีวิธีเหรอ?” ดวงตาของลู่เหยาเป็นประกายด้วยความสับสน และเธอก็ถามลู่ซุนด้วยความคาดหวัง
ลู่เหยาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับกายเซียนมากนัก โดยเฉพาะกายเซียนหมิงเยว่ที่เป็นหนึ่งในสิบสุดยอดกายเซียน เธอไม่มีเบาะแสใดๆ เลย มันจึงทำให้จิตใจของเธอก็ยุ่งเหยิง
“การอาบแสงจันทร์บ่อยๆ เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเจ้า คาดว่าหลังจากอาบแสงจันทร์เป็นเวลา 180 ปี เจ้าน่าจะสามารถปลุกพลังของกายเซียนหมิงเยว่ได้อย่างเต็มที่” ลู่ซุนเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
ก่อนหน้านี้เขาเคยช่วยลู่เหยาปลุกกายเซียนหมิงเยว่ให้ตื่นขึ้น แต่ก็แค่พลังส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่เขาก็ต้องจ่ายราคาหนักไม่น้อย
หากการปลุกกายเซียน หรือพัฒนามันทำได้ง่ายขนาดนั้นจริงๆ แล้วสิ่งที่เรียกว่าสิบสุดยอดกายเซียนก็คงไม่เท่าไหร่
“180 ปี? บรรพบุรุษ ข้ามิอาจรอนานขนาดนั้นได้ ช่องว่างได้กว้างขึ้นมากแล้ว หากข้าต้องรออีกนับร้อยปี เกรงกว่าจะไม่มีทางไล่ตามใครทัน” ลู่เหยาส่ายหัวอย่างแรง แล้วรีบพูดกับลู่ซุน
“ไม่ต้องกังวล แน่นอนว่านั้นไม่ใช่วิธีเดียว แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับการปลุกกายเซียนหมิงเยว่ขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย” ลู่ซุนยิ้มให้ลู่เหยา แล้วพูดอย่างช้าๆ
“อะไรนะ...แล้วยังมีวิธีอะไรอีก” ลู่เหยารู้สึกประหม่าเล็กน้อย เธอจึงรีบเอ่ยปากถาม
“มีสมบัติฟ้าดินมากมายที่สามารถดูดซับพลังแห่งแสงจันทร์ได้ ตราบใดที่เจ้าสามารถดูดซับพลังแห่งแสงจันทร์ที่เก็บไว้ในนั้น และสะสมไว้ถึงระดับหนึ่ง กายเซียนหมิงเยว่ของเจ้าก็จะถูกปลุกอย่างสมบูรณ์!” หลังจากลู่ซุนคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดกับลู่เหยา
“สมบัติฟ้าดินที่มีพลังแห่งแสงจันทร์?” หลังจากที่ลู่เหยาได้ยินคำพูดของลู่ซุน เธอก็หรี่ตาลงเล็กน้อยแล้วพูดกับตัวเอง
สมบัติฟ้าดินที่สามารถดูดซับพลังแห่งแสงจันทร์นั้นหายากมาก และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับ ดูเหมือนว่าเธอจะต้องคิดให้รอบคอบก่อนที่จะสามารถปลุกกายเซียนหมิงเยว่อย่างสมบูรณ์ และทะลวงเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ลวงได้
ท่านปราชญ์ ข้าอาจมีบางอย่างที่สามารถตอบสนองความต้องการของท่านได้” ในขณะนั้น ซานจู่เฉินผู้ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ก็พูดออกมาด้วยความเคารพ
“งั้นก็ลองเอาออกมาดู” ลู่ซุนพยักหน้าแล้วพูดอย่างสบายๆ
จากนั้น ซานจู่เฉินก็หยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งออกมาจากแหวนมิติ
กิ่งไม้อันนี้ปกคลุมไปด้วยน้ำค้างแข็ง และทันทีที่มันปรากฏขึ้น มวลอากาศเย็นที่น่าตกใจอย่างยิ่งก็ปะทุขึ้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสะท้าน
ในบรรดาทุกคนที่อยู่ที่นี่ หมี่หลาง และหลินเยว่เอ๋อร์มีระดับพลังยุทธ์ต่ำที่สุด พวกเขารู้สึกหนาวสั่นไปทั่วทั้งร่างกาย จากการแค่เหลือบมองกิ่งไม้อันนั้นแวบเดียว
“นี่คืออะไร? ทำไมมันถึงเย็นยะเยือกถึงขนาดนี้” ลู่ไห่จ้องมองไปที่กิ่งไม้ในมือของซานจู่เฉินด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ถามออกมา
