บทที่ 81: โคตรพ่อโคตรแม่เอ็งสิ!!
บัดนี้มู่ไป๋ไป่ไม่กล้าพูดจาโผงผางออกไปเหมือนแต่ก่อน
หลังจากเด็กหญิงได้รับคำเตือนจากเซียวถังอี้ เธอก็ไม่กล้านอนอีก เธอได้แต่นอนตาค้างอยู่ใต้ผ้าห่มจนกระทั่งรุ่งสาง
เมื่อเธอเห็นแสงยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้า เธอก็แทบจะร้องไห้ออกมา
โชคดีที่เซียวถังอี้เป็นคนรักษาคำพูด ทันทีที่ถึงเวลารุ่งสาง เขาก็ลุกขึ้นจากที่นอน อุ้มเธอออกจากผ้าห่มแล้วบินมุ่งหน้าไปยังวัดฮู่กั๋ว
เขาเป็นคนที่มีวรยุทธสูงส่งมาก ถ้าเป็นคนปกติจะต้องใช้เวลา 1 ก้านธูป แต่เขาใช้เวลาเพียง 1 เค่อเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาเพียงรักษาสัญญาที่จะมาส่งมู่ไป๋ไป่กลับวัดฮู่กั๋ว พอมาถึงที่วัดเขาก็โยนเธอไว้ตรงหน้าประตูแล้วหันหลังกลับออกไปทันที
คนตัวเล็กที่ก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นนั่งน้ำตาเล็ด หลังจากแน่ใจว่าอีกฝ่ายได้ไปไกลแล้ว เธอก็สาปแช่งเขาเสียงลอดไรฟัน “โคตรพ่อโคตรแม่เอ็งสิ!!”
เมื่อคืนนี้เดิมทีเธออยากจะเดินไปที่เรือนด้านข้างเพื่อไปเล่นกับหลัวเซียวเซียวแก้เบื่อ ดังนั้นเธอจึงไม่ได้บอกใครตอนที่เธอออกมา
เธอคิดว่าจะไม่มีใครรู้ว่าเธอหายตัวไปทั้งคืน แต่เมื่อเธอกลับมาถึงห้อง เธอก็พบกับผู้เป็นแม่ที่มีสีหน้าซีดเซียว
“ไป๋ไป่!” หว่านผินนั่งกังวลทั้งคืน ทำให้ตอนนี้นางดูซูบซีดลงกว่าเดิม ทันทีที่นางเห็นลูกสาว นางก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้อีกต่อไป “ลูกแม่ เจ้าไปไหนมา? แม่เป็นห่วงเจ้ามากนะ”
ซูหว่านตรงเข้าไปดึงมู่ไป๋ไป่มากอดไว้ในอ้อมแขนแน่น “แม่… ให้คนไปค้นจนทั่ววัดแต่ก็หาเจ้าไม่พบ แม่นึกว่า…”
หญิงสาวไม่กล้าพูดประโยคถัดไป แต่ดวงตาของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ
แม้ว่ามู่ไป๋ไป่จะหายตัวไปเพียงคืนเดียว แต่สิ่งที่เธอต้องเผชิญนั้นมันหนักหนาและเจ็บปวดมาก
ทันทีที่เธอถูกแม่กอด เธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา “ฮือออออ!!”
จากนั้นสองแม่ลูกก็กอดกันร้องไห้อยู่ในห้อง หลัวเซียวเซียวที่รีบกลับมาจากข้างนอกหลังจากได้ยินข่าวพอเห็นภาพนี้ก็ได้แต่ยืนน้ำตาซึม
ที่แท้เมื่อคืนนี้ ตอนที่มู่ไป๋ไป่เดินออกจากห้องไป ซูหว่านก็ได้มาหาเธอพร้อมกับของว่างยามดึก
เดิมทีภายในวัดฮู่กั๋วนั้นไม่ได้สะดวกสบายเท่ากับวังหลวง หว่านผินกลัวว่าคนตัวเล็กจะไม่คุ้นเคยกับสถานที่ต่างถิ่น นางจึงได้ไปยืมห้องครัวมาทำขนมให้ลูกสาว
แต่เมื่อคืนนางเคาะประตูอยู่นานก็ไม่มีใครตอบ พอนางเปิดประตูเข้าไปก็ไม่เห็นมู่ไป๋ไป่อยู่ในห้อง
นั่นทำให้นางตกใจมาก
ห้องที่เด็กหญิงพักนั้นอยู่ในเรือนของไทเฮา ด้วยความที่กลัวว่าเรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูของไทเฮาแล้วรบกวนการพักผ่อนของพระองค์ ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงปกปิดเรื่องที่ลูกสาวหายตัวไปและสั่งให้หลัวเซียวเซียวกับนางกำนัลที่ไว้ใจได้ไม่กี่คนออกตามหาองค์หญิงหกทั้งคืน
เมื่อซูหว่านเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มสว่างและใกล้ถึงเวลาที่ต้องไปสวดมนต์แล้ว นางก็เป็นกังวลมากขึ้นจนนางต้องมาซ่อนตัวอยู่ในห้องของมู่ไป๋ไป่เพื่อเช็ดน้ำตาอยู่เงียบ ๆ คนเดียว
ในตอนนั้นเอง เจ้าตัวเล็กที่หายตัวไปทั้งคืนก็กลับมาโดยไม่คาดคิด
หว่านผินร้องไห้มามากพอแล้ว นางจึงตั้งสติได้เป็นคนแรกก่อนจะมองสำรวจลูกสาวตั้งแต่หัวจรดเท้าว่าได้รับบาดเจ็บหรือไม่ พอเห็นว่านอกจากเสื้อผ้าที่สกปรกและผมที่ยุ่งเหยิง อีกฝ่ายก็ไม่มีบาดแผลตรงไหน นางจึงรู้สึกเบาใจขึ้น
“องค์หญิงหก เมื่อคืนพระองค์ไปอยู่ที่ใดมาเพคะ?” หลัวเซียวเซียวที่ร้องไห้อยู่ด้านข้างถามขึ้นมา “เซียวเซียวกับหว่านผินตามหาพระองค์อยู่ทั้งคืน...”
