Chapter 313 : สึนามิสูง100เมตร – เข้าสู่เมืองบาดาลอย่างเป็นทางการ (4) (ฟรี)
“นอกจากนี้ยังทะเลดำนี่อีก”
“ทะเลดำนี่เป็นแดนลับของที่ไหนกัน? กองพลก่อสร้างน่าจะไม่มีแดนลับชื่อแบบนี้แถมฉันเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีแดนลับที่มีทะเลดำมาก่อนด้วย”
“น่าจะเป็นแดนลับที่อยู่ในการควบคุมขององค์กรอื่นหรือๆไม่ก็เป็นแดนลับไร้ชื่อที่ไม่อยู่ในการควบคุมขององค์กรไหนเลย”
หลินเซวียนสังเกตเห็นคำว่า ‘ทะเลดำ’ ในข้อความเช่นเดียวกันจึงเริ่มทำการอนุมานในทันที
ตอนนี้แดนลับส่วนใหญ่บนโลกล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมขององค์กรต่างๆทั้งนั้นโดยเฉพาะแดนลับมหึมาซึ่งอยู่ในการควบคุมของมหาองค์กรทั้งสิ้น
องค์กรขนาดเล็กและกลางจะแข่งกันครอบครองได้ก็แต่แดนลับขอบเขตที่6หรือต่ำกว่าเท่านั้น
อย่างไรก็ตามช่วงที่ผ่านมานี้นั้นจู่ๆก็ปรากฏประตูแสงใหม่ๆขึ้นมามากมายดังนั้นจึงไม่มีใครรู้เลยว่ายังมีแดนลับที่ไม่ถูกค้นพบหลงเหลืออยู่ในสถานที่รกร้างผู้คนอีกกี่แห่ง
และนี่ก็คือหนึ่งในการคาดเดาของหลินเซวียนเช่นเดียวกัน
“ยังมีเวลาอีก19วันกว่าต้นกำเนิดแดนลับจะฝักตัวอย่างสมบูรณ์ ยังมีเวลาอีกเยอะและสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ก็คือเข้าสู่เมืองหลวงของเมืองบาดาล”
หลินเซวียนเทียบทิศทางจากสิ่งต่างๆและว่ายตรงไปยังทิศทางที่ตั้งของเมืองบาดาลในทันที
...
บนเกาะไร้นามบนทะเลจีนตะวันออก
เงาร่างร่างหนึ่งบินผ่านฟากฟ้าและล่อนลงบนเกาะอย่างช้าๆ
เงาร่างของเขาปลดปล่อยกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาซึ่งมากพอจะทำให้นักสู้ขอบเขตที่8ล่าถอยออกไปตามสัญชาตญาณ
คนที่มานั้นคือชายวัยกลางคนใบหน้าธรรมดาและมีร่างกายสันทัดยิ่งอย่างไรก็ตามคิ้วขนงของเขานั้นเป็นสีเทาไปแล้ว
“ท่านเทียนอวี้!” นักสู้กว่าร้อยคนของทุ่งราบมหาสวรรค์ที่มาที่นี่ทางเรือขนส่งนั้นมีกว่ายี่สิบคนที่รั้งอยู่บนเกาะไร้นามเพื่อช่วยนักสู้ขององค์กรผู้กู้โลกสู้กับเจ้าหน้าที่ของกองพลก่อสร้าง
เมื่อพวกเขาเห็นชายวัยกลางคนผู้นี้พวกเขาก็รีบพยักหน้าและโค้งคำนับในทันที
เทียนอวี้ ทาคุมิไม่ให้ความสนใจพวกเขาแต่อย่างใดหากแต่เลือกที่จะเดินตรงไปยังประตูแสงสู่แดนลับในทันที
“ไฉพ่อมาหาลูกแล้ว พ่อคิดถึงลูกจริงๆ...” เทียนอวี้ ทาคุมิตอนนี้ดูไม่เหมือนนักสู้ขอบเขตที่9แต่อย่างใด ไม่คล้ายรองผู้นำทุ่งราบมหาสวรรค์ที่อยู่เหนือคนนับหมื่นแต่อยู่ใต้ชาโดว์เพียงคนเดียว กลับกันด้วยซ้ำเพราะตัวเขาตอนนี้ดูราวกับบิดาผู้สูญเสียจิตวิญญาณและบุตรีเสียมากกว่า
นักสู้ของทุ่งราบมหาสวรรค์ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมา
พวกเขาทำได้เพียงยืนมองดูร่างของทาคุมิจากไป
...
