บทที่ 82: นินทา
หลังจากไทเฮาฟังคำขอของมู่ไป๋ไป่ พระนางก็รู้สึกว่าเด็กคนนี้เป็นคนที่รู้ความและเอาใจใส่ผู้อื่นมาก พระนางจึงพยักหน้าอนุญาตทันทีและบอกว่าพวกนางไม่ต้องไปสวดมนต์ในตอนเช้า เพื่อให้แม่ลูกคู่นี้ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่
เมื่อเด็กหญิงทำตามแผนจนบรรลุเป้าหมายแล้ว เธอก็พูดคุยอยู่กับท่านย่าสักครู่ ก่อนจะกลับเข้าห้องของตัวเองพร้อมกับอ้าปากหาว
ซูหว่านหลับอยู่บนเตียงของเธอนานแล้ว เธอจึงจัดการถอดเสื้อผ้าด้านนอกออก ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนบนเตียงบ้าง
จากนั้นแม่กับลูกสาวก็นอนหลับสนิทจนกระทั่งนางกำนัลมาเคาะประตูเรียกให้ไปรับประทานอาหารกลางวัน
“นี่ข้านอนจนถึงป่านนี้เลยหรือ!?” หว่านผินมองดูพระอาทิตย์ที่ขึ้นเหนือศีรษะด้านนอกแล้วตกใจมาก “ไป๋ไป่ เจ้าไม่ได้บอกว่าจะปลุกแม่หลังจากที่กลับมาหรอกหรือ? นี่คงเลยเวลาสวดมนต์ขอพรแล้ว ไทเฮาจะไม่กล่าวโทษ—”
“ท่านแม่!” มู่ไป๋ไป่กลิ้งไปมาอยู่บนเตียงอย่างเกียจคร้าน ก่อนจะยกศีรษะขึ้นยิ้มแป้นแล้นให้กับแม่ “ไป๋ไป่ได้ขออนุญาตไทเฮาแล้ว เป็นไทเฮาที่อนุญาตให้พวกเราพักผ่อนตามสบาย ส่วนเรื่องสวดมนต์เราสามารถไปเข้าร่วมหลังจากรับประทานอาหารกลางวันก็ได้”
ซูหว่านที่ผุดลุกจากเตียงด้วยความตื่นตกใจก็ต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินสิ่งที่คนตัวเล็กพูด และถามลูกสาวว่านางไปบอกไทเฮาอย่างไร
“อิอิ ไป๋ไป่เป็นคนฉลาดมาก” มู่ไป๋ไป่เชิดคางขึ้น “ไป๋ไป่บอกไทเฮาว่ามีหนูอยู่ในห้องของไป๋ไป่เมื่อคืนนี้ และท่านแม่กับไป๋ไป่ก็ช่วยกันขับไล่หนูอยู่ทั้งคืน ทำให้พวกเราเหนื่อยมาก”
“อะไรนะ?” หว่านผินไม่คาดคิดเลยว่าเจ้าตัวเล็กจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าไทเฮา นางตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ข้ออ้างของอีกฝ่ายก็มีเหตุผลทีเดียว
จากนั้นมู่ไป๋ไป่ก็หัวเราะไปพร้อมกับแม่ของตน แล้วก็กลิ้งไปบนเตียงอีกครั้งเพื่อไปนอนในอ้อมแขนของแม่
“เจ้าเด็กแสบนี่มันน่าฟัดจริง ๆ ทำไมถึงได้ขี้อ้อนขนาดนี้?” ซูหว่านกอดลูกสาวเอาไว้อย่างรักใคร่ พร้อมกับตบหลังปลอบนางเบา ๆ ก่อนจะถามด้วยความห่วงใย “เจ้ากลัวอยู่หรือไม่?”