“ข้าขอโทษ” มู่ไป๋ไป่ยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะจับมือของคนทั้ง 2 “เมื่อคืนข้าอยู่ในห้องคนเดียวแล้วรู้สึกเบื่อ ข้าจึงอยากจะไปเล่นกับเจ้าที่เรือนพัก แต่ข้าหลงทางเดินวนอยู่ในภูเขาด้านหลัง”
เธอไม่ได้บอกว่าตนนั้นพบกับคุณชายเซียวและได้ติดตามเขาไปเที่ยวเล่นรอบเมือง
ซูหว่านเป็นกังวลเกี่ยวกับเธอมามากพอแล้ว เธอจึงไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นกังวลไปมากกว่านี้
รวมถึงเธอไม่อยากพูดถึงผู้ชายอารมณ์แปรปรวนคนนั้นอีกเลยในชีวิตนี้!
หากเมื่อคืนชีวิตของเธอไม่ได้แขวนอยู่บนเส้นด้าย เธอคงไม่ยอมปล่อยไอ้สารเลวนั่นไปง่าย ๆ แน่
ทันทีที่ซูหว่านได้ยินว่าลูกสาวตนหลงทาง นางก็ไม่สงสัยเลยว่าเด็กคนนี้หายไปไหนทั้งคืน นางจึงกอดร่างเล็กเอาไว้แนบอกก่อนจะเรียกนางกำนัลให้มาช่วยผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“พิธีจะเริ่มในอีกไม่ช้า เจ้ารีบไปล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะ” หว่านผินจับมือเล็ก ๆ ของมู่ไป๋ไป่อย่างเป็นกังวลพลางกล่าวว่า “เจ้าอาจจะต้องคุกเข่าอยู่ที่วิหารทั้งวัน เจ้าจะไหวหรือไม่?”
ครั้นผู้เป็นแม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ เด็กหญิงก็เพิ่งนึกเรื่องสวดมนต์ขอพรขึ้นมาได้
แต่ความกังวลของซูหว่านทำให้มู่ไป๋ไป่ตาแดงขึ้นมาอีกครั้ง
ท่านแม่ต้องอดหลับอดนอนเพื่อตามหาเธอทั้งคืน แต่นางก็ยังต้องเข้าร่วมการสวดมนต์ขอพรกับไทเฮาด้วย
คนตัวเล็กมองดูใบหน้าที่ซีดเซียวของผู้เป็นแม่และเกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ
“ท่านแม่ ข้าอยากจะไปคารวะไทเฮาสักหน่อยเพคะ”
“ตกลง” ซูหว่านพยักหน้า “แม้ว่าเราจะอยู่นอกวัง แต่มารยาทก็ยังคงไม่อาจละเลยได้ นอกจากนี้ ไทเฮาทรงอนุญาตให้เจ้าพักร่วมกับพระองค์ในเรือนหลัก ดังนั้นเจ้าควรไปคารวะไทเฮากับแม่ก่อน”
“เพคะ” มู่ไป๋ไป่พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง แต่สุดท้ายเธอก็ยังจูงมืออีกฝ่ายไปที่เตียง “ท่านแม่ ท่านนอนพักผ่อนสักหน่อยเถอะ หลังจากไป๋ไป่ไปคารวะไทเฮาแล้ว ไป๋ไป่จะกลับมาปลุกท่านแม่”
ปัจจุบันหว่านผินรู้สึกเหนื่อยล้ามาก พอคิดว่าวันนี้ตนจะต้องไปคุกเข่าเป็นเวลานาน นางจึงไม่ได้ปฏิเสธลูกสาว และนางก็ได้เอ่ยปากสั่งให้หลัวเซียวเซียวติดตามองค์หญิงหกไปอย่างใกล้ชิดเพื่อไม่ให้นางต้องหลงทางอีก
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปที่เรือนด้านข้าง ทางด้านไทเฮาเพิ่งตื่นบรรทมได้ไม่นาน ทันทีที่พระนางเห็นหลานสาว พระนางก็ลืมแม้แต่จะสวมรองเท้าด้วยซ้ำ แล้วรีบสาวเท้าเข้ามาสวมกอดร่างเล็ก
“เด็กดี ทำไมเจ้าถึงมาหาย่าแต่เช้าขนาดนี้”
“เจ้าคิดถึงย่าแล้วหรือ?”
ขณะนี้ไทเฮาทรงสวมเพียงชุดด้านใน ผมของพระนางยังไม่ได้รับการเกล้ามวย ทำให้พระนางดูอ่อนโยนลงกว่าปกติมาก
มู่ไป๋ไป่เองก็โน้มตัวเข้าไปในอ้อมแขนของอีกฝ่ายอย่างเชื่อฟัง และตอบรับด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
จากนั้นไทเฮาก็อุ้มเด็กน้อยขึ้นแล้วพูดคุยกันอยู่สักพัก ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าของหลานสาวดูไม่ค่อยดี อีกทั้งใต้ดวงตายังมีรอยสีคล้ำจาง ๆ
“เมื่อคืนไป๋ไป่นอนไม่หลับหรือ?” ไทเฮาจับใบหน้าเล็ก ๆ เพื่อให้มองได้ถนัดตา “หลานย่า ดูสิ ใบหน้าที่เล็กอยู่แล้วของเจ้ายิ่งเล็กลงไปอีก”
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่คิดกับตัวเองว่า
นอนไม่หลับงั้นเหรอ? ฉันถูกเจ้าสัตว์ประหลาดคนนั้นบังคับให้ถ่างตานอนอยู่ทั้งคืนต่างหาก!
แน่นอนว่าเธอไม่กล้าพูดเรื่องนี้ออกไปตามตรง และเธอก็คิดหาเหตุผลอื่นมาอธิบายท่านย่า
พอคิดถึงเรื่องนี้มู่ไป๋ไป่ก็กอดอีกฝ่ายทันทีพร้อมกระซิบว่า “ใช่แล้วเพคะ… ในห้องของไป๋ไป่มีหนูตัวใหญ่วิ่งเข้ามา มันเป็นตัวสีดำและมีขนยาว น่ากลัวมากเพคะ”
“มีหนูอยู่ในห้องเจ้าหรือ!?” ไทเฮาตกใจมาก แต่มันก็เป็นเรื่องปกติที่ในวัดฮู่กั๋วจะมีหนูอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตาม ในทุก ๆ ปีคนในวังจะมาทำพิธีสวดมนต์ขอพร ดังนั้นคนของวังหลวงจะมาทำความสะอาดที่นี่ล่วงหน้า ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมาพระนางไม่เคยเห็นหนูเลยแม้แต่ตัวเดียว
“ใช่เพคะ!” มู่ไป๋ไป่พยักหน้าอย่างจริงจังและขยับมือสั้น ๆ ประกอบคำอธิบาย “ตัวมันใหญ่มากเลย ไป๋ไป่กลัว แต่ก็ไม่อยากรบกวนการพักผ่อนของพระองค์ ดังนั้นไป๋ไป่ก็เลยส่งคนให้ไปตามท่านแม่มานอนด้วย”
“ทำให้ท่านแม่ต้องคอยช่วยไป๋ไป่จัดการกับหนูอยู่ทั้งคืนจนไม่ได้หลับได้นอน”
“ท่านแม่ลำบากมากเลยเพคะ”
ทันทีที่ไทเฮาได้ยินคำบอกเล่าของหลานสาว สีพระพักตร์ของพระนางก็มืดลง “ไม่เป็นไร คงเป็นเพราะพวกนางกำนัลคงเกียจคร้าน นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้หนูเข้าไปอยู่ในห้องของเจ้า”
หลังจากกล่าวจบ ไทเฮาก็เตรียมจะสั่งให้ชิงเยว่เรียกนางกำนัลและขันทีที่เป็นผู้รับผิดชอบทำความสะอาดห้องมู่ไป๋ไป่มาลงโทษ
เด็กหญิงที่คิดเอาไว้ว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นก็รีบห้ามอีกฝ่ายไว้ เพราะเธอกลัวว่าคำพูดเพื่อหลีกเลี่ยงความจริงของเธอนั้นจะเผลอไปทำร้ายคนอื่นเข้า
“ท่านย่าไทเฮา เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วเราเดินทางมาที่นี่เพื่อขอพรให้กับราษฎรและแว่นแคว้น การจะให้มาเรื่องมากอยู่ที่นี่คงจะไม่ดีนัก เพียงแต่ว่าท่านแม่กับไป๋ไป่เหนื่อยล้ามาทั้งคืน จึงอยากจะขอท่านย่าประทานอนุญาตให้ไป๋ไป่กับท่านแม่นอนต่ออีกสักหน่อยเพคะ…”