ณ ส่วนลึกที่สุดของแดนลับเมืองบาดาล
ณ ที่นี่นั้นมีความลึกกว่า10000เมตรและทั้งมืดมิด หนาวเหน็บ
อสูรทะเลขนาดใหญ่ที่สุดของทะเลไร้ขอบเขตเองก็อาศัยอยู่ที่นี่เช่นกันหากแต่ตอนนี้ ณ ส่วนลึกสุดของทะเลไร้ขอบเขตที่ซึ่งความมิดเป็นเอกนั้นกลับปรากฏจุดแสงเล็กๆส่องสว่างขึ้นมา
แต่สิ่งที่ทำให้ประหลาดใจก็คือแสงนั้นกลับเป็นสีดำ
แสงทมิฬ!
ราวกับหลุมดำอันแปลกประหลาดค่อยๆอ้าปากแยกเขี้ยวออกใต้ก้นบึ้งของห้วงสมุทร
กลิ่นอายอันลึกลับ บรรพกาลและไม่อาจอธิบายได้เองก็แพร่กระจายออกมาจากหลุมดำที่ว่า
อสรพิษขนาดใหญ่ที่มีขนาดลำตัวยาวกว่าหนึ่งพันเมตรดูเหมือนจะเกิดความสงสัยใคร่รู้จึงเลื้อยเข้าหาหลุมดำอย่างช้าๆ
ร่างของมันหยุดลงบริเวณชายขอบของหลุมดำหากแต่ก่อนที่จะทันได้เข้าไปใกล้ก็พลันปรากฏรยางค์เหยียดยื่นออกมาจากด้านในหลุมดำและคว้าร่างของอสรพิษยักษ์เอาไว้
อสรพิษตนนั้นไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกลากเข้าไปด้านในเสียก่อนแล้ว
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือเสียงเคี้ยวบดกระดูกซึ่งทำให้ผู้ฟังต้องหนังหัวชาไปตามๆกัน
อสูรทะเลขนาดมหึมาต่างพากันหวาดกลัวและกระจัดกระจายหลีกลี้หนีห่าง
บริเวณชายขอบของหลุมดำปรากฏหอยสีชพูตัวหนึ่งกำลังกลอบกลืนพลังงานอย่างเมามันส์
ร่างกายของมันขยายขนาดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แสงสีที่ส่องประกายออกมาจากเปลือกหอยนั้นค่อยๆแปรเปลี่ยนจากสีชมพูกลับกลายเป็นแสงเจ็ดสี...
หนึ่งวันครึ่งให้หลัง
“ในที่สุดก็มาถึงเมืองบาดาลซักที” หลินเซวียนถอนหายใจยาวออกมา
เขาว่ายจากทะเลกว้างไกลมาอย่างไร้จุดหมายและแทบจะไม่มีอะไรให้อ้างอิงไปยังเมืองบาดาลเลยซักอย่าง
กระบวนการทั้งหมดนั้นไม่อาจใช้คำว่าน่าตื่นเต้นมาอธิบายได้หากแต่ควรใช้คำว่าสะเทือนขวัญมากกว่า
เขาเจออสูรเข้าโจมตีกว่ายี่สิบครั้งนอกจากนี้ยังเจออสูรทะเลขนาดกว่าร้อยเมตรที่กำลังล่าปลาหมึกยัก์ขนาดกว่าห้าสิบเมตร
ในช่วงเวลาที่แสนอันตรายนั้นเขาหลบซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางแนวปะการังที่อยู่ห่างจากอสูรทะเลนั่นเพียงครึ่งเมตร
ถ้าอีกฝ่ายแกว่งหางเพียงเล็กน้อยมาโดยแนวปะการังเข้าเขาก็คงจะตายทันที
นอกจาอสูรและอสูรทะเลแล้วยังมีซากบาดาลอันน่าสะท้านขวัญเหล่านั้นอีก
ซากบาดาลเองก็เป็นอสูรประเภทหนึ่งเช่นกัน
พวกมันแปรเปลี่ยนก่อร่างมาจากซากศพของอสูรและนักสู้และมีลักษณะนิสัยเฉกเช่นฉลามกระหายเลือด
ภายในรัศมีพันเมตรตราบใดที่ได้กลิ่นเลือดเหล่าซากบาดาลก็จะพากันกรูเข้าไปกลืนกินเลือดเนื้อของเหยื่อราวกับฉลามโหย
หลังจากเหยื่อสิ้นชีพลงพวกเขาก็จะกลายเป็นซากบาดาลตนใหม่
เรื่องราวเช่นนี้เวียนวนเป็นวัฏจักรและจำนวนของซากบาดาลเองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงที่ผ่านมานี้หลินเซวียนพบกับซากบาดาลมาแล้วกว่าร้อยตน
กระทั่งนักสู้ขอบเขตที่9ก็ยังต้องหนังหัวชาหนึบเมื่อเห็นพวกมัน
เมื่อมองไปยังกลุ่มซากศพกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้เขาก็ทำได้เพียงวิ่งหนีหลบลี้และถูกอีกฝ่ายไล่ล่าเป็นเวลานาน
ยังไงก็ตามก็ใช่ว่าเขาจะทำเรื่องไร้สาระไปทั้งหมด
เนื่องจากเขาต้องใช้มุกชมพูจำนวนมากเพื่อหายใจใต้น้ำหรืออาจจะกระทั่งกล่าวได้ว่าพวกมันเป็นค่าเงินตราอันหายากยิ่งในแดนลับแห่งนี้
ดังนั้นหลินเซวียนจึงยกเลิกร่างอวตารทั้งหมดที่กระจายตัวอยู่ตามแดนลับต่างๆด้านนอกเหลือไว้เพียงหนึ่งเดียวที่อยู่ในเมืองสุริยันเท่านั้น
และที่ว่างของร่างอวตารเหล่านี้ก็จะถูกใช้ในการครอบครองร่างของอสูรในเมืองบาดาลเพื่อเปลี่ยนให้พวกมันเป็นร่างอวตารตนใหม่แทน
หลินเซวียนไม่ได้ให้ร่างอวตารเหล่านี้ปกป้องเขาหากแต่กระจายพวกมันออกไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อเสาะหามุกชมพู
เขาเชื่อว่าหลังจากผ่านไปซักพักเขาน่าจะมุกชมพูจำนวนมากผ่านทางร่างอวตารเหล่านี้
ระหว่างการสำรวจที่ทั้งน่าสะพรึงและตื่นเต้นนี้ในที่สุดเขาก็มาถึงเมืองหลวงของเมืองบาดาล
แดนลับเมืองบาดาลนั้นประกอบไปด้วยชายหาด ทะเลไร้ขอบเขตและเมืองหลวง
หรือหากจะกล่าวว่าเมืองหลวงคือแก่นแกนของแดนลับแห่งนี้ก็มิผิดเพี้ยน
หลินเซวียนจ้องมองลงไปเบื้องล่างและพบกับเมืองที่ทั้งลึกและใหญ่โตเบื้องล่าง
พื้นที่ของมันนั้นกว้างไกลสุดลูกหูลูกตาของเขาเลยทีเดียว