“ขอบคุณสวรรค์ที่ทำให้เจ้าไม่พบสุนัขจิ้งจอก เสือ หรือสัตว์ร้ายอื่น ๆ ในป่า”
“มิฉะนั้น…”
ขณะที่หญิงสาวพูด ดวงตาของนางก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านอย่าร้องไห้อีกเลย ไป๋ไป่ผิดไปแล้ว ไป๋ไป่จะไม่มีวันทำให้ท่านแม่ต้องเป็นกังวลเช่นนี้อีก” มู่ไป๋ไป่กล่าวพลางเช็ดน้ำตาให้คนตรงหน้า
“แม่ไม่ได้ร้อง” ซูหว่านยิ้มจาง ๆ พร้อมกับตบก้นลูกสาวเบา ๆ เป็นการเร่งเร้า “รีบลุกขึ้นไปกินข้าวกันเถอะ ไทเฮาทรงยกเว้นไม่ให้เราต้องไปสวดมนต์ในตอนเช้า แต่ตอนบ่ายเรายังคงต้องไปเช่นเคย”
เด็กหญิงตอบรับอย่างเชื่อฟังก่อนจะกระโดดลงจากเตียงไปล้างหน้าล้างตา
ตอนนี้ยังเหลือเวลาก่อนที่อาหารกลางวันจะยกขึ้นโต๊ะ มู่ไป๋ไป่จึงนึกถึงน้ำแกงจืด ๆ และอาหารมังสวิรัติที่ทางวัดฮู่กั๋วเตรียมไว้ให้ เธอจึงดึงหลัวเซียวเซียวมาขอให้นางนำทางไปที่ห้องครัว
“องค์หญิงหก เมื่อคืนพระองค์ทรงหลงทางอยู่บนภูเขาจริง ๆ หรือเพคะ?” เด็กหญิงที่ติดตามมู่ไป๋ไป่มากระซิบถามเสียงเบา “เมื่อคืนนี้คนของหว่านผินและหม่อมฉันค้นหาพระองค์เกือบทั่วภูเขา…”
ในตอนเช้า ทันทีที่หลัวเซียวเซียวเห็นองค์หญิงกลับมา นางก็รู้สึกมีความสุขมากที่รู้ว่าคนที่นางตามหามาทั้งคืนปลอดภัยดี แต่หลังจากก้าวผ่านความรู้สึกดีใจไปแล้ว นางก็ตระหนักได้ว่ามีช่องโหว่มากมายในคำพูดของอีกฝ่าย
“ก็… ข้าคิดว่าข้าหลงทางอยู่บนภูเขา” มู่ไป๋ไป่เกาปลายจมูกของตัวเอง แต่เธอไม่มีวันที่จะเล่าเรื่องน่าอายที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ให้ใครฟังอย่างแน่นอน
“องค์หญิงหก หม่อมฉันจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่” จากนั้นหลัวเซียวเซียวก็พูดเตือนอีกฝ่ายว่า “แต่หากหม่อมฉันยังมองเห็นจุดนี้ หว่านผินก็สามารถมองเห็นมันได้เช่นกันเพคะ”
“บางทีหว่านผินอาจจะถามพระองค์ในภายหลัง”
มู่ไป๋ไป่คิดอยู่สักพักแล้วรู้สึกว่าสิ่งที่สหายตัวน้อยพูดนั้นมีเหตุผล
เวลาต่อมาเด็กหญิงทั้ง 2 ก็เดินมาถึงห้องครัว
หากเปรียบเทียบห้องครัวในวังหลวงซึ่งมีทุกสิ่งที่เราต้องการ ห้องครัวของวัดฮู่กั๋วก็เป็นเหมือนด้านตรงกันข้ามที่ไม่มีอะไรเลย
มู่ไป๋ไป่มองไปที่กองผักสีเขียวและหัวไชเท้าในห้องครัว แค่คิดใบหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวแล้ว
เธอรู้สึกว่าตนไม่ได้มาที่นี่เพื่อสวดมนต์ แต่มาเพื่อรับบททดสอบมากกว่า
ถ้าช่วงนี้เธอเอาแต่กินอาหารพวกนี้ เธอได้เปลี่ยนกลายเป็นกระต่ายแน่นอน
“องค์หญิงหก ตรงนี้ยังมีเต้าหู้เหลืออยู่ครึ่งชิ้น พระองค์จะใช้มันหรือไม่เพคะ?” หลัวเซียวเซียวได้รับคำสั่งจากมู่ไป๋ไป่ให้ค้นในห้องครัวอยู่พักหนึ่ง แต่ก็พบเพียงเต้าหู้เก่าชิ้นใหญ่เท่านั้น
ดังสุภาษิตที่ว่า แม้แต่แม่ครัวที่มีฝีมือเก่งกาจก็ไม่อาจทำอาหารได้หากไม่มีข้าว* มู่ไป๋ไป่มองส่วนผสมที่อยู่ตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าหัวสมองของตัวเองกำลังจะระเบิด
*เป็นสำนวนเปรียบเทียบว่า ไม่มีใครสามารถทำบางสิ่งสำเร็จหากไม่มีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้
“องค์หญิงหก… พระองค์อยากเสวยอะไรเพคะ? เหตุใดเราไม่ส่งคนลงภูเขาไปซื้อวัตถุดิบมาให้เราล่ะ?” หลัวเซียวเซียวแนะนำ “พระองค์ไม่สามารถทำอาหารขึ้นมาจากของเพียงเท่านี้ได้แน่เพคะ”
