บทที่ 37 ค่ายกลลวงตา
บทที่ 37 ค่ายกลลวงตา
หลังจากที่หลี่จิ้งได้พูดคุยกับลู่หยางเฉิงและอี้ซิวจู่ไม่นาน คงอู่ก็ส่งข่าวมาให้ทั้งสองกลับไปลาดตระเวน
สำหรับหลี่จิ้ง คงอู่ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่บอกให้ระวังตัว
เวลาผ่านไปทีละนาที
ประมาณสิบกว่านาทีต่อมา เจ้าหน้าที่ภาค1พื้นดินจากแผนกผู้ช่วยตรวจการก็มาถึง
พวกเขาไม่ได้เข้าไปในตลาดอาหารทะเล แต่กระจายกำลังล้อมบริเวณรอบนอกตลาด ปิดกั้นถนนโดยรอบทั้งหมด
ในขณะเดียวกับที่เจ้าหน้าที่ภาคสนามปิดล้อมบริเวณโดยรอบเสร็จสิ้น
เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนคดีพิเศษที่ 6 ก็ตรวจสอบบัตรประชาชนของผู้คนในที่เกิดเหตุเสร็จ และให้พวกเขาออกจากพื้นที่อย่างเป็นระเบียบ
โดยปกติแล้วเมื่อเจอการตรวจสอบแบบนี้ คนที่อยากดูเรื่องสนุกอาจไม่ยอมไป
แต่หลังจากถูกตรวจสอบข้อมูลส่วนตัวกันถ้วนหน้า คนส่วนใหญ่ก็กลัวจนต้องยอมออกไป
การดูเรื่องสนุกนั้นไม่เป็นไร แต่บางเรื่องก็ไม่ควรดูนานเกินไป
ทั้งในและนอกตลาดมีการระดมกำลังขนาดใหญ่ขนาดนี้ ชัดเจนว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่ ใครจะกล้าอยู่ดูต่อ?
หลังจากฝูงชนที่มามุงดูแยกย้ายกันไป เจ้าหน้าที่จากหน่วยสืบสวนคดีพิเศษที่ 6 ก็กระจายกำลังออกไปตรวจสอบร้านค้าในตลาดทีละร้าน
หลี่จิ้งยืนอยู่หน้าร้านอาหารทะเล มองดูพวกเขาทำงานอย่างขะมักเขม้น เขาลังเลว่าจะเข้าไปช่วยดีหรือไม่ แต่คิดว่าตัวเองคงไม่มีความเชี่ยวชาญเท่าพวกเขา จึงคิดว่าไม่ควรเข้าไปวุ่นวาย
ขณะคิดว่าการยืนเฉยๆ อยู่คนเดียวแบบนี้คงไม่ดี หลี่จิ้งจึงตัดสินใจเข้าไปดูในร้านอาหารทะเล
แต่พอจะก้าวเข้าประตู เฉินอวี่หรานก็เดินออกมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองเผชิญหน้ากัน ต่างก็ชะงักฝีเท้า
จากนั้นเฉินอวี่หรานก็เอ่ยปาก
"ได้ผลการตรวจสอบตัวตนของเหยื่อแล้ว พวกเราต้องไปที่ชายหาดด่วน"
"ชายหาด?" หลี่จิ้งขมวดคิ้ว
ก่อนที่เขาจะทันถาม เฉินอวี่หรานก็เดินมาที่ประตู หยิบแท็บเล็ตออกมา แตะหน้าจอสองสามครั้งเพื่อเปิดข้อมูล
หลี่จิ้งก้มมองหน้าจอโดยอัตโนมัติ
บนหน้าจอแท็บเล็ตแสดงข้อมูลบุคคล 16 คน
โดย 14 คนแรกมีข้อมูลเป็นสีเทา
"ข้อมูลสีเทาเหล่านี้ คือข้อมูลเหยื่อที่พี่สาวหยางยืนยันด้วยวิธีการทางชีวภาพ" เฉินอวี่หรานพูดเบาๆ พลางอธิบายอย่างรวดเร็ว
"มีเหยื่อทั้งหมด 14 คน พวกเขาเป็นคนไร้ญาติขาดมิตรหรือไม่ก็อยู่ในเจียงไห่คนเดียว ไม่มีงานประจำทำ เป็นคนว่างงาน ในนั้น 9 คนมีประวัติอาชญากรรม อีก 5 คนอาศัยเงินช่วยเหลือจากสังคม คนร้ายฉลาดมาก เลือกเหยื่อประเภทนี้โดยเฉพาะ ถึงพวกเขาหายตัวไป ก็จะไม่มีใครสังเกตเห็นในระยะเวลาอันสั้น"
พูดพลางชี้ไปที่ข้อมูล 2 รายการสีสันสดใสบนหน้าจอ
"สองคนนี้เป็นเจ้าของร้านอาหารทะเล ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาเพิ่งส่งมาจากฐานข้อมูลของสถานีตำรวจท้องที่ ฉันคิดว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งใน 14 เหยื่อ แต่ดูเหมือนฉันจะคิดง่ายเกินไป"
หลี่จิ้งฟังคำอธิบายของเฉินอวี่หรานจบ แล้วจ้องมองข้อมูลส่วนตัวของทั้งสองคนนั้น
เจ้าของร้านอาหารทะเลเป็นคู่สามีภรรยา
ทั้งสองเป็นคนท้องถิ่นเจียงไห่ ประกอบอาชีพประมงมากว่า 20 ปี ในประวัติไม่มีคดีอาชญากรรมใดๆ
โอกาสที่สองคนนี้จะเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ค่อนข้างต่ำ
ราวกับรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เฉินอวี่หรานพูดว่า
"ไม่ว่าสองคนนี้จะเป็นผู้ต้องสงสัยหรือไม่ ตอนนี้พวกเขาอยู่ในสถานะสูญหาย ฉันส่งข่าวไปให้หัวหน้าไต้แล้ว เขาสั่งให้พวกเราไปดูที่บ้านของทั้งสองคนเพื่อยืนยันสถานการณ์"
พูดจบ เฉินอวี่หรานก็บอกว่า
"ฉันจะพานายไป นายไม่มีกระบี่บินไปเองคงช้า"
หลี่จิ้งยังไม่ทันพูดอะไร ก็รู้สึกถึงมือเล็กๆ นุ่มนิ่มจับมือของเขา
จากนั้นก็มีแรงมหาศาลดึงตัวเขาขึ้นไป
ในวินาถัดมา เขาก็ถูกลากขึ้นไปบนกระบี่บินของเฉินอวี่หราน
"อึก!"
หลี่จิ้งรีบเอามือปิดปากและจมูก
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขึ้นกระบี่บิน
ไม่มีการเตรียมตัวใดๆ เลย รอบนี้เกือบจะทำให้เขาอาเจียนออกมา
ความเร็วนั้นเป็นเรื่องรอง
สำคัญคือการบินด้วยกระบี่กับวิชาเหาะที่ต้องควบคุมลมนั้นไม่เหมือนกันเลย
วิชาเหาะและวิชาควบคุมลมนั้นใช้ปราณวิญญาณสร้างคาถาเสริมร่างกายตัวเอง ทำให้ผู้ใช้มีความสามารถลอยตัวได้
แต่การบินด้วยกระบี่นั้นต่างออกไป
คาถาถูกใช้กับตัวกระบี่...
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วิชาเหินกระบี่หรือผู้โดยสาร ร่างกายไม่ได้รับการเสริมพลังใดๆ แค่ถูกแสงกระบี่พาลอยขึ้นฟ้าเท่านั้น
แต่กระบวนการเหินกระบี่ขึ้นฟ้านั้น เหมือนกับนั่งรถไฟเหาะความเร็วสูง
คนที่มีประสบการณ์และคุ้นเคยกับการบินกระบี่คงไม่รู้สึกอะไร
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยบินด้วยกระบี่อย่างหลี่จิ้ง ความรู้สึกคงไม่ดีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน
หลี่จิ้งมองเฉินอวี่หรานที่จ้องมองไปข้างหน้า ไม่รู้เลยว่าเขาเมากระบี่ เขารู้สึกหงุดหงิดมาก
เขาไม่ได้รังเกียจเฉินอวี่หรานที่เคร่งครัดและจริงจังในการทำงาน
แต่พูดตามตรง เขาชอบเฉินอวี่หรานที่ผ่อนคลายและมีความขัดแย้งในตัวเองมากกว่า
......
