ตอนที่แล้วตอนที่ 46 เทคนิคการหลอมเทพเจ้า ตำราคู่มือการเลี้ยงแมลงกู่
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 48 ผู้บ่มเพาะสงครามฮุยคงแห่งวัดจินหลง!  

ตอนที่ 47 ระยะที่สองของเส้นเลือดโลหิต เทคนิคโลหิตพุ่งพล่าน!


ตอนที่ 47 ระยะที่สองของเส้นเลือดโลหิต เทคนิคโลหิตพุ่งพล่าน!

เส้นลวดโลหิตพยักหน้าเล็กน้อยอย่างกระตือรือร้น

ฉู่เสวียนดูประหลาดใจ..แต่ทันใดนั้นเขาก็จำเนื้อหาของ ‘ตำราคู่มือการเลี้ยงแมลงกู่’ ได้ ที่บอกว่าเส้นเลือดโลหิตเป็นหนึ่งในทายาทของสัตว์มีพิษในตำนานอย่าง ‘แม่กู่ทองคำ’

หากว่ามันกลืนเลือดในอำพันนี้เข้าไป มันอาจจะหวนคืนสู่บรรพบุรุษของมันก็เป็นได้ หรือแม้ว่ามันจะไม่สามารถหวนคืนสู่บรรพบุรุษได้สำเร็จ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็จะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

“เป็นไปได้ไหมว่าเลือดในอำพันนี้จะเป็นเลือดของแม่กู่ทองคำ…ไม่มีทาง ซุนซือเป็นเพียงผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐาน เขาจะไปเอาเลือดของแม่กู่ทองคำโบราณมาได้อย่างไร นี่น่าจะเป็นเพียงเลือดของแมลงกู่ที่ทรงพลัง แต่มันจะเหมือนกับเลือดของแม่กู่ทองคำได้อย่างไร  หรือมันอาจจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับแม่กู่ทองคำ  มีแนวโน้มมากว่าจะเป็นเลือดของทายาทสายพันธ์อื่น ๆ ของแม่กู่ทองคำอย่างตั๊กแตนเลือด แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้เส้นลวดโลหิตจะกระหายมาก ลองปล่อยให้มันกินเลือดในนี้แทนไปก่อนก็แล้วกัน”  ฉู่เสวียนทุบอำพันให้แตกออก

ก่อนที่เขาจะออกคำสั่ง เส้นเลือดโลหิตก็กระโจนไปข้างหน้าและกลืนเลือดสีแดงเข้มในนั้นไปอย่างรวดเร็ว

หลังจากกลืนลงไปแล้ว เส้นเลือดโลหิตก็ดูจะสงบลงทันที

มันค่อยๆกลับคืนสู่ร่างของฉู่เสวียน  เข้าไปอยู่ในถุงหนอนโลหิตแล้วขดตัวนอนในนั้น

ภายใต้การจ้องมองของฉู่เสวียนด้วยความประหลาดใจ มันก็เริ่มก่อตัวเป็นรังไหม!

เขารู้สึกได้ชัดเจนว่ารัศมีของเส้นลวดโลหิตแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว!

“เริ่มเข้าสู่ระยะที่สองแล้วหรือ!” ฉู่เสวียนดูประหลาดใจ

จากนั้นเขาก็ระงับความตื่นเต้นลงไป และเริ่มฝึกฝน ‘เทคนิคการหลอมเทพเจ้า’ ทันที

‘เทคนิคการหลอมเทพเจ้า’ แบ่งออกเป็นสามระดับ เทคนิคนี้ไม่มีคาถา และสามารถเพิ่มพลังวิญญาณได้มากที่สุดเพียง 30% เท่านั้น แต่การเพิ่มพลังวิญญาณขึ้นมา 30% ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ซึ่งดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

หากมีโอกาสที่ดีกว่านี้ในอนาคต  เขาค่อยทำการเปลี่ยนเทคนิคอีกครั้ง

สามวันต่อมา.....

