บทที่ 32 โรงเตี๊ยม
ด้วยการใช้ศิลาเต๋าในทะเลจิตสำนึกของเขา โม่ฮวาได้ฝึกฝนวิชาค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ช่วยเพิ่มพูนพลังสำนึกรับรู้ (พลังจิต)
แม้ว่าวิธีนี้จะเชื่องช้า แต่ก็เป็นวิธีเดียวที่โม่ฮวามีในขณะนี้
“ดีที่ยังมีศิลาเต๋าในทะเลจิตสำนึก ไม่อย่างนั้นแม้แต่วิธีเชื่องช้านี้ก็คงจะทำไม่ได้”
โม่ฮวาคิดอย่างรู้สึกขอบคุณอยู่บ้าง ที่จริงแล้วการวาดค่ายกลนั้นใช้พลังจิตมากเกินไป และการฟื้นฟูก็ช้า การเพิ่มพูนพลังสำนึกด้วยวิธีนี้จึงต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลาหลายเท่าตัว
เมื่อคิดได้ดังนั้น โม่ฮวาจึงสงบจิตใจและทุ่มเทเต็มที่ในการฝึกวาดค่ายกลหลอมเพลิงบนศิลาจารย์เต๋า
ตราบใดที่ยังฝึกฝนอยู่ เขาย่อมเชื่อว่าจะมีวันหนึ่งที่เขาสามารถฝึกสำเร็จ
โม่ฮวาพยายามวาดรูปแบบค่ายกลสี่แบบแรกจนพลังสำนึกใกล้จะหมด จากนั้นเขาก็ลบรูปแบบค่ายกลออกไป
เมื่อพักสักครู่ เขาก็วาดซ้ำอีกครั้งและลบออก
วนเวียนอยู่เช่นนี้ จนเมื่อรู้สึกว่าพลังสำนึกฟื้นขึ้นมาเล็กน้อย เขาจึงเติมอีกหนึ่งจังหวะหลังจากวาดค่ายกลสี่แบบแรกเสร็จ
หลังจากฝึกทั้งคืน โม่ฮวาก็สามารถเพิ่มจังหวะได้เพียงสองจังหวะจากที่เริ่มต้น แต่ถึงกระนั้น ทั้งสองจังหวะนี้ก็ชี้ชัดว่าพลังสำนึกของเขากำลังเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง
เมื่อโม่ฮวาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา เขาก็ไปที่ตลาดเพื่อซื้อหมึกสำหรับใช้ในการวาดค่ายกลหลอมเพลิง
หมึกนั้นทำจากเลือดของอสูรธาตุไฟผสมกับสมุนไพร ไม่ได้มีราคาแพงมากนัก โม่ฮวาจึงซื้อมาเกินกว่าสิบชุดในคราวเดียว
เพราะเหล่าผู้กล้าสายค่ายกลนั้นหายาก และผู้ที่สามารถวาดค่ายกลได้นั้นมีน้อย ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีใครมาซื้อหมึกมากนัก เจ้าของร้านจึงดีใจที่ได้ลูกค้าอย่างโม่ฮวา และถึงกับให้แถมหมึกมาอีกหลายชุด
หลังจากกลับบ้าน โม่ฮวาก็เริ่มฝึกวาดค่ายกลหลอมเพลิงด้วยหมึกที่ซื้อมาทันที
เพราะหมึกที่ซื้อมาใช้จ่ายด้วยศิลาวิญญาณ โม่ฮวาจึงวาดอย่างตั้งใจในทุกจังหวะ
แน่นอน ด้วยข้อจำกัดของพลังสำนึก โม่ฮวาสามารถวาดเพิ่มได้เพียงสองจังหวะนอกเหนือจากสี่รูปแบบค่ายกลแรกเท่านั้น ไม่สามารถวาดค่ายกลหลอมเพลิงแบบห้ารูปแบบได้สำเร็จ
หลังจากวาดเสร็จในแต่ละครั้ง เขาต้องพักผ่อนถึงสองชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังสำนึก เมื่อฟื้นฟูแล้วก็กลับมาวาดต่อไป
ประสิทธิภาพในการฝึกด้วยวิธีนี้ต่ำกว่าการวาดบนศิลาเต๋าในทะเลจิตสำนึกมาก นอกจากนี้ยังต้องใช้หมึกและกระดาษศิลาวิญญาณ ทำให้ต้องใช้จ่ายศิลาวิญญาณไปพอสมควร อย่างไรก็ตามเพื่อจะเรียนรู้ค่ายกลหลอมเพลิงให้เร็วที่สุด โม่ฮวาจึงไม่สนใจต้นทุนใด ๆ