การเดินทางด้วยกระบี่นั้นเร็วจริงๆ
ไม่ถึงสองนาที เฉินอวี่หรานก็พาหลี่จิ้งมาถึงชายฝั่งทะเล ลงจอดหน้าบ้านพักริมทะเลหลังหนึ่ง
พอลงพื้น ทั้งสองก็ขมวดคิ้วพร้อมกัน
บ้านพักริมทะเลหลังนี้ไม่ใช่บ้านเดี่ยว
รอบๆ มีบ้านพักเรียงรายอีก 7-8 หลัง
ตอนนี้เพิ่งผ่านหกโมงเย็น เป็นเวลาอาหารพอดี
รวมถึงบ้านหลังนี้ด้วย ทุกบ้านเปิดไฟสว่าง แม้แต่สวนบ้านข้างๆ ยังมีคนแก่คนหนึ่งนั่งรับลมทะเลอย่างสบายอารมณ์
สภาพแบบนี้ดูปกติแต่แฝงไปด้วยความผิดปกติ
บ้านหลังอื่นไม่เป็นไร
แต่บ้านของคู่สามีภรรยาเจ้าของร้านอาหารทะเลที่อยู่ตรงหน้าทั้งสองคน ไม่มีเหตุผลที่จะเปิดไฟสว่าง
ถ้าคู่สามีภรรยาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดี พวกเขาคงหนีไปนานแล้ว
ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมคู่สามีภรรยาที่สูญหายถึงอยู่ในบ้าน?
"สถานการณ์ไม่ค่อยถูกต้อง" เฉินอวี่หรานพูดเบาๆ พลางเรียกกระบี่มาถือไว้ในมือ
"อืม" หลี่จิ้งตอบรับ
ทั้งสองมีความเข้าใจตรงกัน สายตาจับจ้องไปที่คนแก่ที่นั่งรับลมอยู่ในสวนบ้านข้างๆ พร้อมกัน
พวกเขาคนหนึ่งสวมชุดของแผนกผู้ช่วยตรวจการ อีกคนสวมชุดของหน่วยลาดตระเวน คนปกติเห็นแล้วต้องมองมาถามว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ
แต่คนแก่ในสวนบ้านข้างๆ กลับมองทะเลตลอด ไม่เหลือบมองพวกเขาเลยสักนิด
จ้องมองคนแก่อยู่ครู่หนึ่ง ริมฝีปากแดงของเฉินอวี่หรานขยับเล็กน้อย
"ดูเหมือนว่าที่นี่จะถูกวางค่ายกลลวงตาเพื่อปิดบังสายตาผู้คน"
ค่ายกลลวงตา?