ทันใดนั้นฉู่เสวียนก็รู้สึกว่าในถุงหนอนโลหิตเริ่มมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป

เขารีบมองเข้าไปข้างใน และก็ต้องตกใจเมื่อพบว่าเส้นลวดโลหิตได้ออกมาจากรังไหมแล้ว และทันใดนั้นมันก็ได้ทะลวงผ่านเขตแดนทันที

ฉู่เสวียนดูประหลาดใจ เมื่อเขามองดูเส้นลวดโลหิตอีกครั้ง  รูปลักษณ์ของมันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ความยาว ความแข็ง และความหนาของมันดูจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นทั้งหมด

แม้ว่ามันจะไม่ประสบความสำเร็จในการหวนคืนสู่บรรพบุรุษ แต่ความแข็งแกร่งของมันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

“ตอนนี้ถือเป็นช่วงแรกของการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สอง เทียบได้กับผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานขั้นที่ 1! ถ้าข้าปรับแต่งเทคนิคพิษจากแมลงกู่อีกครั้ง ความแข็งแกร่งของข้าก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่น่าเสียดายที่ข้าไม่มีเวลา”

ฉู่เสวียนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง เส้นเลือดโลหิตได้เปลี่ยนแปลงครั้งที่สองแล้ว  สิ่งนี้มันทำให้เขามีวิธีที่จะป้องกันตัวเองจากศัตรูมากขึ้น!

"ข้าไม่เคยตั้งชื่อให้เจ้ามาก่อนเลย แต่ตอนนี้ข้าจะตั้งชื่อที่ไพเราะๆให้กับเจ้าก็แล้วกัน! ข้าคงจะไม่ตั้งชื่อให้เจ้าว่าเสี่ยวกัง นั่นมันง่ายเกินไป งั้นเอาอย่างงี้ก็แล้วกัน ข้าจะเรียกเจ้าว่าเส้นลวดโลหิต!"

ฉู่เสวียนพูดกับตัวเอง  เขารู้สึกพึงพอใจกับชื่อนี้เป็นอย่างมาก มันฟังดูสร้างสรรค์มาก! ชื่อนี้ควรมีอยู่บนสวรรค์เท่านั้น ในโลกมนุษย์แห่งนี้จะมีคนได้ยินกี่ครั้งกัน!

เส้นลวดโลหิตพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง มันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน จึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา

เส้นลวดโลหิตก็เส้นลวดโลหิต..แต่มีชื่อแล้วไง?

“เอ๊ะ แล้วคาถาโดยกำเนิดอยู่ที่ไหน” ฉู่เสวียนรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหายไป

เส้นเลือดโลหิตเข้าใจคำพูดของเขาทันที มันรีบว่ายไปที่หัวใจของฉู่เสวียนอย่างรวดเร็ว

มันเปิดปากและกัดพื้นผิวหัวใจเบา ๆ ในตอนนั้นดูเหมือนจะมีบางอย่างถูกฉีดเข้าไปในหัวใจของเขาอย่างบอกไม่ถูก

ฉู่เสวียนเลิกคิ้ว...

ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าเลือดในร่างกายได้ไหลเวียนเร็วขึ้น หัวใจได้ฉุบฉีดเลือดเร็วกว่าเดิม

ในพริบตา ก็รู้สึกเหมือนเลือดของเขากำลังจะเดือดพล่าน!  หัวใจของฉู่เสวียนเต้นเร็วราวกับคนที่ตื่นเต้น

เขาจึงลองเอามีดกรีดไปที่ฝ่ามือของตนเองจนเป็นแผลลึก ทว่าแผลนั้นก็แห้งลงไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหายใจเพียงไม่กี่ครั้ง สะเก็ดแผลก็หลุดออก และผิวหนังบริเวณนั้นก็กลับมาอยู่ในสภาพเดิมราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้ฉู่เสวียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

เทคนิคโลหิตพุ่งพล่าน!

นี่มันสุดยอดวิชาอาคมพรสวรรค์ชัดๆ!

เทคนิคนี้เป็นเทคนิคที่สามารถเร่งการไหลเวียนของเลือดและทำให้บาดแผลหายเร็วขึ้น ส่งผลทำให้คุณสมบัติทั้งหมดของร่างกายเพิ่มขึ้นอย่างมาก

“เอาล่ะ ดีมาก!” ฉู่เสวียนกล่าวชมสามครั้งติดต่อกัน เขารู้สึกพึงพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก

การได้มาซึ่งเทคนิคนี้ จะทำให้เขามีวิธีในการรับมือกับศัตรูขึ้นมาอีกวิธีหนึ่ง

ทว่าในเวลานี้ จู่ๆถุงเก็บของของเขาก็สั่นขึ้นมา ฉู่เสวียนจึงหยิบหยกส่งเสียงออกมาก่อนจะได้ยินเสียงของหลิวเจิ้งสงที่ดังออกมาจากหยก  “ศิษย์น้องฉู่ ตอนนี้อู๋เถิงหายดีแล้ว  ศิษย์พี่หลี่ก็กำลังรอเราอยู่ที่เชิงเขา ถึงเวลาออกเดินทางแล้ว”

ฉู่เสวียนจึงรีบตอบกลับไปทันที “ตกลง ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”

ที่ถ้ำอีกแห่งหนึ่ง....