“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ไม่คิดว่าเจ้าจะมีของแบบนี้อยู่ในมือ” ลู่ซุนเหลือบมองซานจู่เฉินด้วยความประหลาดใจ จากนั้นจึงพูดช้าๆ
คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ต้นกำเนิดของสิ่งนี้ แต่ด้วยความรู้อันลึกซึ้งของลู่ซุน เขาจึงสามารถจดจำมันได้ทันที
แม้แต่ลู่ซุนยังรู้สึกประหลาดใจกับการปรากฏของกิ่งไม้ที่อยู่ในมือของซานจู่เฉิน ใครๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่ามันมีค่ามากแค่ไหน
“กิ่งไม้นี้เป็นสมบัติที่บรรพบุรุษได้มาจากแดนลับแห่งหนึ่ง ว่ากันว่ามีต้นกำเนิดที่ไม่ธรรมดา และมีค่าอย่างยิ่งจึงได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างระมัดระวัง แต่ข้าไม่รู้ที่มาที่เฉพาะเจาะจงของมัน แต่มันได้สะสมพลังที่เย็นยะเยือกมากมายไว้ภายใน ข้าจึงคิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์ต่อกายเซียนหมิงเยว่” ซานจู่เฉินพูดด้วยแววตาแห่งความภาคภูมิใจกับทุกคน
กิ่งไม้นี้มีค่ามากจนแม้แต่กั๋วซือยังต้องการแลกเปลี่ยนกับเขา แต่เขาไม่เห็นด้วย
“มีการกล่าวกันมาตั้งแต่ยุคโบราณว่ามีต้นจันทราสูงเสียดฟ้า ต้นไม้นี้เกิดจากแก่นแท้ของฟ้าดิน มันมีพลังแห่งความเป็นอมตะ แม้ว่าจะได้รับการโจมตีอย่างรุนแรงเพียงใดก็สามารถฟื้นฟูตัวเองจนกลับสู่สภาพเดิมได้ในพริบตา ถ้าข้ามองไม่ผิด กิ่งไม้นั้นในมือของเจ้าควรมาจากต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นนั้น” ลู่ซุนเล่าถึงคำเล่าขานที่สืบทอดมาจากยุคโบราณ ซึ่งดึงดูดความสนใจของทุกคน
“กิ่งก้านของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์? งั้นนี่ก็เป็นเหมือนสมบัติในตำนาน มูลค่ามันคงยากจะประเมินได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้แต่ตาแก่นั้นก็ยังสนใจ โชคดีที่ข้าปฏิเสธในตอนนั้น ไม่อย่างงั้นข้าคงจะนึกเสียใจไปตลอดชีวิต” ซานจู่เฉินนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต และเขาก็พึมพำกับตัวเอง
หลังจากที่ทุกคนได้ยินคำอธิบายของลู่ซุน พวกเขาทั้งหมดก็สูดหายใจเข้า และจ้องมองไปที่กิ่งไม้ในมือของซานจู่เฉิน
ใครจะคิดว่าของที่มีอยู่ในตำนานเท่านั้นที่จะปรากฏต่อหน้าพวกเขาทั้งเป็นเช่นนี้ มันเป็นกิ่งก้านของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ และได้ดูดซับพลังแห่งแสงจันทร์จำนวนมากเอาไว้ พลังงานนั้นแทบจะไม่มีที่สิ้นสุด !
“บรรพบุรุษ สมบัติฟ้าดินที่ท่านกล่าวถึงก่อนหน้านี้รวมถึงกิ่งไม้นี้ด้วยหรือเปล่า” ลู่เหยาไม่สนใจตำนานอะไรนั้น เธอแค่อยากจะรุดหน้าโดยเร็ว ดังนั้นเธอจึงรีบถาม
“ถึงแม้จะเป็นเพียงกิ่งก้านหนึ่ง แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับเจ้า แต่ท้ายที่สุดแล้วมันไม่ใช่ของๆ ข้า ดังนั้นหากเจ้าต้องการใช้มัน เจ้าก็ต้องขออนุญาตจากเขาก่อน” ลู่ซุนมองดู แล้วพูดขึ้น
“ข้าขอถามได้ไหมว่าท่านเป็นใคร” หลังจากที่ลู่เหยาได้ยินคำพูดของบรรพบุรุษ เธอก็รีบหันไปมองซานจู่เฉิน แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสัย
เธอไม่เคยเห็นชายคนนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เขาปรากฏตัวพร้อมกับผู้อาวุโสสาม เป็นไปได้ไหมว่าเขาเป็นเพื่อนร่วมงานของอีกฝ่ายในกองดับอมตะ?