“ไม่” มู่ไป๋ไป่ส่ายหัวปฏิเสธ “เรามาที่นี่ก็เพื่อถือศีลกินเจ การแอบส่งคนไปซื้ออาหารมานับว่าผิดต่อสวรรค์ นอกจากนี้ ข้าจะทำอาหารให้ท่านแม่สักหน่อย”
วันนี้ซูหว่านคงจะกินอะไรไม่ค่อยลงเพราะมัวแต่กังวลเรื่องของเธอมาตั้งแต่เมื่อคืน
“ไม่ใช่ว่าวัตถุดิบพวกนี้ไม่ดีหรอกนะ เพียงแค่เราต้องทำเป็นอาหารมังสวิรัติทั้งหมดเท่านั้น” คนตัวเล็กใช้ความคิดอยู่สักพักและเริ่มเอ่ยปากว่า “เอาล่ะ เจ้าไปกวนแป้งเถอะ เราจะทำซาลาเปาไส้ผักกัน”
“แล้วก็ทำน้ำแกงเต้าหู้เพิ่ม”
และแล้วก็เกิดภาพเดิม ๆ ซึ่งก็คือมู่ไป๋ไป่เป็นฝ่ายชี้นิ้วสั่ง ส่วนหลัวเซียวเซียวเป็นฝ่ายลงมือทำ
ในที่สุดตอนที่แป้งซาลาเปาเริ่มเป็นก้อน องค์หญิงตัวน้อยก็ขยับมือปั้นซาลาเปาทรงกลมให้เป็นรูปกระต่าย สุดท้ายก็ใช้หัวไชเท้าทำเป็นดวงตาให้กับกระต่ายน้อย ซึ่งมันดูสมจริงเสียจนหลัวเซียวเซียวยังทึ่ง
หลังจากที่ซาลาเปานึ่งเสร็จแล้ว มู่ไป๋ไป่ก็ได้ให้สหายลองชิมก่อน จากนั้นจึงจัดวางที่เหลือใส่จานและนำไปให้ซูหว่าน
ในระหว่างที่เดินผ่านหลังเรือน เธอก็ได้ยินคนพูดถึงตนจึงหยุดฝีเท้าลง
“จุ๊ ๆๆ องค์หญิงหกกับหว่านผินช่างได้รับความโปรดปรานยิ่งนัก พวกนางเดินทางมาที่นี่เพื่อสวดมนต์ขอพร แต่วันแรกก็นอนกินบ้านกินเมืองจนตะวันขึ้นถึงกลางหัว”
“เช่นนั้นหรือ ไทเฮาทรงคุกเข่าสวดมนต์อยู่ในวิหารตลอดทั้งเช้า”
“ชู่ววว เบาเสียงลงหน่อย… มิฉะนั้นองค์หญิงหกอาจจะมาได้ยินเข้า แล้วเจ้าจะถูกสั่งตัดลิ้นทันที”
“อย่าได้ดูแคลนองค์หญิงหกที่ปกติทำตัวน่ารักสดใส แต่วิธีการของนางช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก ไม่อย่างนั้น องค์หญิงใหญ่ที่ได้รับความโปรดปรานมาตลอดจะถูกโค่นล้มได้อย่างไร แล้วยังมีลี่เฟยที่ต้องตกต่ำลงเช่นนี้อีก เจ้าจะต้องระวังปากตัวเองเอาไว้ให้ดี”
“องค์หญิงหก! พวกนางกำลังใส่ร้ายพระองค์!” หลัวเซียวเซียวทนฟังต่อไปไม่ไหวและอยากจะพุ่งออกไปโต้เถียงกับเหล่านางกำนัลที่กำลังซุบซิบนินทากันอยู่
“เจ้ากลับมาเดี๋ยวนี้นะ” ทว่ามู่ไป๋ไป่กลับเรียกสหายไว้ “ซาลาเปาจะเย็นแล้ว เรารีบกลับกันก่อนเถอะ”
“แต่…” หลัวเซียวเซียวยังคงไม่ยอมแพ้ นางติดตามองค์หญิงหกมานานจึงรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแบบที่พวกนางพูดถึง องค์หญิงหกผู้นี้เป็นคนที่ดีที่สุดในโลก!
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร” มู่ไป๋ไป่ยักไหล่แบบไม่ใส่ใจ “ถึงอย่างไรปากก็อยู่บนหน้าของคนอื่น เราจะไปห้ามปรามให้เขาพูดถึงเราได้อย่างไร ถ้าข้าเอาเวลาไปสนใจพวกนางคงไม่เป็นอันต้องทำอะไรพอดี”
วันนี้แตกต่างไปจากอดีต เธอไม่จำเป็นต้องแสดงอำนาจต่อหน้าเหล่าลูกสมุนพวกนี้อีกต่อไป
ปัจจุบันเธอมีมู่เทียนฉงและไทเฮาเป็นคนคอยหนุนหลังที่ยิ่งใหญ่ที่เธอสามารถพึ่งพาได้ คนเหล่านี้เป็นเพียงมดปลวกที่ไม่มีค่าใด ๆ ในสายตาเธออีกแล้ว
เมื่อหลัวเซียวเซียวได้ยินสิ่งที่องค์หญิงพูด นางก็ระงับความโกรธอย่างไม่เต็มใจนักก่อนจะเดินตามอีกคนไป
หลังจากเด็กหญิงทั้ง 2 เดินจากไป ก็มีคนเข้ามาขัดขวางกลุ่มนางกำนัล “ใครใช้ให้พวกเจ้ามายืนนินทาคนอยู่ที่นี่ พวกเจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วใช่หรือไม่?!”