ฉู่เสวียนก็พบว่ามีเพียงสองคนอยู่ในนี้ นั่นก็คือหลิวเจิ้งสงและอู๋เถิง สำหรับสวีหมิงและศิษย์ที่อยู่ในช่วงกลั่นลมปราณคนอื่น ๆได้หายตัวไปทั้งหมด

หลิวเจิ้งสงเห็นความสงสัยบนใบหน้าของเขาจึงยิ้มและพูดออกมาว่า "ศิษย์พี่หลี่ได้ช่วยหาสถานที่หลบภัยที่ปลอดภัยกว่านี้ให้เรา ข้าจึงพาสวีหมิงและศิษย์คนอื่น ๆ ไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยแล้ว"

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่เสวียนก็พยักหน้า

อู๋เถิงได้มองไปที่ฉู่เสวียนและพูดออกมาด้วยสีหน้าชื่นชมว่า "ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเจ้าจะขึ้นมาเป็นผู้บำเพ็ญช่วงสร้างรากฐานได้เร็วขนาดนี้"

หลิวเจิ้งสงหัวเราะ "อย่าบอกว่าเจ้าไม่คาดคิด เพราะข้าเองก็ไม่คาดคิดเหมือนกัน”

“ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ”

จากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากถ้ำแล้วรีบวิ่งลงจากภูเขาไป

ไม่นานนักพวกเขาก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่ที่ตีนเขา

ร่างนั้นหันหลังให้พวกเขา เสื้อผ้าสีขาวของเขากระพือไปตามลม รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวของผู้บ่มเพาะคนนี้ดูก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนอมตะ แค่มองจากตรงนี้ก็ทำให้รู้สึกได้ว่าเขาจะต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งและเที่ยงธรรม

"มาแล้วหรือ” ชายคนนั้นสัมผัสได้ถึงการมาถึงของพวกเขาและหันกลับมา

ฉู่เสวียนมองเห็นรูปร่างหน้าตาของชายคนนั้นได้อย่างชัดเจน คิ้วรูปดาบและดวงตาที่คมเข้มของเขาช่างหล่อเหลาเป็นพิเศษไม่ว่าจะมองจากมุมไหน  เขาก็ดูเหมือนผู้บ่มเพาะของนิกายสายธรรมอย่างนิกายเสินกัง ซึ่งดูไม่เหมือนผู้บ่มเพาะสายมารแม้แต่น้อย  ทั้งที่ก็เป็นศิษย์ของนิกายสายมารอย่างนิกายอู๋จี๋แท้ๆ

ในความเป็นจริง หลี่ซวนหมิงคนนี้เคยถูกนิกายเสินกังและนิกายอู๋จี๋แย่งตัวเขา

ซึ่งต่อมานิกายอู๋จี๋ก็ได้จ่ายค่าตัวให้เขาในราคามหาศาล  เพื่อชิงตัวหลี่ซวนหมิงคนนี้ให้มาอยู่ในนิกายอู๋จี๋

“ศิษย์พี่หลี่” ฉู่เสวียน, หลิวเจิ้งสงและ อู๋เถิงต่างโค้งคำนับ

บนเส้นทางแห่งการฝึกฝนความเป็นผมตะ ผู้ที่แข็งแกร่งจะได้รับการเคารพจากผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ

การบ่มเพาะของหลี่ซวนหมิงอยู่เหนือพวกเขา ดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่า "ศิษย์พี่อาวุโส"

ดวงตาของหลี่ซวนหมิงจ้องมองไปที่หลิวเจิ้งสงและอู๋เถิง ก่อนจะมาหยุดที่ฉู่เสวียน

เขาพยักหน้าเล็กน้อย "เยี่ยม มันไม่ง่ายเลยที่จะทะลวงไปอยู่ในช่วงสร้างรากฐานในสภาพแวดล้อมเช่นนี้หากว่าเป็นเมื่อก่อน ข้าคงจะแนะนำให้อาจารย์รับศิษย์น้องฉู่เป็นลูกศิษย์ของเขาแล้ว”