เขาฝึกอย่างต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืน ผ่านไปครึ่งเดือน โม่ฮวาก็สามารถวาดเพิ่มได้อีกประมาณสิบจังหวะ นับได้ว่าเกือบเทียบเท่ารูปแบบครึ่งหนึ่ง
ด้วยความเร็วเช่นนี้ เขาคาดว่าภายในอีกครึ่งเดือน พลังสำนึกของเขาน่าจะแข็งแกร่งพอที่จะวาดค่ายกลหลอมเพลิงแบบห้ารูปแบบได้ครบถ้วน
โม่ฮวาถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ ด้วยความโล่งอก
รู้ว่าการหลอมเตายังต้องใช้เวลา เขาจึงต้องวางแผนล่วงหน้าสำหรับบางเรื่อง
ในตอนกลางวัน โม่ฮวาเดินเล่นอยู่ในตลาด และตอนกลางคืนกลับบ้านมารับประทานอาหารเย็นร่วมกับพ่อแม่
ภายใต้แสงเทียนที่ริบหรี่ บนโต๊ะมีข้าวต้มที่หอมกรุ่น หมั่นโถวขาวนุ่ม ผักสดสองจาน และผักดองอีกเล็กน้อย
นี่ถือได้ว่าเป็นงานเลี้ยงหรูหราบนโต๊ะของผู้ฝึกตนทั่วไป ซึ่งแทบจะหามื้อที่มีเนื้อไม่ได้
หลิวหรูฮวาทำอาหารได้เยี่ยมยอด แม้ว่าเมนูจะเรียบง่ายแต่รสชาติดี ทำให้โม่ฮวารับประทานอย่างเอร็ดอร่อย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าฝีมือทำอาหารจะเป็นของหลิวหรูฮวา แต่พลังที่ใช้ในการจุดไฟสำหรับทำอาหารนั้นมาจากพลังวิญญาณของโม่ซาน
หลิวหรูฮวาทำตัวตามปกติ แต่ในสายตาของเธอมีความเศร้าซ่อนเร้นเป็นระยะ ๆ
โม่ฮวารีบกินหมั่นโถวคำโตจนแก้มพอง แล้วจู่ ๆ ก็ถามขึ้นมา "แม่ครับ แม่เคยคิดจะเปิดร้านอาหารบ้างไหม?"
หลิวหรูฮวากำลังจิบข้าวต้มอยู่พลันชะงักไป เธอยิ้มและถามกลับว่า "ทำไมจู่ ๆ ถึงถามอย่างนั้นล่ะ?"
"เพราะแม่ทำอาหารอร่อยมาก ถ้าเปิดร้านอาหารคงได้ศิลาวิญญาณเยอะเลย"
"แต่การเปิดร้านอาหารต้องใช้ศิลามากมาย เราเป็นผู้ฝึกตนพเนจรจะเอาศิลาวิญญาณจากไหนมาเปิดร้านล่ะ?" หลิวหรูฮวาพูดพลางยิ้มบาง ๆ จากนั้นใช้นิ้วแตะจมูกของโม่ฮวาอย่างขี้เล่นแล้วพูดหยอกล้อว่า "รอให้ลูกโตขึ้นแล้วมีพลังฝึกตนสูง ๆ หาเงินได้เยอะ ๆ เราค่อยเปิดร้านกันดีไหม?"
โม่ฮวากระซิบเบา ๆ "เราน่าจะเริ่มจากร้านเล็ก ๆ ก่อน"
"ร้านเล็ก ๆ อะไร?" หลิวหรูฮวาทำหน้าสงสัย
"ร้านอาหารเล็ก ๆ" โม่ฮวาตอบ "ข้าเดินดูรอบ ๆ เมืองแล้ว เห็นว่ามีร้านขายน้ำ ขายอาหาร ขายขนม แม้แต่ร้านบะหมี่เยอะมากเลย แถมแต่ละร้านก็ดูทำรายได้ดีด้วย"
หลิวหรูฮวาดูลังเล พร้อมกับสีหน้าที่เศร้าลงเล็กน้อย
เห็นดังนั้น โม่ซานจึงพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล "ฮวาเอ๋อร์ร์ แม่เจ้า...ใช้พลังวิญญาณไม่ได้แล้ว"
เมื่อไม่มีพลังวิญญาณ ก็ไม่สามารถจุดไฟในการทำอาหารที่เหมาะกับผู้ฝึกตนได้ แม้จะมีพลังวิญญาณอยู่ แต่การจะเตรียมอาหารจำนวนมากเพื่อต้อนรับลูกค้าในร้านนั้น เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ฝึกตนระดับพลังขยายลมปราณขั้นต้น
โม่ฮวายิ้มอย่างภาคภูมิใจและพูดว่า "เราจะสร้างเตาขึ้นมา"
"เตาเหรอ?"
โม่ซานและหลิวหรูฮวามองหน้ากันด้วยความงุนงง
โม่ฮวาหยิบแผนผังเตาขนาดใหญ่จากถุงเก็บของของตนออกมา "นี่คือแบบแผนของเตา ข้าไปถามปรมาจารย์เฉินที่ร้านหลอมมาแล้วว่าต้องใช้วัสดุอะไร ขนาดเท่าไหร่ และต้องใช้ศิลาวิญญาณเท่าไร ส่วนเรื่องค่ายกลข้าจะจัดการเอง เมื่อเราได้เตานี้มาแล้ว จะไม่ต้องพึ่งผู้ฝึกตนในการใช้พลังวิญญาณเพื่อจุดไฟอีกต่อไป แค่ใส่ศิลาวิญญาณเข้าไป เตาจะให้ไฟอย่างต่อเนื่อง ทำให้ง่ายต่อการทำอาหารและเคี่ยวน้ำซุป"
โม่ซานและหลิวหรูฮวาไม่คาดคิดว่าลูกชายของตนจะเตรียมแผนผังไว้เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่ต่างตกตะลึงไปครู่หนึ่ง
"การสร้างเตานี้น่าจะใช้ศิลาวิญญาณเยอะใช่หรือไม่?"
"เราจะสร้างเตาขนาดเล็กก่อน ข้าไปถามปรมาจารย์เฉินมาแล้ว ไม่ได้ใช้ศิลาวิญญาณมากเกินไปหรอก สำหรับร้านอาหารเล็ก ๆ ใช้เตาเล็กก็พอแล้ว"
"แล้วค่ายกลล่ะ?" หลิวหรูฮวาถาม
โม่ฮวาทำหน้าเรียบนิ่ง แต่แววตาแฝงด้วยความภาคภูมิใจ "ข้าจะวาดเอง ข้าได้แผนค่ายกลมาจากเถ้าแก่โม่แล้ว ค่ายกลนี้ไม่ยากหรอก..."
โม่ฮวาที่เพิ่งใช้พลังสำนึกรับรู้ไปมากมายในการฝึกวาดค่ายกลหลอมเพลิงอยู่หลายคืน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่สามารถฝึกได้สมบูรณ์นัก ถึงกับรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเมื่อพูดประโยคนี้จบ
หลิวหรูฮวามองโม่ฮวาด้วยสายตาสงสัย "แน่ใจหรือว่ามันไม่ยาก?"
โม่ฮวาหัวเราะ "แม้ว่าข้ายังไม่ได้เรียนรู้ทั้งหมด แต่ขอเวลาอีกไม่กี่วันก็น่าจะทำได้ไม่มีปัญหา"
ความจริงคือ ค่ายกลที่มีห้ารูปแบบเส้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเรียนรู้ได้เร็ว
หลิวหรูฮวาพยักหน้าอย่างเข้าใจ เธอคิดในใจว่าโม่ฮวายังเด็ก และพึ่งเริ่มเรียนรู้การวาดค่ายกลได้ไม่นาน หากเขาสามารถวาดได้ก็คงไม่ใช่ค่ายกลที่ยากเกินไป
แต่หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง เธอส่ายหน้าและพูดว่า "การเปิดร้านไม่ใช่เรื่องง่ายนะ แม้จะเป็นร้านเล็ก ๆ ก็ต้องเช่าที่ ต้องจ้างคน ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่ต้องจัดการอีกมาก และคงต้องใช้ศิลาวิญญาณเยอะ ถ้ารายได้ไม่พอจ่ายค่าใช้จ่าย มันจะทำให้ครอบครัวเราเดือดร้อนไปเปล่า ๆ ที่สำคัญที่สุดตอนนี้เราควรเก็บศิลาวิญญาณไว้สำหรับการฝึกตนของลูกจะดีกว่า"
โม่ซานที่เงียบอยู่ตลอดจู่ ๆ ก็พูดขึ้นว่า "เราจะเปิดร้านเล็ก ๆ นี่ล่ะ เรื่องที่ตั้งร้านกับหาคนงานข้าจะจัดการเอง เจ้าไม่ต้องห่วง"
จากนั้นเขาหยิบถุงเก็บของอีกใบส่งให้โม่ฮวา "ในนี้มีศิลาวิญญาณอยู่กว่าร้อยก้อนที่ข้าได้จากการล่าปีศาจในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ข้ารู้ว่าลูกเองก็หาเงินได้มากจากการวาดค่ายกล แต่ศิลาวิญญาณที่จะใช้ในการสร้างเตานั้นให้เอาจากถุงนี้"
โม่ฮวาทำท่าจะปฏิเสธ แต่โม่ซานก็ยัดถุงเก็บของใส่มือของลูกชายเสียก่อน
เมื่อโม่ฮวาจับถุงเก็บของไว้แล้ว เขาคิดถึงศิลาวิญญาณในนั้นที่พ่อของเขาได้มาจากการเสี่ยงชีวิตล่าปีศาจ ความรู้สึกของศิลาวิญญาณเหล่านั้นหนักอึ้งกว่าปกติ
เมื่อโม่ซานตัดสินใจเรื่องนี้ การเปิดร้านอาหารเล็ก ๆ ก็เป็นอันตกลงกันได้ หลังจากกินอาหารเสร็จ โม่ฮวากลับไปที่ห้องของเขาเพื่อฝึกฝนค่ายกลหลอมเพลิงต่อ
หลิวหรูฮวายังมีท่าทีเป็นกังวลอยู่
โม่ซานปลอบเธอ "ไม่ต้องคิดมากไป เปิดร้านเล็ก ๆ ก็แค่ลองทำการค้าเล็ก ๆ ต่อให้ขาดทุนก็ไม่มาก"
หลิวหรูฮวาถอนหายใจ "ฮวาเอ๋อร์ร์มีพรสวรรค์และฉลาดมาก อนาคตการฝึกวิชา การเรียนรู้เทคนิคต่างๆ การจะเป็นจอมค่ายกลต้องใช้ศิลาวิญญาณอีกมากมาย ถ้าเราใช้ศิลาวิญญาณไปกับเรื่องนี้หมดแล้ว ถ้าเกิดภายหลังไม่พอให้ฮวาเอ๋อร์ร์ฝึกวิชาจะทำอย่างไร?"
โม่ซานพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน "อย่าดูถูกฮวาเอ๋อร์ร์เลย เขาสามารถวาดค่ายกลขายได้ แม้จะเป็นแค่ค่ายกลง่าย ๆ แต่ก็ถือว่ามีความสามารถมากแล้ว ใครจะรู้ล่ะว่าในอีกสิบหรือยี่สิบปีหลังจากฝึกวาดค่ายกลมากขึ้น เขาอาจจะได้เป็นจอมค่ายกลจริง ๆ ก็ได้"
โม่ซานหัวเราะ "ตอนนั้นเราอาจจะได้พึ่งพาลูกชายเลี้ยงดูก็เป็นได้"
หลิวหรูฮวายิ้ม แต่ก็ยังไม่สามารถละทิ้งความกังวลได้ทั้งหมด
โม่ซานจับมือหลิวหรูฮวา "งั้นเราก็เปิดร้านเล็ก ๆ เก็บศิลาวิญญาณไว้ให้มากขึ้น แล้วหาหญิงสาวดี ๆ ให้โม่ฮวา แต่งงานและมีลูก"
เมื่อพิจารณาจากคำพูดของโม่ซาน รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของหลิวหรูฮวา แต่ในใจของเธอยังคงไม่คลายความกังวลทั้งหมด "แล้วถ้าเกิด...อะไรไม่เป็นไปดั่งฝันขึ้นมาล่ะ?"
"ถึงจะมีอุปสรรคเกิดขึ้น แต่ข้าก็ยังอยู่ตรงนี้ ไม่ว่าชีวิตจะยากเย็นแค่ไหนก็ย่อมมีทางแก้ แค่ทำงานให้หนักขึ้นหน่อย ล่าปีศาจเพิ่มอีกสักสองสามตัวก็พอ" โม่ซานพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนแต่หนักแน่น
หลิวหรูฮวาไม่พูดอะไรอีก เธอซบลงในอ้อมอกของโม่ซานอย่างเงียบ ๆ