บทที่ 80: แบ่งเตียง
เซียวถังอี้ไม่อาจทนอยู่ที่นี่ต่อไปได้ เขาจึงขว้างจอกสุราในมือทิ้งก่อนจะเดินอุ้มมู่ไป๋ไป่ออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ส่วนผู้คนที่กำลังรับชมความสนุกสนานยังรู้สึกไม่เต็มอิ่ม ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามโน้มน้าวให้เขาอยู่ต่อ
“คุณชายเซียว อย่าเพิ่งไปสิ อย่างน้อยท่านก็อยู่กินข้าวมื้อดึกกับเราก่อน”
“ใช่ ถือเสียว่าให้พวกเราพี่น้องได้ทำความรู้จักน้องสาวคนใหม่ของคุณชายเซียว”
“คุณชายเซียว แบบนี้ข้าน้อยยังพอมีหวังอยู่ใช่หรือไม่?”
เพื่อเป็นการตอบโต้การหยอกล้อของพี่น้องพวกนั้น เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงตะคอกว่า “หลีกไป!” และหายไปจากสายตาของทุกคน
ขณะนั้นมู่ไป๋ไป่ไม่มีเวลาแม้แต่จะกลืนองุ่นในปาก เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายได้อุ้มเธอกลับไปที่ห้องแล้ว
ศพบนพื้นถูกจัดการจนไม่เหลือแม้แต่คราบ และภายในห้องก็กลับมาเป็นดังเดิม หากเด็กหญิงไม่เคยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องนี้ด้วยตาตัวเองมาก่อน เธอคงไม่สามารถบอกได้ว่าเพิ่งจะมีคนเสียชีวิตอยู่ที่นี่
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เซียวถังอี้โยนคนในอ้อมแขนลงบนพื้น จากนั้นก็ยืดตัวกอดอกจ้องหน้าอีกคนนิ่ง
“ในฐานะเด็กที่กำลังจะย่างเข้าสู่วัย 5 ขวบ ข้าจะทำอะไรได้?” มู่ไป๋ไป่ลูบบั้นท้ายของตัวเองพลางตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “ตอนนี้ชีวิตของข้าอยู่ในกำมือของท่าน ข้าจะทำอะไรได้อีก?”
คำตอบที่ได้รับประกอบกับท่าทีของเด็กน้อยทำให้คิ้วของเด็กหนุ่มกระตุก
เด็กคนนี้ทำไมถึงได้พูดเช่นนี้กัน?
แต่พอลองคิดดูให้ดีแล้ว สิ่งที่นางพูดนั้นก็นับว่ามีเหตุผล
หลังจากร่ำสุรามาทั้งคืน เซียวถังอี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถทำอะไรได้อีก เขาจึงหยุดถาม ก่อนจะถอดรองเท้าแล้วปีนขึ้นเตียงพร้อมที่จะเข้านอน
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขาล้มตัวลงนอน ภาพของมู่ไป๋ไป่ที่กำลังร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ในโรงพนันใต้ดินก็ปรากฏในหัวของเขา ส่งผลให้เขาขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและสั่งคนตัวเล็กที่ยังนั่งกินองุ่นอยู่มุมห้อง “เจ้ามานี่สิ”
“หา?” มู่ไป๋ไป่เม้มปากเข้าหากัน “ข้ารบกวนท่านหรือ? เช่นนั้นข้าจะพยายามเบาเสียงลง”
“...”
สรุปแล้วเจ้าเด็กน้อยคนนี้ฉลาดหรือโง่กันแน่?
เขาไม่คิดที่จะพูดซ้ำเป็นครั้งที่ 2 จึงลุกขึ้นจากเตียง คว้าองุ่นในมือของอีกฝ่ายทิ้งไปด้านข้าง ก่อนจะทำความสะอาดมือกับใบหน้าของนางแบบลวก ๆ เสร็จแล้วก็โยนนางลงบนเตียง
ต้องบอกว่าเขาไม่เลือดเย็นพอที่จะปล่อยให้เด็กอายุ 4 ขวบนอนบนพื้นได้
พอกลางดึกแล้วอากาศที่นี่จะเย็นลง เด็กคนนี้จะไม่หนาวตายไปก่อนหรือถ้าได้นอนบนพื้น แล้วเขายังจะต้องมายุ่งยากดูแลฝังศพนางอีก
นอกจากนี้… เด็กวัยนี้เป็นวัยกำลังโตไม่ใช่หรือ?
ถัดมา เซียวถังอี้ซึ่งมีสีหน้าเย็นชาดึงเครื่องประดับผมจากศีรษะของมู่ไป๋ไป่ออกแบบส่ง ๆ
การลงมือของเขานั้นไม่ได้เบามือหรือรุนแรงจนเกินไป ซึ่งคนตัวเล็กก็ไม่กล้าส่งเสียงร้องออกมาด้วย แม้ว่าผมของตนจะถูกถึงขาดไปหลายเส้นก็ตาม
ไม่นานเซียวถังอี้ก็หยุดมือกะทันหันและมองมู่ไป๋ไป่อยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อครู่นี้เขาได้ถอดปิ่นมวยผมของเด็กหญิงออก ทำให้ผมยาวของนางร่วงลงมาบนบ่า จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าตนยังไม่เคยมองเด็กคนนี้ให้เต็มตามาก่อน และนางก็มีหน้าตาที่นับว่างดงามทีเดียว
มู่ไป๋ไป่กะพริบตาด้วยความรู้สึกสับสน ในตอนที่เธอกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เธอก็เห็นอีกคนยกผ้าห่มขึ้นมาพันรอบตัวเธอเป็นดักแด้ จากนั้นก็ผลักเธอให้ล้มนอนบนเตียง
“นอน!”
เด็กน้อยที่ถูกผ้าห่มห่อตัวจนขยับไม่ได้ถึงกับพูดไม่ออก “...”
พี่ใหญ่! ฉันจะหลับในสภาพนี้ได้ยังไงกัน!
แต่ถึงกระนั้น เธอก็ไม่กล้าประท้วงออกไป พร้อมกับรู้สึกแปลกใจที่เจ้าสัตว์ประหลาดยอมแบ่งเตียงครึ่งหนึ่งให้เธอนอน
ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าวันนี้ตัวเองจะต้องนอนพื้นเสียแล้ว
ทันใดนั้นเทียนบนโต๊ะก็ดับลง มันทำให้มู่ไป๋ไป่สะดุ้งโหยง
“รีบนอนซะ” เซียวถังอี้กระซิบเตือนอีกครั้ง “หลังจากที่เจ้าตื่น ข้าจะพาเจ้ากลับวัดฮู่กั๋ว”
ดวงตาของคนตัวเล็กที่ยังคงสับสนพลันเป็นประกายสดใส เธอรีบลุกขึ้นนั่งแล้วขยับตัวไปอยู่ข้างเด็กหนุ่มด้วยท่าทีประจบประแจง “ความจริงแล้วข้าก็ไม่ค่อยง่วงเท่าไหร่นัก ท่านพาข้ากลับเลยได้หรือไม่?”
ในความมืด เซียวถังอี้ลืมตามองคนพูดอย่างเย็นชา
มู่ไป๋ไป่ไม่สามารถมองเห็นความเยือกเย็นในดวงตาของเขาได้และพึมพำต่อไปว่า “นอกจากนี้ ถ้าข้าไม่รีบกลับไปคืนนี้ ท่านแม่กับท่านย่าของข้าคงจะกังวลมาก…”
“อย่าได้คืบจะเอาศอก” เด็กหนุ่มเหยียดยิ้ม “ลองพูดอีกทีสิ…”
“ข้าจะไม่พูดแล้ว!” เด็กหญิงรีบเอนตัวลงนอนพร้อมตอบอย่างรวดเร็ว “รีบนอนกันเถอะ”
หึ! ในที่สุดเจ้าสัตว์ประหลาดก็ยอมแพ้และคิดจะพาเธอไปส่ง
แล้วเธอจะทำลายโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปได้อย่างไร?
เนื่องจากช่วงวัยของร่างนี้ทำให้มู่ไป๋ไป่รู้สึกง่วงนอนได้ง่าย หลังจากที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ทันทีที่เธอผ่อนคลายตัวเองลง เธอก็เข้าสู่ห้วงนิทราในไม่ช้า
เมื่อเซียวถังอี้ฟังเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอจากคนด้านข้าง เขาก็ผ่อนคลายลงโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่เขากำลังจะหลับไป เสียงลมหายใจข้างตัวเขาก็เปลี่ยนไปทันที
“คร่อกกก! … ฟี้~”
“คร่อกกก! … ฟี้~”
เสียงกรนเหมือนหมูดังขึ้นเป็นจังหวะ คนที่นอนอยู่ข้างกายเขาไม่ได้ตัวใหญ่นัก แต่เหตุใดนางถึงกรนดังมาก!?
เซียวถังอี้ลืมตาขึ้นจ้องมองเพดานอย่างไร้ความรู้สึกครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ไม่ลังเลที่จะโยนมู่ไป๋ไป่พร้อมกับผ้าห่มลงไปบนพื้น
เด็กน้อยผู้น่าสงสารที่เพิ่งผล็อยหลับไปจู่ ๆ ก็ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองนั้นลอยข้ามตัวเด็กหนุ่มแล้วกลิ้งลงจากเตียงมานอนอยู่บนพื้น
เธอตกตะลึงนั่งนิ่งเป็นเวลา 2 อึดใจก่อนที่เธอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
นี่เธอถูกเขาโยนทิ้งที่พื้นอย่างนั้นหรือ?
ผู้ชายคนนี้เป็นบ้าอะไรเนี่ย!
เป็นผีบ้าหรือไง เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย!
มู่ไป๋ไป่เขม็งมองเซียวถังอี้ที่อยู่บนเตียง
เฮ้อ ช่างมันเถอะ
เธอคงต้องทนไปอีกสักพัก เพราะเธอยังคงต้องพึ่งพาให้เขาไปส่งเธอกลับวัดฮู่กั๋วในวันพรุ่งนี้
เธอจะคิดเสียว่าเขาเป็นวัยทอง และเลิกสนใจเรื่องนี้
หลังจากที่มู่ไป๋ไป่ปลอบใจตัวเองเสร็จแล้วก็ล้มตัวนอนบนผ้าห่มก่อนจะหลับต่อไป
อย่างไรก็ตาม เธอก็ต้องตื่นขึ้นใหม่อีกครั้งในไม่กี่อึดใจต่อมา คราวนี้เซียวถังอี้อุ้มเธอพร้อมกับผ้าห่มและทำท่าจะโยนเธอออกจากห้อง
คนตัวเล็กตกใจมากจนหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง “ท่านจะทำอะไรน่ะ!”
คนผู้นี้มีอาการป่วยทางจิตแบบไหนกัน!?
“เจ้าเสียงดังเกินไป” เด็กหนุ่มไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
เจ้าเด็กคนนี้โตมาอย่างไร ถึงได้ส่งเสียงดังทันทีที่หลับตา?
แล้วเขาควรชื่นชมที่นางนอนหลับสบายหรืออย่างไร?
“ข้าส่งเสียงดังอย่างนั้นหรือ?” มู่ไป๋ไป่ประท้วงพร้อมทำหน้าไม่พอใจ “ข้าจะส่งเสียงดังทั้งที่ข้าหลับไปแล้วได้อย่างไร ท่านคิดไปเองหรือไม่?”
“เจ้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าข้าคิดไปเอง?” เซียวถังอี้กัดฟันพูด
เด็กหญิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งเมื่อถูกถามกลับ จากนั้นก็ดูเหมือนว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามออกไปอย่างขัดเขินว่า “ข้ากรนหรือ?”
เด็กหนุ่มไม่ได้ตอบอะไร แต่ท่าทางของเขาทำให้เธอรู้ว่าตัวเองเดาถูก และใบหน้าของเธอก็เห่อร้อนขึ้นมาทันที
แต่เธอเป็นถึงองค์หญิง เธอจะนอนกรนได้อย่างไร?
ช่างน่าขายหน้าชะมัด!
พอมู่ไป๋ไป่เห็นว่าเซียวถังอี้กำลังจะเปิดประตู เธอก็รู้สึกตัวแล้วรีบร้องขอความเมตตา “ข้าผิดไปแล้ว อย่าโยนข้าออกไปนะ!”
ที่นี่คือหอคณิกา จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเธอซึ่งเป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักและสง่างามถูกโยนออกไปข้างนอกกลางค่ำกลางคืน?
“ขะ-ข้า… ข้าสัญญาว่าจะไม่กรน…” เมื่อคนตัวเล็กเห็นท่าทีนิ่งเงียบของอีกฝ่าย เธอก็ชู 3 นิ้วขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกล่าวว่า “ข้าสาบาน!”
“ข้างนอกมันหนาวมากเลย ถ้าท่านโยนข้าไป ข้าคงหนาวตาย”
“เด็กทุกคนมีร่างกายที่อ่อนแอ… และข้าก็เป็นเด็กที่ถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม มิเช่นนั้น…”
เซียวถังอี้รู้สึกรำคาญที่อีกฝ่ายเรื่องมาก เขาจึงยอมปล่อยมือและข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าเจ้ากรนอีก เจ้าต้องตาย!”
จากนั้นเขาก็กระโดดล้มตัวลงนอนบนเตียงเสียงดัง
--------------------------------------------------
พูดคุยท้ายตอนกับเสี่ยวเถียว: คุณชายเซียวเจอฤทธิ์เดชของเจ้าตัวเล็กตอนนอนเข้าไปอีกคนแล้ว 555555 คนเป็นพ่อต้องอดทนข่มตานอน แต่นี่ไม่จ้า จับโยนทิ้งเลย 555555