หลี่จิ้งตกตะลึงเล็กน้อย
วิชาค่ายกล
เป็นวิชาชั้นสูงที่แยกออกมาจากระบบคาถาของวิชาเซียน ต้องมีพลังระดับสามขึ้นไปถึงจะเรียนรู้ได้
เหมือนกับวิชาบำเพ็ญตน แผนผังค่ายกลที่ใช้ในการวางค่ายกลนั้นเปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมด สามารถค้นหาได้นับพันนับหมื่นแบบบนอินเทอร์เน็ต
แต่การจะวางค่ายกลที่สมบูรณ์จริงๆ นั้น ต้องศึกษาทุกตัวแปรในแผนผังให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ถ้าไม่เข้าใจตัวแปรในแผนผัง แม้จะบังคับวางค่ายกลได้ ก็จะเป็นเพียงรูปแบบภายนอกเท่านั้น
เพียงแค่มีการรบกวนเล็กน้อย ค่ายกลก็จะแตกสลายทั้งหมด
ตรงหน้านี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นค่ายกลที่สมบูรณ์
ไม่เช่นนั้นตอนที่พวกเขาบินกระบี่มาถึงและบุกเข้ามาในค่ายกล ค่ายกลลวงตาก็คงแตกสลายไปแล้ว
การจะทำลายค่ายกลที่สมบูรณ์ มีสองวิธี หนึ่งคือหาจุดศูนย์กลางขอค่ายกลแล้วทำลาย อีกวิธีคือใช้พลังฝ่าทำลายค่ายกลโดยตรง
การใช้พลังฝ่าทำลายค่ายกล พวกเขาทั้งสองคนไม่ต้องคิดถึง
ทำได้แค่หาจุดศูนย์กลางเท่านั้น
ปัญหาคือ จุดศูนย์กลางไม่ใช่สิ่งที่จะหาได้ง่ายๆ
หลี่จิ้งหันไปมองเฉินอวี่หราน กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่อีกฝ่ายเอ่ยปากก่อน
"ไม่ต้องมองฉัน ฉันไม่รู้เรื่องค่ายกล"
"..." หลี่จิ้งอึ้งไป
ที่เฉินอวี่หรานไม่รู้เรื่องค่ายกล เขาไม่รู้สึกประหลาดใจนัก
วิชาค่ายกลนั้นมีชื่อเสียงในการทำให้คนปวดหัว
แผนผังค่ายกลนั้นหาได้ง่าย
แต่แผนผังก็เป็นเพียงภาพวาดเท่านั้น
การจะเข้าใจได้ก็ต้องอาศัยพรสวรรค์ ไม่ต้องพูดถึงการศึกษาตัวแปรให้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ยิ่งไปกว่านั้น ในการศึกษาแผนผังค่ายกล ประสบการณ์ของคนอื่นไม่มีประโยชน์เลย มีแต่จะทำให้สับสนมากขึ้น
เมื่อเข้าใจด้วยตัวเองแล้ว ถึงจะเป็นความเข้าใจที่แท้จริง
เฉินอวี่หรานอายุเพียง 24 ปี ก็มีพลังระดับสามแล้ว ที่ทำได้แบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะพรสวรรค์ อีกส่วนคือเธอขยันฝึกฝน
เวลาทั้งหมดทุ่มเทให้กับการฝึกฝน เธอจะมีเวลาว่างมาศึกษาแผนผังค่ายกลได้อย่างไร?
ถึงจะมีเวลาว่าง เธอก็คงเอาไปใช้ฝึกฝนแทนแน่นอน
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลี่จิ้งก็พูดว่า
"งั้น... เราเรียกกำลังเสริมดีไหม?"
เฉินอวี่หรานได้ยินแล้วก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ยกมือแตะหูฟังการสื่อสารของตัวเอง
"หัวหน้าไต้ ฉันกับหลี่จิ้งมาถึงหน้าบ้านของคู่สามีภรรยาเจ้าของร้านอาหารทะเลแล้ว ที่นี่มีคนวางค่ายกลลวงตาเพื่อปิดบังสายตาผู้คน ค่ายกลไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อพวกเรา แค่ทำให้สับสน คาดว่าระดับของค่ายกลคงไม่สูงนัก ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ที่นี่อาจจะเป็นที่ซ่อนศพอีกแห่ง คุณจะมาทำลายค่ายกลเองหรือจะให้หาคนที่เชี่ยวชาญมาดีคะ?"
หลี่จิ้งฟังเฉินอวี่หรานรายงานอย่างรวดเร็ว มุมปากกระตุกเล็กน้อย
สิ่งที่เธอพูดนั้นสมเหตุสมผล เป็นสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุด
แต่พอไต้หงได้ยินสิ่งที่เธอพูด คงจะแทบระเบิด
เพิ่งรับคดีมา ยังไม่ทันได้วางแผนสืบสวนเลย ก็พบที่ซ่อนศพอีกแห่งแล้ว...
---------------------------------------------------
วันนี้หมดแล้วนะครับ ช่วงนี้ลงวันละ 1 ตอน ถึงวันจันทร์นะครับ~