อาจารย์ที่เขาพูด คือบรรพบุรุษคนแรกของนิกายอู๋จี๋ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกาย ทว่าเขาก็ได้เสียชีวิตลงก่อนเวลาอันควร

หลี่ซวนหมิงจึงกล่าวอีกครั้งว่า "ศิษย์น้องฉู่ เป็นผู้บำเพ็ญที่เพิ่งทะลวงผ่านขึ้นมาสู่ช่วงสร้างรากฐาน จึงยังมีความแข็งแกร่งไม่เพียงพอ เจ้าสามารถเข้าไปช่วยได้บางสถานการณ์ "

ฉู่เสวียนหัวเราะเบา ๆ และพยักหน้าเห็นด้วย

เนื่องจากมีบุคคลที่มีความสามารถและเต็มใจรับหน้าที่เป็นผู้นำแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะปฏิเสธ

เขาไม่ต้องการที่จะโอ้อวดความแข็งแกร่งของเขาออกมาด้วย

"ข่าวการตายของซุนซือและคนอื่น ๆ น่าจะถูกส่งกลับไปยังนิกายเสินกังแล้ว ดังนั้นก็อย่าชักช้าเลย เราออกเดินทางกันตอนนี้เลยดีกว่า และมุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์หยุนอู๋”  พูดจบหลี่ซวนหมิงก็เอามือเตะพื้นเบา ๆ จากนั้นร่างของเขาก็บินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าสีขาว

ฉู่เสวียนและอีกสองคนก็ได้ติดตามไปอย่างใกล้ชิด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสี่คนก็มาถึงทางตอนเหนือของเทือกเขาหยุนอู๋ ภูมิประเทศที่นี่ค่อนข้างราบเรียบ พวกเขาเห็นหมู่บ้านหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวขจีและผืนน้ำที่ใสสะอาด   มันคือหมู่บ้านหยุนอู๋ ส่วนคฤหาสน์หยุนอู๋นั้น เมื่อมองแวบแรกก็ดูเหมือนกับคฤหาสน์ธรรมดาๆ

แต่บริเวณโดยรอบ ถูกปกคลุมไปด้วยค่ายกลต่างๆ เห็นได้ชัดว่าวางการป้องกันไว้อย่างแน่นหนา

หากใครกล้าบุกเข้าไปในนั้น จะต้องถูกผู้บ่มเพาะของนิกายเสินกังเข้าล้อมและสังหารโดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัวอย่างแน่นอน!

หลิวเจิ้งสงและอู๋เถิงต่างมองไปที่หลี่ซวนหมิงเป็นตาเดียว "ศิษย์พี่หลี่ เราควรทำอย่างไรดี?"

หลี่ซวนหมิงพูดอย่างใจเย็น "ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับผู้บำเพ็ญช่วงผู้สร้างรากฐานทั้งสี่ที่คอยเฝ้าที่ไว้แล้ว คนที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ในช่วงสร้างรากฐานขั้นที่สาม และคนที่อ่อนแอที่สุดเพิ่งจะทะลวงเข้าสู่ช่วงสร้างรากฐานมาใหม่ๆ  ข้าจะจัดการสองคนให้ ส่วนพวกเจ้าสองคนก็จัดการที่เหลือ ศิษย์น้องฉู๋ ส่วนเจ้าก็เอาสิ่งนี้ไปค้นหาค่ายกลที่เหลือโดยเร็วที่สุด และรีบทำลายมัน จากนั้นก็หาโอกาสเข้าไปสมทบก็แล้วกัน“พูดจบหลี่ซวนหมิงก็โยนกระจกบานหนึ่งให้ฉู่เสวียนไป ”สมบัติชิ้นนี้เรียกว่ากระจกทำลายค่ายกล ไม่มีผลในการรุกหรือป้องกัน แต่สามารถช่วยให้ค้นพบค่ายกลต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย”

ฉู่เสวียนพยักหน้าและรับมันมา

ในครั้งนี้หลี่ซวนหมิงเป็นคนวางแผนทั้งหมด คาดว่าคงไม่มีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

5 1 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด